บทที่ 227 ผ่านมิติ
เมื่อมองไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ด้วยการคงอยู่ของค่ายกลจึงยังไม่มีใครกล้าที่จะบุกเข้าไปก่อนเป็นคนแรก
ทุกคนต่างชำเลืองมองไปยังเหล่าอสูรโลหิต และลอบสังเกตว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไป
พวกเขาต่างได้ยินมาว่าอสูรโลหิตเหล่านี้มาที่นี่ก็เพราะเรื่องที่หลูซ่างเก๋อถูกกินไปก่อนหน้านี้
หลีเทียนหยู ผู้ซึ่งเป็นอดีตสหายของหลูซ่างเก๋อได้ลุกขึ้นและพูดกับจี้จู่ว่า “พวกท่านเป็นผู้ที่มาจากสันเขาหมื่นอสูรใช่ไหม? ข้าและหลูซ่างเก๋อ พวกเราเป็นสหายกัน ในเมื่อตอนที่เขาถูกสังหารข้าเองก็ต้องการที่จะช่วยเขา แต่เนื่องจากทางฝั่งของหลิงตู้ฉิงนั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมากและข้าไม่สามารถสู้กับพวกเขาได้ ข้าจึงจำใจต้องหนีเอาตัวรอดออกมาก่อน แต่ตอนนี้ในเมื่อพวกท่านได้มาถึงแล้ว ข้าอยากจะขอติดตามพวกท่านเข้าไปด้านในเพื่อล้างแค้นให้กับสหายของข้า”
หลีเทียนหยูเคยได้ยินชื่อของสันเขาหมื่นอสูรมาก่อน ถ้าหากเขาสามารถผูกสัมพันธ์กับสันเขาหมื่นอสูรได้ เขาแน่ใจว่าเขาจะไม่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตทะเลชางหมางอีกต่อไป และอนาคตของเขาจะต้องสดใสแน่นอน
และยิ่งถ้าหากเขาโชคดีได้ติดตามโอรสสวรรค์ของสันเขาหมื่นอสูร ชะตาชีวิตของเขาในอนาคตจะต้อง…
ในขณะเดียวกับที่หลีเทียนหยูกำลังฝันหวาน จี้จู่ได้หายตัวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าเขาสามารถทะลุมิติมาได้
“เจ้าเป็นสหายของหลูซ่างเก๋องั้นเหรอ?” จี้จู่ถามขณะส่งยิ้มให้
หลีเทียนหยูพยักหน้าและรีบตอบทันที “ใช่ ๆ ข้าเป็นสหายที่สนิทที่สุดของเขา”
“ถ้างั้นหลูซ่างเก๋อได้บอกเจ้าเกี่ยวกับกุญแจเปิด เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ไหม?” จี้จู่ถามขึ้น
หลีเทียนหยูรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ขะ เขาไม่เคยเอ่ยถึงอะไรที่เกี่ยวกับมันมาก่อนเลย นี่เขามีกุญแจเข้าสู่ เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ อยู่กับตัวด้วยงั้นเหรอ?”
“เจ้าคงจะไม่รู้จริง ๆ สินะว่า หลูซ่างเก๋อได้ขโมยกุญแจเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของนายท่านพวกเราไป และหนีมาซ่อนตัวที่นี่?” จี้จู่เริ่มเผยรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง “เจ้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นี่เจ้าเป็นสหายกันภาษาอะไร? ไร้ประโยชน์สิ้นดี! ตายไปซะ!”
หลีเทียนหยูสะดุ้งโหยงพร้อมกับตะโกนอย่างรวดเร็ว “อะ อันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้สนิทกับเขาถึงขนาดนั้น…”
อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลูซ่างเก๋อเป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ฉะนั้นเขาจะไปรู้เรื่องราวที่หลูซ่างเก๋อขโมยกุญแจมาจากโอรสสวรรค์ของสันเขาหมื่นอสูรได้ยังไง? ในขณะที่เขากรีดร้อง เขารีบถอยตัวห่างอย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายที่จี้จู่ได้เข้ามาถึงตัวเขาก่อนที่จะทันได้หนีพ้น และสูบเลือดเขาจนหมดตัวทิ้งไว้แต่ศพที่แห้งกรอบหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เมื่อทุกคนได้เห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนต่างพากันถอยห่างจากเหล่าอสูรโลหิตมากขึ้นทันที
ไม่มีใครที่คิดว่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภา จะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอสูรโลหิตได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว
จี้จู่เหลือบมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบ ๆ และพูดด้วยย้ำเสียงเย็นชา “อย่าพึ่งทำอะไรกันทั้งนั้น ข้าจะเข้าไปสังเกตการณ์ด้านในก่อน”
หลังจากพูดจบ จี้จู่ก็หายตัวเข้าไปด้านในคฤหาสน์ทันที
เฉินถิงฟาง ผู้มาจากสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิขมวดคิ้ว และพูดกับหญิงชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง “ท่านป้าซู อสูรโลหิตตนนั้นมันเข้าไปแล้ว เราควรจะใช้เหรียญตราผนึกสวรรค์ช่วยเขาดีไหม เราอาจจะได้ผูกสัมพันธ์กับสันเขาหมื่นอสูรไปในตัวด้วยอีกทางหนึ่ง”
ซูอี้เว่ยส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ อสูรโลหิตทั้ง 12 ตนนั่นไม่ใช่อสูรธรรมดา โดยเฉพาะจี้จู่ที่เป็นผู้นำกลุ่มของพวกเขา นอกจากที่เขาจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภาแล้ว เขายังมีสายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเดินทางผ่านมิติได้ ด้วยความสามารถนี้ของเขา เขาจึงกล้าที่จะบุกเข้าไปด้านในคฤหาสน์ ตอนนี้พวกเราก็รอดูไปก่อนว่าเขาจะสามารถกับเจ้าหนุ่มนั่นได้รึเปล่า ถ้าเขาสามารถจัดการได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงใช้เหรียญตราผนึกสวรรค์”
“ผ่านมิติ?” เฉินถิงฟางขมวดคิ้ว
ซูอี้เว่ยพยักหน้าและพูดว่า “จี้จู่ นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในทักษะการลอบสังหารและสอดแนม ตอนนี้เรารอฟังข่าวดีจากเขาก่อนดีกว่าค่ะ”
ด้านในคฤหาสน์สราญรมย์ หลิงตู้ฉิงยังคงสงบนิ่งถึงแม้ว่าเขาจะถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูมากมายที่อยู่ด้านนอก
และที่ด้านข้างของเขามีรถม้าสีดำทมิฬจอดอยู่พร้อมกับโม่หยูถัง ซือโถวเหวินหยวนเองก็ยืนอยู่อีกด้านของเขา และเขยิบไปไม่ห่างเท่าไหร่ โจวจื่อซินก็กำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างเหล็กเช่นกัน
หลิงตู้ฉิง ในตอนนี้กำลังนั่งหลอมกระบี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ด้วยการใช้แร่เหล็กทมิฬที่ได้มาจากเผ่าอสูรทมิฬเป็นส่วนผสมหลักในการหลอมกระบี่ จากกระบี่ยาวธรรมดาที่มีสีดำทมิฬหลังจากที่มันถูกเปลวเพลิงลามเลียอยู่ซ้ำ ๆ จากสีที่ดำทมิฬของมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงแทน
ในขณะที่เขากำลังจะใช้เปลวเพลิงเผาตัวกระบี่รอบใหม่ ร่างของจี้จู่ จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เดินทางผ่านมิติ?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
ถึงแม้ปากของหลิงตู้ฉิงจะพูดขึ้น แต่แขนของเขาก็ยังไม่หยุดขยับ เขายังคงทำการหลอมกระบี่ต่อไปโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย
จี้จู่ไม่ได้ตอบคำถามของหลิงตู้ฉิง กลับกันเขากลับถามตอบ “เจ้าเป็นหนึ่งในคนที่กินเนื้อกวางเข้าไปใช่ไหม?”
“เอ่อ…เนื้อกวาง? เจ้ากำลังพูดถึงกวางวิเศษนั่นน่ะเหรอ ไอ้ตัวที่มันมีชื่อว่าหลูซ่างเก๋อใช่ไหม?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ถ้าหากเจ้าพูดถึงกวางตัวนั้น ใช่แล้วเป็นข้าเองล่ะที่กินมัน”
โม่หยูถังยิ้มและพูดขึ้น “ข้าก็กินมันเหมือนกัน!”
“ข้าก็ด้วย” ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้า
โจวจื่อซินพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “ข้าเองก็อยากกินมันเหมือนกัน แต่นายท่านของข้าบอกว่ามันไม่เหมาะกับข้า เขาก็เลยไม่แบ่งให้ข้ากินบ้างเลย”
จี้จู่มองไล่ไปทีละคน ๆ ที่บอกว่ากินเนื้อกวาง และเมื่อมองไล่ไปสายตาของเขาก็มาหยุดที่โจวจื่อซิน “สายเลือดพฤกษาสวรรค์งั้นเหรอ?”
โจวจื่อซินพยักหน้าพลางส่งยิ้ม “ใช่ นายท่านของข้าบอกกับข้าว่าสายเลือดของข้ามีสรรพคุณเหมือนกับดอกไม้ฟื้นชีพด้วยนะ”
จี้จู่ที่ได้ยินเช่นนั้นเขาก็หัวเราะและพูดว่า “ดูเหมือนว่ามารอบนี้จะไม่เสียเที่ยวจริง ๆ”
เขาพูดพลางลูบมือของตัวเองไปมาด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
หลิงตู้ฉิงถามขึ้นสอดอาการตื่นเต้นของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เอาล่ะ เจ้าเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของข้าได้สักพักแล้ว นี่เจ้าไม่รู้กฎของคฤหาสน์ข้างั้นเหรอ? ถ้าหากเจ้าไม่มีวัสดุระดับราชวงศ์มาจ่ายค่าเป็นค่าเข้า เจ้าจะต้องตาย”
จี้จู่ไม่ได้สนใจในคำพูดของหลิงตู้ฉิงเลยแม้แต่น้อย มันเอาแต่หัวเราะอย่างตื่นเต้น “ไหน ๆๆ ขอข้าลองชิมเลือดที่มีสรรพคุณเหมือนกับดอกไม้ฟื้นชีพของเจ้าสักหน่อยเถอะว่ามันจะมีรสชาติเป็นยังไง”
หลังจากที่จี้จู่กล่าวจบ ร่างของมันก็เลือนหายไปในทันที ซึ่งแน่นอนว่านี่มันเป็นสัญญาณที่มันกำลังจะใช้ความสามารถเดินทางผ่านมิติเข้าโจมตีโจวจื่อซินแน่นอน
และในเวลาเดียวกับที่โจวจื่อซินกำลังจะตอบโต้ เสียงของหลิงตู้ฉิงก็ดังขึ้น “อย่าขยับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงหยุดทันที
ในขณะเดียวกัน ซือโถวเหวินหยวนก็ได้เอ่ยคำ ๆ หนึ่งขึ้นมา “กักขัง!”
ด้วยคำเดียวของซือโถวเหวินหยวน มนต์อักษรได้ปรากฎขึ้นเข้าล้อมรอบพื้นที่ที่อยู่ด้านข้างตัวโจวจื่อซินทันที
ซึ่งเป็นอย่างที่คาด ในพื้นที่บริเวณที่อักขระเข้าล้อมมันคือจุดที่จี้จู่เผยกายออกมาพอดี
แต่น่าเสียดายที่ทันทีที่มันปรากฏกายขึ้นและถูกล้อมโดยมนต์อักษรของซือโถวเหวินหยวน ร่างของจี้จู่ก็เลือนหายไปอีกครั้งและร่างของมันก็ไปโผล่ยังอีกจุดหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากโจวจื่อซิน
จี้จู่ตะโกนขึ้นอย่างหมดอารมณ์ “ไอ้คนจากสำนักเต๋าที่น่าตายเอ้ย ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ซือโถวเหวินหยวนยิ้มมุมปากและพูดว่า “เจ้าจะมีปัญญาทำอย่างนั้นได้งั้นเหรอ?”
“นอกจากที่เจ้าจะไม่จ่ายวัสดุระดับราชวงศ์ให้ข้าแล้ว เจ้ายังกล้าลงมือกับคนของข้าอีกงั้นเหรอ? เจ้านี่มันรนหาที่ตายจริง ๆ!” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
เมื่อกล่าวจบ หลิงตู้ฉิงก็โบกมือขึ้น ส่งผลให้ค่ายกลที่ถูกวางไว้ในบริเวณคฤหาสน์สราญรมย์ทั้งหมดเริ่มทำงาน และพลังวิญญาณอันรุนแรงที่ถูกควบแน่นโดยค่ายกลก็พุ่งเข้าไปหาจี้จู่ทันที
จี้จู่ที่เห็นภาพเช่นนี้เขาถึงกับอุทาน “เจ้านี่ไม่เลวเลยจริง ๆ อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณแต่สามารถบรรลุเต๋าแห่งอักขระเวทย์มาถึงจุดนี้ได้ ช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ที่น่ากลัวจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่แค่นี้มันยังไม่พอที่จะฆ่าข้าได้หรอก!”
หลังจากพูดจบ ร่างของจี้จู่ก็เลือนหายไป มันใช้ความสามารถเดินทางผ่านมิติอีกครั้ง แต่รอบนี้จุดที่มันไปโผล่ก็คือที่ด้านนอกของคฤหาสน์สราญรมย์
เมื่อจี้จู่ได้มาโผล่ยังด้านนอกของคฤหาสน์สราญรมย์ มันรีบเดินเข้ามาหาเฉินถิงฟางทันทีและถามขึ้น “พวกเจ้าไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์ที่อยู่รอบ ๆ นี่ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคือพวกเดียวกับไอ้เจ้าคนที่พากองทหารมาเยอะ ๆ นั่น ในเมื่อพวกเจ้าอุตส่าห์ลำบากเคลื่อนกำลังพลมามากมายขนาดนั้น ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องมีไม้เด็ดอะไรไว้รับมือกับไอ้ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ที่อยู่ในนั่นใช่ไหม? ไอ้ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ที่อยู่ข้างในนั่นมันแข็งแกร่งน่าดูเลยล่ะ ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของมันจะอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่ถ้ามันใช้ทักษะของมันเมื่อไหร่ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาระดับสูงสุดก็รอดจากเงื้อมมือของมันยาก ถ้าหากเจ้าคิดจะจัดการกับมันจริง ๆ ข้าคิดว่าหากเจ้ามีไม้เด็ดอะไรก็ควรจะเอามันออกมาใช้ได้แล้ว”
บรรดาคนรอบ ๆ ที่ได้ยินคำพูดเหยียดหยามของจี้จู่ต่างก็ไม่พูดอะไร เนื่องจากพวกเขาล้วนได้เห็นความสามารถที่น่ากลัวของมันแล้วพวกเขาก็ไม่มีอะไรที่จะไปต่อเถียงได้
และเมื่อพวกเขาได้ยินที่จี้จู่กล่าวว่า หลิงตู้ฉิงนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดไหน บรรดาฝูงชนต่างก็มองมายังเฉินถิงฟางเป็นสายตาเดียวกัน พวกเขาต่างหวังว่านางจะไม้เด็ดไว้รับมือกับหลิงตู้ฉิง
เฉินถิงฟางพยักหน้าของนาง “ข้าเป็นผู้ที่มาจากตระกูลเฉินแห่งสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ และข้าได้นำสมบัติวิเศษระดับสวรรค์มาด้วย และมันคือ เหรียญตราผนึกสวรรค์ ซึ่งมันจะสามารถผนึกพลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลกได้”
จี้จู่เมื่อได้ยินเช่นนี้มันก็หัวเราะด้วยสีหน้าเบิกบานทันที “ดี ๆๆ ที่แท้เจ้าก็เป็นคนที่มาจากสำนักใหญ่นี่เอง เร็วเข้าเจ้ารีบใช้เหรียญตราของเจ้าเร็ว เดี๋ยวข้าจะเป็นกองหน้าบุกตะลุยเข้าไปปะทะกับพวกมันให้ก่อนเอง”
เฉินถิงฟางพยักหน้าและหยิบเอาเหรียญตราทองแดงทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา เมื่อเหรียญตรานี้ปรากฏทุกคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่น
“เอาล่ะเตรียมพร้อมได้” เฉินถิงฟางตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์หน้าไหนหากต้องเผชิญกับอำนาจของเหรียญตราผนึกสวรรค์นี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนกับคนพิการ แต่พวกเจ้าต้องระวังผู้ที่มาจากสำนักเก้าเทพอสูรเอาไว้ด้วย เขาไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะสามารถประมาทได้!”
Related