บทที่ 159 หมดเวลา
ในเวลาเดียวกันอสูรทมิฬขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12 อีกตนหนึ่งก็ถูกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา 3 คนพัวพันอยู่เช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา 3 คนพร้อมกับอาวุธวิเศษระดับวิญญาณ 3 ชิ้น กำลังสู้กับอสูรทมิฬตนนี้อย่างตึงมือ พวกเขาทำได้เพียงตรึงอสูรตนนี้เอาไว้เท่านั้นและไม่สามารถทำให้มันบาดเจ็บได้เลย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง อสูรทมิฬขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 13 นั้นไม่สามารถถูกหยุดยั้งได้ด้วยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา 3 คน ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาเพิ่มมาอีก 1 คนพวกเขาจึงสามารถต้านทานมันได้ แต่ถึงแม้จะใช้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา 4 คนในการรับมือ อสูรทมิฬตนนี้ก็ยังดูผ่อนคลายไม่เหมือนกับอสูรทมิฬอีก 2 ตัวที่ค่อนข้างตึงเครียดเมื่อถูกรับมือด้วยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน
นี่เป็นครั้งแรกที่บรรดาศิษย์ของสำนักทั้งหลายได้เห็นความน่าเกรงขามของเผ่าอสูรทมิฬสงคราม พวกเขามองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
นี่เป็นเพียงอสูรทมิฬที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราเพียงเท่านั้นแต่มันกลับสามารถต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาได้แล้ว ถ้าเป็นอสูรทมิฬในขอบเขตนภาจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน? ที่สำคัญไปกว่านั้นถ้าหากเป็นพวกเขาเองที่ต้องรับมือกับอสูรทมิฬเหล่านี้ที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา พวกเขาจะไม่ตายภายในชั่วอึดใจเลยงั้นเหรอ?
เมื่อหลายคนที่นึกถึงคำถามนี้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที
ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังคิดถึงความน่าหวาดกลัวของอสูรทมิฬ มีเพียงโจวจื่อซิน เท่านั้นที่ไม่สนใจกับเหล่าอสูรทมิฬ ตอนนี้ในหัวนางมีแต่ความคิดหาวิธีหลบหนีเท่านั้น
ตอนนี้ทั้งอาคารประมูลอยู่ในความโกลาหล ความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่การต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่มีให้ความสนใจนางเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์ของนางรวมไปถึงจักรพรรดิโอสถซึ่งกำลังต่อสู้กับอสูรทมิฬอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นใจเช่นนี้โจวจื่อซินจึงแสร้งทำเป็นกลัวอสูรทมิฬและค่อย ๆ ถอยไปยังทางออกของอาคาร เมื่อนางออกไปถึงประตู นางรีบพุ่งตัวออกจากอาคารประมูลตระกูลมี่อย่างรวดเร็วและหายเข้าไปในหมู่ฝูงชน
หลังออกจากอาคารประมูล โจวจื่อซินเหลียวมองไปยังรอบ ๆ ตัวนางเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามนางออกมา จากนั้นนางจึงกระตุ้นเจตจำนงแห่งดาบที่หลิงตู้ฉิงทิ้งไว้ในร่างนางทันที
เมื่อนางกระตุ้นเจตจำนงดาบของหลิงตู้ฉิง ทันใดนั้นเจตจำนงดาบได้โจมตีไปยังปรสิตที่ถูกฝังในร่างของนาง ส่งผลให้นางรู้สึกราวกับว่ามีวัตถุสองชิ้นกำลังต่อสู้กันภายในกาย ทำให้นางรู้สึกราวกับร่างของนางกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ ความปั่นป่วนในร่างของนางจึงเริ่มสงบลงรวมไปถึงความรู้สึกถึงการถูกจ้องมองก็เริ่มเลือนหายไป หลังจากที่รู้สึกได้ว่าปรสิตที่เป็นปัญหาใหญ่ได้หายไป นางจึงเริ่มออกเดินห่างจากหอประมูลมี่ไปไกลเรื่อยโดยไม่หยุดพัก นางจำเป็นต้องรีบหนีออกจากอาณาจักรจันทราและหลบซ่อนตัวอีกเป็นเวลา 4 เดือนเพื่อรอเวลานัดหมายของหลิงตู้ฉิง ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายในชีวิตของนาง
ในขณะนี้หลังจากการหลบหนีไปของโจวจื่อซิน ไม่มีใครที่เป็นคนของสำนักสวนร้อยพฤกษาเอะใจเลยแม้แต่คนเดียว ตอนนี้พวกเขาเอาแต่เฝ้าลุ้นระทึกกับการต่อสู้ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภากับเหล่าอสูรทมิฬทั้งสามตน
อันที่จริงหวางฟู่ฉีนั้นตระหนักได้เช่นกันว่าโจวจื่อซินไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้อีกต่อไปแล้ว แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจนางไปก่อนเพราะแม้ว่าโจวจื่อซินจะออกจากอาคารประมูลนี้ นางก็ไม่สามารถหลบหนีเขาพ้นได้ ด้วยความสามารถของปรสิตพฤกษาที่เขาได้ฝังไว้ในกายนางไว้ ต่อให้นางจะหลบหนีเขาไปไกลสักแค่ไหน เขาก็มั่นใจว่าเขาหานางเจอแน่นอน
ขณะนี้การต่อสู้ได้ดำเนินมาเกือบ 15 นาทีแล้ว แม้ภายนอกของอสูรทมิฬจะเป็นปกติ แต่ในใจของเหล่าอสูรนั้นเริ่มวิตก พวกเขาได้รับคำสั่งจาผู้อาวุโสให้มาที่นี่เพื่อช่วยมี่ตั้วตั้วอย่างสุดความสามารถ เนื่องจากมี่ตั้วตั้วมีความสำคัญบางอย่างกับเผ่าของพวกเขาที่ผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้บอกเหตุผลอะไรมากมายนัก
อย่างไรก็ตาม กลุ่มศัตรูที่พวกเขาเผชิญอยู่ตอนนี้คือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภากว่า 10 คนและพวกเขาเองนั้นมากันแค่สามแถมระดับการบ่มเพาะของพวกยังเสียเปรียบ งานรอบนี้สำหรับพวกเขามันถือว่าเป็นงานที่โหดหินมาก
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่หมดทางเลือกเช่นนี้ อสูรทมิฬที่อยู่ในระดับ 13 ตะโกนด้วยความหงุดหงิด “พวกเจ้าถือว่าโชคดีที่เวลาของข้ามีจำกัด ถ้าข้ามีเวลามากพอข้าสามารถฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดได้ทีละคนโดยไม่ต้องเสียพลังงานใด ๆ เลย แต่พวกเจ้าอย่าพึ่งได้ใจไป วันนี้ต่อให้ข้ามีเวลาไม่พอฆ่าพวกเจ้าทุกคน แต่ข้าก็ยังสามารถลากพวกเจ้าบางคนไปลงนรกได้เช่นกัน!”
เมื่อพูดจบอสูรทมิฬระดับ 13 ตนเดิม ตะโกนไปยังอสูรทมิฬอีก 2 ตนว่า “พี่น้องของข้า ตระกูลมี่เป็นแขกอันทรงเกียรติของเผ่าอสูรทมิฬสงครามของเรา ถึงเวลาทุ่มสุดตัวเพื่อชดเชยงานที่เราไม่สามารถทำได้สำเร็จของเราในครานี้แล้ว!”
อสูรทมิฬอีก 2 ตนพยักหน้าและตอบกลับ “ได้!”
กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาซึ่งได้ยินอสูรทมิฬที่พูดเป็นภาษาเผ่าอสูรของพวกเขาเอง บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ต่างไม่มีใครเข้าใจ และก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็เห็นร่างของอสูรทมิฬทั้งสามหยุดนิ่งอย่างกะทันหันราวกับว่าพวกเขาถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้น
เมื่อบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาเห็นโอกาสอันดีงามเช่นนี้ แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อสูรทมิฬเหล่าถึงหยุดนิ่งไปเฉย ๆ แต่เมื่อเห็นช่องว่างในการโจมตี พวกเขาไม่ลังเลที่จะฟาดฟันอาวุธวิญญาณที่อยูในมือพวกเขาเข้าใส่อสูรทมิฬที่กำลังหยุดนิ่งทันที
แต่ในขณะที่อาวุธทั้งหลายใกล้จะถึงตัวของบรรดาเหล่าอสูรทมิฬ ทันใดนั้นรัศมีสีเลือดก็แผ่กระจายออกจากร่างของอสูรทมิฬทั้งสาม พร้อมเสียงตะโกนอันก้องกังวาล “สังเวยวิญญาณสงคราม!!”
หลังจากอสูรทมิฬทั้งสามตะโกนจบ ร่างของพวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ร่างของพวกเขาพองตัวและใหญ่ขึ้นเจ็ดถึงแปดเท่า และไม่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลง พลังความแข็งแกร่ง ความเร็วและความคมของกรงเล็บของพวกเขาเองนั้นเพิ่มมากขึ้นเจ็ดถึงแปดเท่าเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับบรรดาอาวุธวิเศษที่พุ่งเข้ามามากมาย เหล่าอสูรทมิฬที่กลายเป็นร่างยักษ์พวกเขาไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยง แต่พวกเขากลับใช้ร่างกายของตนเองรับการโจมตีทั้งหมดโดยตรง
ในขณะเดียวกับที่รับการโจมตีอยู่นั้น อสูรทมิฬระดับ 13 ที่เห็นจังหวะเผลอของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาผู้หนึ่งซึ่งไม่ทันระวังตัว เขาวาดกรงเล็บสวนไปยังบริเวณอกของผู้เชี่ยวชาญเคราะร้ายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างของผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นถูกแยกออกเป็นสองส่วนทันที
บรรดาผู้เชี่ยวชาญรู้สึกตะลึงงัน เมื่อจู่ ๆ พวกเขาเห็นภาพอันน่าสยดสยองของคนกลุ่มเดียวกับพวกเขาที่อยู่ในขอบเขตนภาที่ถูกแยกร่างเป็นสองส่วนง่าย ๆ เช่นนี้ พวกเขาตระหนักรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงก็บินถอยหลังทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ
เหล่าอสูรทมิฬทั้งสาม เมื่อพวกเขาได้เปิดใช้ความสามารถพิเศษประจำเผ่า ‘สังเวยวิญญาณสงคราม’ มันส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้พุ่งขึ้นทะลวงมาอยู่ที่ขอบเขตนภาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเผชิญกับความแข็งแกร่งของอสูรทมิฬทั้งสามที่ได้เปิดใช้งานความสามารถพิเศษเช่นนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาฝั่งมนุษย์จึงรู้ตัวทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต้านทานได้ เมื่อเวลาผ่านไปอีกพริบตาหนึ่งในพวกเขาถูกตัดเอวไปอีกหนึ่ง และในขณะที่อีกคนหนึ่งถูกผ่าครึ่งเป็นสองซีก ส่วนบรรดาคนที่ยังเหลือรอดต่างรีบถอยกรูดออกมาจากระยะสังหารของอสูรที่น่ากลัวเหล่านี้ทันที
ความสามารถพิเศษประจำเผ่า ‘สังเวยวิญญาณสงคราม’ เป็นทักษะการเพิ่มพลังทุกด้านของอสูรทมิฬอย่างมหาศาล แต่ทักษะเช่นนี้นั้นมีข้อเสีย เนื่องจากในทุก ๆ ครั้งที่เหล่าอสูรใช้ความสามารถนี้มันจะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของพวกเขาเองเป็นอย่างมาก ความสามารถนี้จึงแทบจะเรียกได้ว่าเป็นความสามารถต้องห้ามที่ถ้าหากไม่จวนตัวจริง ๆ พวกเขาจะไม่มีวันใช้มันเด็ดขาด
ขณะนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างตกตะลึง
ทุกคนต่างตกตะลึงในความแข็งแกร่งของกลุ่มอสูรทมิฬทั้งสาม และพวกเขายังเริ่มรู้สึกหวาดเกรงมี่ตั้วตั้วที่สามารถทำให้บรรดาอสูรทมิฬเหล่านี้ยอมทุ่มเทเป็นอย่างมากเพื่อช่วยเขา
ขณะนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญกำลังเริ่มตรึกตรองเรื่องราวต่าง ๆ ในหัวของพวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอันที่จริงมี่ตั้วตั้วจะมีสถานะอื่นแอบแฝงกับเผ่าอสูรทมิฬสงครามหรือเปล่า? หรือหากมีจริงมันจะคุ้มกันหรือไม่ที่พวกเขาจะยังดึงดันเป็นศัตรูกับมี่ตั้วตั้ว?
ในขณะเดียวกับที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาฝั่งมนุษย์กำลังเกือบจะถอดใจ เหล่าอสูรทมิฬทั้งสามที่กำลังเต็มไปด้วยรัศมีอันแข็งแกร่งที่โชติช่วง พวกเขาบินถอยกลับไปที่มี่ตั้วตั้วและพูดว่า “พวกเราขออภัย ขณะนี้เวลาอัญเชิญของพวกเราได้หมดลงแล้ว ถ้าเราไม่กลับไปตอนนี้เราจะมีปัญหาใหญ่ โปรดเข้าใจพวกเราและขอให้โชคดี…”
เมื่อพูดจบ อสูรทมิฬทั้งสามก็หายวับกลับเข้าไปในเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ที่ลอยอยู่ตรงหน้ามี่ตั้วตั้วอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นอสูรทมิฬทั้งสามหายไปอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างประหลาดใจ
ทำไมอสูรเหล่านี้ถึงหายไปในเวลาเพียง 15 นาที?
มันต้องเป็นครึ่งชั่วยามหรือ 1 ชั่วโมงไม่ใช่เหรอ?
เมื่อยืนงุนงงกันอยู่ได้เพียงครู่หนึ่ง บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่โลภมากเหล่านี้ก็คิดได้ ไม่ว่าทำไมอสูรเหล่านั้นถึงหายตัวไป ในเมื่อพวกอสูรทมิฬไม่อยู่แล้วพวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล!
ขณะนี้ทุกคนจ้องไปที่มี่ตั้วตั้วด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยเจตนาฆ่า พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บมานานหลายปีแล้ว โดยเฉพาะเหล่าสำนักที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาของตนถูกสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราของสำนักเหล่านั้นกำลังจ้องมองไปที่มี่ตั้วตั้ววอย่างโกรธเกรี้ยว เตรียมพร้อมที่จะแยกร่างมี่ตั้วตั้วได้ทุกเมื่อ