บทที่ 163 นิ้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อหวางฟู่ฉีรู้ข่าวของโอสถกำเนิดรากฐาน เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องได้รับโอสถกำเนิดรากฐานนั้นมาให้ได้
หากเขาไม่ได้มันเขาจะทำลายโอสถทั้งหมดให้สิ้น ไม่เช่นนัั้นเส้นทางเต๋าโอสถในอนาคตของเขาจะไม่สามารถไปต่อได้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะขอยืมสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ของสำนักจากเจ้าสำนักของเขามา
ซึ่งทางเจ้าสำนักสวนร้อยพฤกษาเองเมื่อได้รู้ความจริงในเรื่องนี้ เขาให้การสนับสนุน หวางฟู่ฉีอย่างเต็มใจ โดยให้หยิบยืมสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ของสำนักมาที่อาณาจักรจันทราเพื่อจัดการเรื่องนี้ทันที
อันที่จริงหวางฟู่ฉีเองนั้นก็ไม่เคยวางแผนที่จะใช้สมบัติวิเศษระดับสวรรค์กับตระกูลมี่ ในตอนแรก เขาตั้งใจที่ใช้มันเฉพาะในสถานการณ์ที่เขาต้องปกป้องตัวเองหรือไม่ก็ใช้มันเป็นอำนาจต่อรองกับสำนักบุปผาจันทราหรือไม่ก็กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรจันทรา ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้เป็นกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดหวั่น และยิ่งโดยเฉพาะที่สำนักของเขาส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภามาที่นี่เพียง 2 คน หากกลุ่มกองกำลังทั้งสองนี้ต้องการยึดโอสถกำเนิดรากฐานไว้กับตัวเอง ด้วยความแข็งแกร่งของสวนร้อยพฤกษาพวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรได้
ด้วยการใช้สมบัติวิเศษระดับสวรรค์เป็นเครื่องป้องกันควบคู่ไปกับเหตุผลกล่าวอ้างอันชอบธรรมของเขา เขามั่นใจโอสถกำเนิดรากฐานจะต้องกลายเป็นของเขาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตระกูลมี่จะน่ากลัวขนาดนี้ การมีตราคำสั่งของอสูรทมิฬบวกกับอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ขั้นสูง และยังมีชายชราที่อยู่ในระดับขอบเขตสวรรค์ครึ่งขั้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาเปิดใช้งานสมบัติวิเศษระดับสวรรค์มันก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
“ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับท่าน!” หวางฟู่ฉีพูดกับโม่หยูถังด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ข้าจำเป็นต้องได้โอสถกำเนิดรากฐานและข้าต้องการตราคำสั่งอสูรทมิฬ ส่วนอาวุธวิเศษของท่านข้าจะยอมให้ท่านนำมันกลับไปได้”
อันที่จริงหวางฟู่ฉีอยากจะครอบครองสิ่งของทั้งหมดเช่นกัน แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาจะทำให้โม่หยูถังขุ่นโกรธเคืองอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับขอบเขตสวรรค์ครึ่งขั้น ย่อมต้องมาจากขุมพลังที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก เขาเกรงว่าหากวันนี้เขาสังหารโม่หยูถังลงที่นี่ สำนักของเขาอาจจะต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของสำนักที่อยู่เบื้องหลังชายชราผู้นี้แน่นอน และมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่สำนักของเขาจะถูกทำลายลง
อันที่จริง ถ้าหากหวางฟู่ฉีรู้ว่าโม่หยูถังมาจากสำนักเก้าเทพอสูร เขาอาจจะไม่กล้าเสนอข้อเรียกร้องอะไรเลยก็เป็นได้
โม่หยูถังส่ายหัว “สิ่งที่เจ้าต้องการเหล่านั้นไม่ใช่ของข้า หากเจ้าต้องการพวกมันเจ้าต้องไปถามผู้นำมี่ด้วยตัวเอง แต่ข้าคิดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องไปถามหรอก เขาไม่มีวันตกลงกับเจ้าด้วยแน่”
หวางฟู่ฉีมองไปที่มี่ตั้วตั้วและพูดว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร ถ้าเจ้ามอบโอสถกำเนิดรากฐานและตราคำสั่งอสูรทมิฬให้ข้า ข้าจะรับพวกเจ้าทั้งสองพ่อลูกเข้าสู่สำนักสวนร้อยพฤกษา และข้าจะแจ้งกับท่านเจ้าสำนักให้มอบตำแหน่งศิษย์หลักให้กับพวกเจ้า”
มี่ตั้วตั้วส่ายหัว “ข้าไม่ให้ เว้นแต่เจ้าจะฆ่าข้าชิงมันไป!”
เขาจะให้ได้ยังไง? นั่นคือสมบัติวิเศษที่ผูกเข้ากับดวงชะตาของเขาและตระกูล!
“ท่านจะไม่โน้มน้าวเขาหน่อยหรือ?” หวางฟู่ฉีมองไปที่โม่หยูถังอีกครั้ง “ข้าคิดว่ามันจะดีที่สุดที่เราสามารถตกลงกันได้อย่างสันติโดยที่ไม่จำเป็นต้องฆ่าแกงกัน ที่สำคัญพวกเขาเองยังจะได้รับผลประโยชน์จากการเป็นศิษย์ของสำนักข้าด้วย ท่านว่าทางออกแบบนี้มันจะไม่ดีกว่าหรือไง?”
โม่หยูถังหัวเราะ “ต่อให้เจ้ามีสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ แต่ข้าไม่คิดว่าวันนี้เจ้าจะเอาอะไรติดมือกลับไปได้หรอก ข้าขอแนะนำอะไรเจ้าให้อย่างหนึ่งในฐานะที่เจ้ายอมเจรจากับข้า ข้าแนะนำว่าเจ้าควรจากไปตั้งแต่ตอนนี้ หากเจ้ายอมฟังข้า วันนี้เจ้าจะสามารถรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้”
หวางฟู่ฉีเงียบไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “ในเมื่อคำตอบของพวกเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่น!”
ขณะนี้หวางฟู่ฉีได้ตัดสินใจแล้วที่จะแย่งโอสถกำเนิดรากฐานมา เนื่องจากมันมีความสำคัญต่อเขามาก เขาจะปล่อยมันไปแบบนี้ไม่ได้หากเขาต้องการสร้างความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ส่วนตราคำสั่งของอสูรทมิฬเองก็สร้างสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้สำนักของเขาได้เป็นอย่างมาก เขาจะปล่อยมันให้หลุดมือไปได้อย่างไร?
“ท่านจักรพรรดิโอสถเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าหวังว่าท่านจะยังคงความสัมพันธ์ของเราไม่โจมตีข้า” จูเถียเหอพูดขึ้นด้วยความกังวล
หลี่จือหลิง เมื่อเห็นสถานการณ์ที่นางเผชิญและคิดอะไรบางอย่างได้ นางจึงพูดขึ้นอย่างกังวลเช่นกัน “ท่านจักรพรรดิโอสถ ไม่ว่าท่านจะตั้งใจทำอะไรต่อไป ท่านจงคิดให้ดี อาจารย์ของข้ายังอยู่ข้างนอกและสำนักของข้ายังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ของอาณาจักรจันทรา ซึ่งเป็นคนของสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ ท่านแน่ใจเหรอว่าท่านต้องการล่วงเกินพวกเขา?”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราทั้งหมด เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่จือหลิงและจูเถียเหอ พวกเขาต่างก็เริ่มคิดอะไรได้บ้างแล้วว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่หวางฟู่ฉีจะฆ่าคนที่นี่ทั้งหมดเพื่อชิงสมบัติและปิดปากพวกเขา!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น พวกเขาจึงร่วมกันขอความเมตตาและอ้าวเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อหวังให้จักรพรรดิโอสถจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามตามที่พวกเขาคิด ไม่เช่นนั้นหากพวกเขารอให้จักรพรรดิโอสถทำอะไรลงไป พวกเขาทั้งหมดคงอาจจะตายกันจริง ๆ
หวางฟู่ฉีแสยะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยอดเขาหยกจักรพรรดินั้นน่ากลัวก็จริง แต่เจ้าอย่าลืมสิ ภายในอาณาเขตนี้ของข้า คนภายนอกจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉะนั้นหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและคนเหล่านี้ ข้าก็แค่อ้างว่าพวกเจ้าถูกคนของหลิงตู้ฉิงฆ่า ส่วนข้าแค่ใช้สมบัติวิเศษระดับสวรรค์ของข้าเพื่อปกป้องตัวเอง”
“และเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดได้ตายไป สมบัติวิเศษของพวกเจ้ารวมถึงของเขาจะเป็นของข้าทั้งหมดทันที ฉะนั้นหากพวกเจ้าเป็นข้า พวกเจ้าเองก็คงทำเช่นเดียวกับข้าเช่นกัน!”
อันที่จริงในตอนแรก หวางฟู่ฉีไม่กล้าที่จะฆ่าคนจำนวนมากจากหลาย ๆ สำนัก เพราะมันจะทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก
อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรากฏกายของโม่หยูถังที่มีพลังมากจนสามารถสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ เขาจึงได้โอกาสคิดแผนการกำจัดคนเหล่านี้เพื่อชิงสมบัติและโยนความผิดให้กับโม่หยูถังรับไปเต็ม ๆ เพื่อให้เขารอดตัว
หลังจากหวางฟู่ฉีพูดจบ ฉากของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็พังทลายลง จากนั้นพลังวิญญาณอันน่าครั่นคร้ามได้ก่อตัวขึ้นจากด้านบนและพุ่งลงมากดทับผู้คนที่อยู่ในอาณาเขตที่หวางฟู่ฉีสร้างขึ้น ส่งผลให้ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราและขอบเขตประสานทะเลปราณล้มหมดสติลงทันที
ด้วยแรงกดดันจากพลังวิญญาณที่ก่อตัวขึ้น มีเพียงโม่หยูถังและมี่ไลที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของหลิงจู้เท่านั้นที่ยังคงปลอดภัย แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังปลอดภัย เส้นใยของหลิงจู้บางส่วนก็เริ่มแหลกสลายไปจากแรงกดทับอันมหาศาลที่กดทับลงมายังพวกเขา
ในขณะที่แรงกดทับจากพลังวิญญาณอันมหาศาลเริ่มกดลงมายังหลิงจู้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไปหลิงจู้เองก็เริ่มสั่น มันออกอาการแสดงให้เห็นว่ามันใกล้จะถึงจุดที่ไม่สามารถทนได้แล้ว
ในช่วงวินาทีวิกฤตที่กำลังจะมาถึงนั้น จู่ ๆ บนท้องฟ้ากลับปรากฏรอยแยกเป็นรูขนาดใหญ่เกิดขึ้น!
รูขนาดใหญ่ที่จู่ ๆ ปรากฏขึ้นทำให้โม่หยูถัง มี่ไลและหวางฟู่ฉีตะลึงงัน
และภาพที่ปรากฏตามมาที่ออกปรากฎให้เห็นผ่านรูนั้น คือ นิ้ว!
นิ้วชี้ขนาดยักษ์ ปรากฏขึ้นบริเวณรอยแยกของรูกลางท้องฟ้า
นิ้วชี้นั้นค่อย ๆ ลอยหล่นลงมา ในระหว่างที่มันค่อย ๆ พุ่งหล่นลงมาขนาดของมันค่อย ๆ ย่อส่วนลงเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ จนเมื่อมาถึงจุดหมายของมันคือ เหรียญตรงคำสั่งของสำนักสวนร้อยพฤกษาที่เป็นสมบัติระดับบรรพบุรุษ ซึ่งกำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของ หวางฟู่ฉีที่ยืนตะลึงงัน และไม่สามารถขยับตัวได้ด้วยพลังลึกลับบางอย่าง
นิ้วนั้นเมื่อลอยมาเหรียญตราคำสั่งที่ลอยอยู่บนศีรษะของหวางฟู่ฉี มันหดขนาดเหลือแค่เพียงขนาดของนิ้วชี้มนุษย์ปกติ
“ไม่…!”
หวางฟู่ฉีตะโกนด้วยความตื่นตระหนก เขารู้ได้ทันทีว่านิ้วนี้คือภัยคุกคามอันใหญ่หลวงที่จะสามารถทำลายสมบัติวิเศษของสำนักเขาได้แน่นอน และถ้าสมบัติของสำนักถูกทำลายลงในระหว่างที่เขาครอบครองมันอยู่ เขาจะกลายเป็นคนบาปของสวนร้อยพฤกษาทันที
น่าเสียดายที่คำที่เขาร้องออกมานั้นไม่มีผลใด ๆ เลยกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น นิ้วชี้นั้นเสียดแทงไปยังสมบัติระดับสวรรค์ของสำนักของทันทีซึ่งตามมาด้วยเสียงแตกดัง ‘ปัง’ พร้อมกับที่เหรียญตราคำสั่งนั้นแตกกระจุยออกเป็นเสี่ยง ๆ รวมไปถึงร่างกายของหวางฟู่ฉีเองก็สลายจางหายไปกับแรงระเบิดเช่นกัน
เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดเกิดเป็นช่วงเวลาเพียงไม่เกิน 5 ลมหายใจเท่านั้น
เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง เสียงอันเย็นชาได้ดังลอดมาจากรูขนาดยักษ์บนท้องฟ้า “พ่อบ้านโม่ ข้าจะส่งกงหนิวไปรับเจ้ากับมี่ไลกลับมาที่คฤหาสน์เดี๋ยวนี้ อย่าลืมนำหลิงจู้กลับมากับพวกเจ้าด้วย หลิงจู้ได้รับบาดเจ็บ”
เมื่อเสียงที่ดังขึ้นได้เงียบหายไป นิ้วชี้ที่ยังคงลอยอยู่นั้นกลับพุ่งขึ้นไปชนกับฉากมายาบนท้องฟ้าและระเบิดพลังของมันออก ส่งผลให้อาณาเขตที่หวางฟู่ฉีสร้างขึ้นพังทลายลงในทันที!
“มันถูกทำลายได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?” เสี่ยวเยว่เฟิงอุทานด้วยความตกใจ
“ก็ไม่เห็นยากอะไร” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่แยแส ในขณะที่เขาดึงมือออกจากจอภาพตรงหน้า
ทุกคนในลานหน้าคฤหาสน์สราญรมย์ต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเบิกตากว้าง
บรรดาเด็ก ๆ นั้นไม่ทราบว่าการโจมตีของหลิงตู้ฉิงนั้นหมายถึงอะไรและมันรุนแรงขนาดไหน
พวกเขารู้สึกเพียงว่ามันลึกลับและน่าสงสัย พวกเขาสงสัยว่าเหตุใดพ่อของพวกเขาจึงยื่นมือเข้าไปในจอภาพและสามารถสังหารชายชราที่น่าตายผู้นั้นได้ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเสี่ยวเยว่เฟิงและถังชี่หยุนนั้นต่างออกไปจากบรรดาเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกนางนั้นเข้าใจความแข็งแกร่งของอาณาเขตที่หวางฟู่ฉีสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี
มันไม่ใช่สิ่งที่ทำลายได้ง่าย ๆ ต่อให้จะมีพลังเท่ากับขอบเขตสวรรค์ก็ตาม และที่สำคัญหลิงตู้ฉิงไม่ได้ทำลายแค่เฉพาะอาณาเขตที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเท่านั้น เขายังทำลายสมบัติระดับสวรรค์ได้โดยใช้การโจมตีเพียงครั้งเดียวอีกต่างหาก!
หนึ่งการโจมตี ทำลายทั้งคน ทั้งอาณาเขต ทั้งสมบัติ!
ในเวลานี้ภายในอาคารประมูลตระกูลมี่ มี่ตั้วตั้วและมี่ไลก็ตกใจเช่นกัน พวกเขามองไปที่โม่หยูถังและถามว่า “มันถูกทำลายได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?”
ขณะที่พวกเขาติดอยู่ในอาณาเขตที่หวางฟู่ฉีสร้างขึ้น พวกเขารู้สึกได้ว่ามันทรงพลังมากเพียงใด หรือต่อให้พวกไม่สามารถสัมผัสอะไรได้แต่พวกเขาก็สามารถสังเกตถึงอำนาจของมันได้จากเส้นขนของหลิงจู้ที่สลายหายไปเป็นจำนวนมาก
“มันน่ามหัศจรรย์ใช่ไหมล่ะ?” โม่หยูถังพูดด้วยรอยยิ้มพลางชี้ไปที่ซากศพของบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา “ผู้นำมี่ สำหรับค่าเหนื่อยของข้า ข้าจะขอแหวนมิติของผู้คนเหล่านี้เป็นจำนวน 10 วง ส่วนที่เหลือท่านก็นำพวกมันไปก็แล้วกัน”
มี่ตั้วตั้วเมื่อได้ยินคำพูของโม่หยูถัง เขารีบพยักหน้ารัว ๆ อย่างรวดเร็วทันทีพร้อมกับพูด “ท่านพ่อบ้าน ไม่ต้องเกรงใจข้า ๆ ของทั้งหมดนี่เป็นผลงานของท่านทั้งนั้น ท่านนำมันไปทั้งหมดได้เลย ๆ”
โม่หยูถังยิ้มและพูดว่า “ข้าแค่อยากดูว่ามีวัสดุที่ข้าต้องการหรือไม่ เพื่อที่ข้าจะได้นำพวกมันไปให้นายท่านหลอมอาวุธให้ข้า ด้วยแหวนมิติ 10 วงก็น่าจะเพียงพอแล้ว แม่นางมี่นายท่านส่งคนมารับเราแล้ว ไปกันเถอะ!”
“ท่านพ่อ ข้าจะกลับแล้ว!” มี่ไลรีบพูดกับมี่ตั้วตั้วเพราะนางได้เห็นกงหนิวบินลากรถม้าเข้ามาจอดลงบนซากปรักหักพังที่อยู่ใกล้ ๆ เรียบร้อยแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นนางจะต้องรีบส่งหลิงจู้ไปหาหลิงตู้ฉิงทันทีเพื่อเยียวยามัน
ในขณะเดียวกัน โม่หยูถังได้ยื่นมือออกไปเพื่อเรียกแหวนมิติ 10 วงของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาที่ตายด้วยน้ำมือเขา บินเข้ามาในมือ
เมื่อมี่ไลร่ำลาพ่อของนางเสร็จและโม่หยูถังเก็บกวาดแหวนมิติเรียบร้อย พวกเขาจึงเข้าไปในรถม้าและกลับไปยังคฤหาสน์สราญรมย์ในทันที