บทที่ 205 บุกวังหลวง
เมื่อหลิงตู้ฉิงสั่งให้ซือโถวเหวินหยวนมากับเขาเพื่อไปที่พระราชวัง
ซือโถวเหวินหยวน เมื่อเข้าไปในรถม้าของหลิงตู้ฉิงเป็นครั้งแรก เขาก็ต้องตกตะลึง
“นายท่าน นี่มันคือ ‘เขตแดน’ ใช่ไหม?” ซือโถวเหวินหยวนถามอย่างไม่แน่ใจ
ซือโถวเหวินหยวนเคยเห็นเขตแดนที่แท้จริง ที่ถูกใช้โดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์มาแล้ว ซึ่งมันมีขนาดกว้างกว่านี้เท่าตัว เขาจึงมั่นใจครึ่งหนึ่งว่านี่ต้องใช่เขตแดนแน่ ๆ เนื่องจากความรู้สึกที่ได้จากมันล้วนเหมือนกัน จะแตกต่างก็เพียงแค่พลังของมันที่ด้อยกว่าเล็กน้อยและขนาดความกว้างที่ต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงจริง ๆ นั่นก็คือหลิงตู้ฉิงสามารถปรับแต่งให้พาหนะของเขามีเขตแดนอยู่ภายในมันได้ยังไง? เขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่?
หลิงตู้ฉิงออกคำสั่ง “กงหนิว มุ่งตรงไปที่พระราชวัง!”
“รับทราบ นายท่าน!” กงหนิวรีบตอบ จากนั้นเขาก็ลากรถม้าไปที่พระราชวังอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลิงตู้ฉิง ซือโถวเหวินหยวนก็อดไม่ได้ที่จะแอบตัวสั่น ถ้าเขาไม่ยอมติดตามหลิงตู้ฉิงและกลายเป็นศัตรูของหลิงตู้ฉิง ผู้ที่มีแม้กระทั่งพาหนะวิเศษที่มีเขตแดนเทียมถูกฝังไว้ด้านในรถม้า ชะตาชีวิตของเขาคงจบไม่สวนแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับตัวเองอย่างขมขื่น และรู้สึกสงสารกับพวกกลุ่มคนโลภที่จ้องมองคฤหาสน์สราญรมย์
คนกลุ่มนั้นคิดไปเองว่าพวกเขารู้จักไม้เด็ดของหลิงตู้ฉิง แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่พวกเขาได้เริ่มต่อสู้พวกเขาทุกคนคงได้แต่ร้องไห้ หรือบางทีอาจจะไม่มีเวลาแม้แต่จะร้อง
เมื่อกงหนิวใช้พละกำลังทั้งหมดลากรถม้า หลิงตู้ฉิงก็มาถึงพระราชวังภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
บรรดาทหารยาม เมื่อพวกเขาเห็นรถม้ามุ่งตรงเข้ามาทางตำหนัก ‘หทัยไร้พันธะ’ และพวกเขายังจำได้ว่ารถม้าคันนี้เป็นของคณบดีแห่งศาลาศักดิ์สิทธิ์ แถมคนผู้นั้นยังมีสถานะเป็นหลานเขยขององค์จักรพรรดิ และบวกไปกับพวกเขารู้แล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตำหนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะหยุดรถม้าของหลิงตู้ฉิง
เมื่อเหลียงซานและคนของเขาเห็นการมาถึงของหลิงตู้ฉิง พวกเขายืนมองนิ่งไม่พูดอะไร อย่างไรก็ตามมีบางอย่างอยู่ในแขนเสื้อของจางหมิง ซึ่งก็คืออาวุธระดับสวรรค์ที่พวกเขาเตรียมไว้เผื่อในกรณีที่เจรจากันไม่รู้เรื่อง
เมื่อเขาเห็นหลิงตู้ฉิงออกจากรถม้าพร้อมกับชายชราผู้หนึ่ง ท่าทีของพวกเขาก็จริงจังขึ้น
ตาแก่คนนั้นเป็นใคร?
เมื่อเหลียงเฟ่ยเอ๋อเห็นหลิงตู้ฉิงปรากฏตัวขึ้น นางก็วิ่งเข้าหาหลิงตู้ฉิงอย่างตื่นเต้นและซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
“ข้าก็เคยบอกเจ้าไปตั้งนานแล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่เจ้าก็ไม่ยอมฟังและยังดึงดันจะมาให้ได้” หลิงตู้ฉิงยิ้ม
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดด้วยความเศร้าเล็กน้อย “ก็ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นกันถึงขนาดนี้!”
“มันก็อย่างที่ข้าเคยบอก ยิ่งเจ้าเห็นมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขา” หลิงตู้ฉิงยิ้มขณะที่เขาปลอบโยนนาง
ในตอนนี้เหลียงซานมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “หลิงตู้ฉิง เหตุใดเจ้าจึงกล้าเข้ามาในตำหนักข้าโดยไม่ได้รับเชิญ เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าไม่สามารถเดินทางเข้ามาในพื้นที่สำคัญของพระราชวังได้?”
“แต่เห็นแก่เจ้าที่มีส่วนช่วยให้อาณาจักรของข้ามีชื่อเสียงมากขึ้น และเห็นแก่ตระกูลหลิงของเจ้าที่สร้างคุณงามความดีมามากมาย ข้าจะไม่ติดใจเอาความเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ามาตอนนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะข้าเองก็มีเรื่องจะคุยกับเจ้าพอดี เจ้ารู้ไหมว่าร่างกายของ เฟ่ยเอ๋อ คือ กายาแก่นแท้ปฐพีที่หายาก เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า กายาแก่นแท้ปฐพี หมายถึงอะไรงั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง…”
หลิงตู้ฉิงหันหน้ามองไปที่เหลียงซานและพูดตัดบทเขาอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่อง กายาแก่นแท้ปฐพี ให้ข้าฟังหรอก ข้ารู้เรื่องของมันดีกว่าเจ้าอีกด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้วก็ดี ฉะนั้นเจ้ารู้ใช่ไหมว่าร่างกายของนางมีค่ามากแค่ไหน?” เหลียงซานพูดต่อ “ข้าเองในตอนแรกก็ไม่รู้ว่านางมีร่างกายเช่นนี้และด้วยความที่ข้าไม่รู้ข้าจึงพลาดยกนางให้เจ้าไปโดยที่ข้าไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเจ้าเลย! ฉะนั้นในเมื่อตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็รู้เรื่องนี้กันดีแล้ว เจ้าก็ควรจะต้องจ่ายให้ข้าในราคาที่สมเหตุสมผล…”
ในขณะที่เหลียงซานยังพูดไม่ทันจบ หลิงตู้ฉิงก็ได้โอบไหล่เหลียงเฟ่ยเอ๋อแล้วหันหลัง เดินกลับไปขึ้นรถม้าพร้อมกับพูดว่า “พวกเรากลับกันเถอะ!”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “อื้ม สามีข้าขอบคุณนะ”
ความตั้งใจจริงของนางที่ขอบคุณหลิงตู้ฉิงนั้น คือนางขอบคุณเขาที่ไม่ได้ทำอะไรกับปู่ของนางลงไป
อย่างไรก็ตามเหลียงซานและคนอื่น ๆ ย่อมจะไม่เข้าใจ เหลียงซานที่กำลังพูดอยู่ เมื่อเขาเห็นท่าทีไม่แยแสของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็มืดหม่นลงทันที
จางหงที่เห็นสีหน้าของเหลียงซาน เขาเข้าใจได้ทันทีว่าต้องทำอะไรต่อ “เจ้ากล้าลบหลู่องค์จักรพรรดิเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง!”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่จางหงและถามว่า “เป็นกลิ่นอายของเจ้าเองสินะที่ข้าสัมผัสได้เมื่อครู่ เจ้าคือคนที่เผชิญหน้ากับเฟิง เอาล่ะ ซือโถว หลายคนที่นี่ยังไม่รู้จักเจ้าดีสักเท่าไหร่ พวกเรามาทำให้เขารู้จักเจ้ากันดีกว่า เจ้าจงจับเขามาให้ข้าแบบเป็น ๆ ข้าจะเอาเขากลับไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ของข้า และพ่อบ้านโม่ หากใครคนไหนมันขยับเจ้าสามารถฆ่ามันได้ทันที แต่ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดข้าจะรับช่วงต่อเอง”
เหลียงซานเมื่อได้ยินเช่นนี้เขามองมายังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาดุดัน และจางหมิงเองยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เมื่อได้รับคำสั่ง โม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนตอบรับคำสั่งของหลิงตู้ฉิงแทบจะพร้อม ๆ กันก็ “เข้าใจแล้วนายท่าน!”
พูดจบโม่หยูถังเรียกหอกยาวสีดำสนิทออกมาอยู่ในมือทันที มันคืออาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ชั้นสูงสุด ‘หอกทะลวงเมฆา’ สำหรับซือโถวเหวินหยวน เขามองไปที่จางหงจากนั้นจึงเกาหัวตัวเองและพูดว่า “ขอบเขตนภาระดับ 7 ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับเขาเป็น ๆ! โชคดีที่ข้ายังพอมีลูกเล่นที่ข้าเชี่ยวชาญอยู่บ้างไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าคงจะมีโอกาสอยู่หลายส่วนที่เขาจะต้องตายก่อนได้จับเป็นแน่ ๆ”
จางหงหัวเราะเยาะ “เจ้าต้องการจับข้าเหรอ? เจ้ามีความสามารถขนาดนั้นเลย?”
“แน่นอนว่าข้ามีแน่!” ซือโถวเหวินหยวนพูดขึ้น “อันที่จริงอักขระมนตรามีเก้าตัว แต่ข้าเข้าใจแค่อักขระตัวเดียวนั่นก็คือ ‘กักขัง’ ซึ่งแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่ข้าจะไว้ใช้มันจับเป็นตัวเจ้า!”
ในขณะที่ซือโถวเหวินหยวนกำลังพูด มือทั้งสองของเขาก็เริ่มวาดตัวอักษรขึ้นบนอากาศจากนั้นเขาส่งบรรดาตัวอักษรเข้าล้อมรอบจางหง และสั่งให้มันเริ่มกระชับวงล้อมให้แคบขึ้นเรื่อย ๆ
“จะ เจ้าเป็นคนจากสำนักเต๋าสวรรค์!” จางหงหน้าซีดด้วยความตกใจ เขารีบโคจรพลังวิญญาณขอบเขตนภาระดับ 7 พร้อมกับใช้กระบี่วิเศษระดับราชวงศ์ ฟันใส่อักษรที่อยู่รอบ ๆ ตัว เขาพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง
เขารู้ตัวดีว่าหากเขาถูกอักษรเหล่านี้บีบเข้ามาถึงตัว เขาจะไม่มีวันหลุดจากพันธนาการของพวกมันแน่นอน และหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็คงจะไม่เหลืออีกต่อไป
จางหงรู้ดีว่าชะตากรรมของบรรดาผู้คนที่ถูกหลิงตู้ฉิงจับตัวไว้จบไม่สวยสักคน หากจะดูตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือพวกหุ่นเชิดหลายตัวที่ยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์สราญรมย์นั่น
แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจางหงจะพยายามฟาดฟันตัวอักษรเหล่านี้อย่างไรมันก็ไม่เป็นผล เนื่องจากกระบี่ที่ฟาดใส่ออกไปมันไม่มีผลใด ๆ กับตัวอักษรเหล่านี้แม้แต่น้อย ปราณกระบี่ที่ปล่อยออกมันพุ่งทะลุเหล่าตัวอักษรไปเฉย ๆ ซะอย่างนั้นราวกับมันเป็นธาตุอากาศที่ไม่สามรถจับต้องได้
บรรดาอักษรเหล่านั้นบีบวงล้อมเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วจนประทับเข้ากับร่างของเขาและผนึกการโคจรพลังวิญญาณในร่างกายของเขาทั้งหมด แต่มันยังตรึงให้ร่างเขาไม่สามารถขยับได้
ซือโถวเหวินหยวนเอื้อมมือไปคว้าจางหงซึ่งไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป เขายิ้มและพูดว่า “ท่านหลิง โชคดีที่ภารกิจที่ท่านมอบให้สมบูรณ์อย่างไรที่ติ!!”
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อซือโถวเหวินหยวนจับกุมจางหมิงได้ เหลียงซานที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกตกตะลึง เขารู้ได้ทันทีว่าตาแก่ที่หลิงตู้ฉิงพามาด้วยผู้นี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 12 และที่สำคัญที่สุดคือตาแก่ผู้นี้ยังเป็นคนที่มาจากสำนักเต๋าสวรรค์ ซึ่งเป็นขุมกำลังที่ทรงพลัง
เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มไม่น่าดู เหลียงซานหยิบแหวนหยกขึ้นมาจากแหวนมิติและสวมใส่ทันที พร้อมกับตะโกนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ปล่อยคนของข้าเดี๋ยวนี้!”
โม่หยูถังมองไปที่แหวนหยกและยิ้ม “สมบัติวิเศษระดับสวรรค์งั้นเหรอ เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเจ้าจะลงมือ? นายท่านของข้าสั่งกับข้าไว้แล้วนะ ว่าถ้าใครกล้าขยับมันผู้นั้นจะต้องตาย!”
“เจ้ามันเป็นแค่คนพิการ ตอนนี้คำพูดของเจ้ามันทำให้ข้ากลัวไม่ได้หรอก!” เหลียงซานหัวเราะเยาะ
โม่หยูถังยิ้มและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าจะลองดูก็ได้”
เหลียงซานกำหมัดแน่น จากนั้นทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร เขาจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา เขาอยากจะให้จางหมิงลงมือฆ่าหลิงตู้ฉิง และคนอื่น ๆ ให้หมดให้จบเรื่องไป แต่ว่าเขายังคงลังเลเนื่องจากมีคำถามสองสามข้อที่ยังไม่มีคำตอบว่าทำไมโม่หยูถังถึงยังคงโอหังได้อยู่หลังจากที่ความพิการของเขาถูกเปิดเผย?
นอกจากนี้ หลิงตู้ฉิงก็มาจากสำนักเก้าเทพอสูรไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดผู้เชี่ยวชาญที่มาจากสำนักเต๋าสวรรค์ผู้นี้ถึงได้มาเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ ?
ตราบใดที่เขาไม่สามารถหาคำตอบของปัญหาเหล่านี้ได้ เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม
ขณะที่เขากำลังสงสัยก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากข้างนอก “ฝ่าบาท ข้าคิดว่าตอนนี้ท่านอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากข้า”
หลูซ่างเก๋อเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกนอันก้องกังวาล
Related