บทที่ 243 หวางอี้
ไม่เพียงแต่คนที่อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น ทุกคนที่หลิงตู้ฉิงบังคับให้ลงชื่อในสัญญากับหลิงยี่เทียนต่างก็จ้องมองไปที่ฟีนิกซ์
หากตอนนี้พวกเขายังไม่พอใจและรู้สึกถูกบีบบังคับให้ต้องศิโรราบอย่างไร้ยางอาย แต่หลังจากได้เห็นนกฟีนิกซ์แล้วพวกเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง
“ถ้าข้าติดตามจักรพรรดิเช่นนี้ อานาคตของข้าอาจจะรุ่งโรจน์กว่าที่เคยเป็นมาก็เป็นได้” อู่หยุนจี๋พึมพำกับตัวเอง “แม้ว่าองค์จักรพรรดิใหม่ของข้าจะยังไม่รู้วิธีการบ่มเพาะ แต่บิดาของพระองค์ก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะต้องทำให้องค์จักรพรรดิกลายเป็นผู้ปกครองที่เหนือว่าผู้ปกครองใด ๆ ทั้งหลายได้แน่นอน”
ตอนนี้เหล่ากองทัพศักดิ์สิทธิ์เริ่มมีความคิดเต็มใจมากขึ้นบ้างแล้ว
ทางด้านของเสี่ยวเยว่เฟิง เมื่อนางบินวนไปวนมาอยู่บนท้องฟ้าได้อยู่สักพัก นางก็เรียกเปลวเพลิงที่ลุกท่วมตัวนางอยู่กลับกืนเข้าร่างและร่อนลงกลานลานคฤหาสน์สราญรมย์
เมื่อร่างแท้ของฟีนิกซ์จางหายไป เสี่ยวเยว่เฟิงก็กลับสู่ร่างมนุษย์ของนางเหมือนเดิม ซึ่งร่างของนางไม่ได้เปลือยเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ร่างของนางสวมเสื้อคลุมสีแดงเพลิงอยู่
“เฟิง เสื้อผ้ามาจากไหน?” หลิงไช่หยุนถามด้วยความประหลาดใจ
เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะอย่างมีความสุข “นายหญิงน้อย ชุดสีแดงนี่คือขนจากร่างแท้ของข้าที่เสื่อมสภาพหลังจากข้าคืนร่างมนุษย์ เนื่องจากขนเหล่านั้นมันเป็นส่วนหนึ่งของพลังของข้า ถ้าจำเป็นข้าสามารถเก็บมันกลับมาใช้ประโยชน์ได้”
“อย่าเรียกข้าว่านายหญิงเลย ข้าคิดว่าข้าจะต้องเรียกเฟิงว่า ‘น้า’ ในไม่ช้านี้แน่ ๆ” หลิงไช่หยุนหน้ามุ่ย
“หะ?” เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปที่หลิงตู้ฉิง “นายท่าน ท่านต้องการข้างั้นเหรอ? ข้าว่ามันคงไม่ดีหรอกมั้ง!”
“พ่อของข้าได้เห็นร่างกายเจ้าหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบเหรอ?” หลิงไช่หยุนขึ้นเสียง “และอีกอย่างท่านพ่อของข้าดูแลเจ้ามาตลอด เขาจะไม่สนใจเจ้าได้อย่างไร?”
เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะ “นายท่าน ข้าไม่ต้องการให้ท่านรับผิดชอบข้า! ด้วยฐานะที่ข้าเป็นสารถีให้ท่านและเป็นสาวใช้ของนายหญิงน้อย ถ้าหากให้นายท่านดูนิดหน่อย มันคงไม่เสียหายอะไรมากหรอก!”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกโล่งใจและพยักหน้า “เยี่ยม! งั้นเอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน”
ผู้หญิงที่ไม่มีความรักให้เขา มันจะดีกว่าที่เขาจะไม่แต่งงานกับนาง!
“เฟิง แล้วเจ้าจะไม่เสียเปรียบเหรอ?” หลิงไช่หยุนถามด้วยความประหลาดใจ
เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะและพูดว่า “ด้วยพระคุณที่นายท่านถ่ายทอดวิชาอันแสนวิเศษให้ข้า ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่สูญเสียอะไรไป ข้ายังได้รับประโยชน์มากอีกด้วย เอ๊ะจริงสิ! นายท่าน ท่านคงไม่ใช่ผู้อาวุโสของสำนักข้าใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นทำไมท่านถึงรู้วิชาระดับสูงสุดของสำนักหมื่นเซียน ยอดเขาฟินิกซ์ของข้า?”
หลิงตู้ฉิงเงียบ
เสี่ยวเยว่เฟิงและหลิงไช่หยุนมองหน้ากันด้วยความสับสน หลิงตู้ฉิงเงียบอยู่ชั่วขณะแล้วถามว่า “หวางอี้ ยังอยู่รึเปล่า?”
“หวางอี้ องค์หญิงน้อยแห่งยอดเขาฟีนิกซ์?” เสี่ยวเยว่เฟิงตกใจมาก “นายท่านเป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาฟีนิกซ์ของข้าจริง ๆ ด้วย!”
มิฉะนั้นเขาจะจำองค์หญิงน้อยแห่งยอดเขาฟีนิกซ์ได้อย่างไร?
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและถามว่า “องค์หญิงน้อย?”
“ใช่แล้ว นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า “ตอนที่ข้าออกมาจากยอดเขาฟีนิกซ์ องค์หญิงหวางอี้ยังอายุไม่ถึง 100 ปี แต่การบ่มเพาะของนางอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 8 แล้ว องค์หญิงหวางอี้ถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่จุติลงมายังยอดเขาฟีนิกซ์ของเราในรอบ 10,000 ปี นางได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเรา”
ใบหน้าของหลิงตู้ฉิงดูน่าเกลียดขึ้นเพียงชั่ววินาที เขาเก็บอาการและพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปจากไป
เสี่ยวเยว่เฟิงขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงหันหลังจากไป นางสงสัยมากว่าทำไมเมื่อครู่สีหน้าของหลิงตู้ฉิงถึงดูไม่มีความสุขเมื่อนางเล่าถึงความโดดเด่นขององค์หญิงหวางอี้?
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงไช่หยุนหัวเราะ “อายุยังไม่ถึงร้อยปีหรือ? และเรียกตัวเองว่าองค์หญิงน้อย?”
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและยิ้ม “นายหญิงน้อย ถึงแม้ว่าร้อยปีจะถือว่าอายุมากแล้วในสายตาของท่าน แต่สำหรับผู้บ่มเพาะมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น! โดยเฉพาะพวกเราจากยอดเขาฟีนิกซ์ อายุขัยของเรายืนยาวกว่าคนอื่น ๆ”
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?” หลิงไช่หยุนถามด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ
เสี่ยวเยว่เฟิงตอบอย่างเขิน ๆ “ข้าอายุ 300 ปีแล้ว!”
หลิงไช่หยุนอ้าปากค้างทันที
“นายหญิงน้อย อายุของท่านหากเทียบกับข้าแล้วมันเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้นเอง!” เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะ “แต่ด้วยพรสวรรค์ของนายหญิงน้อยที่แข็งแกร่งกว่าข้า บางทีเมื่อท่านอายุเท่าข้า ท่านคงจะไปไกลกว่าข้ามากแล้ว”
“ข้าต้องแข็งแกร่งกว่าหวางอี้!” หลิงไช่หยุนกำหมัดแน่นให้กำลังใจตัวเอง นางพูดกับ เสี่ยวเยว่เฟิงอย่างมีเลศนัยว่า “แต่ว่าเฟิง เป็นไปได้ไหมที่ท่านพ่อของข้าจะอยากแต่งงานกับหวางอี้ แต่เมื่อเขาได้ยินว่านางอายุมากแล้ว พ่อของข้าเลยทำสีหน้าไม่สบอารมณ์?”
“หา! นายหญิงน้อยท่านอย่าได้เดาสุ่มเช่นนี้สิ ข้าว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างกระอักกระอ่วน
“แล้วทำไมท่านพ่อถึงดูไม่มีความสุขล่ะ?” หลิงไช่หยุนขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยเห็นเขาดูไม่มีความสุขแบบนี้มาก่อน!”
อันที่จริงนี่ก็เป็นสิ่งที่เสี่ยวเยว่เฟิงสงสัยอยู่เช่นกัน ทำไมหลิงตู้ฉิงถึงต้องแสดงอาการไม่มีความสุขเช่นนั้นขึ้น? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ที่ผ่านมาตั้งแต่นางได้ติดตามเขามาเป็นเวลาหลายปีนางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้เลยสักครั้งเช่นกัน
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงกลับมาดูสงบและไร้กังวลตามปกติ เขามาที่ลานของหลิงฟ่างหัว
“นังหนูปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะกินเจ้า!” จี้จู่กำลังคุกคามหลิงฟ่างหัว
แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้ระดับการบ่มเพาะและสายเลือดของเขาต่างถูกปิดผนึกจนหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าคนธรรมดามากนัก การคุกคามของเขาจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
“เจ้าจะกินข้างั้นเหรอ? ได้! เจ้ารอให้ท่านพ่อของข้ามาก่อนเถอะ ข้าจะบอกให้เขาจัดการกับเจ้า!” หลิงฟ่างหัวพูด “เอาล่ะ เจ้ารีบ ๆ มอบความลับในการเดินทางผ่านมิติมาให้ข้าได้แล้ว ไม่งั้นข้าจะให้น้าจื่อซินมากินเจ้าซะ!”
“อ๋อ…มันเป็นเจ้าเองสินะที่ทำให้ข้าไม่สามารถใช้พลังมิติของข้าได้เมื่อก่อนหน้านี้!” จี้จู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงหนีได้ไปนานแล้ว และพ่อของเจ้าก็คงจับข้าไม่ได้แน่นอน!”
หลิงฟ่างหัวพูดอย่างเหยียดหยาม “นั่นเป็นเพราะท่านพ่อของข้าต้องรับมือกับพวกเจ้าทั้งหมดพร้อม ๆ กันต่างหากล่ะ ไม่อย่างนั้นน้ำหน้าอย่างเจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนมาหนีพ่อของข้าได้! เฮ้! เร็วสิเจ้ารีบบอกข้ามาได้แล้วว่าเจ้าเดินทางผ่านมิติได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงที่ในขณะนี้เดินเข้ามาถึงพอดี เมื่อได้ยินคำถามของหลิงฟ่างหัวเขาตอบว่า “สาวน้อย สายเลือดของเขาคือ หนูมิติ มันเป็นสายเลือดของเผ่าอสูรมิติศักดิ์สิทธิ์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถเดินทางผ่านมิติได้ดั่งใจนึก”
“ท่านพ่อ ท่านมาแล้ว!” หลิงฟ่างหัวรีบลุกขึ้นยืนและพูด
ทันทีที่จี้จู่เห็นหลิงตู้ฉิง เขาพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดทันที “เฮ้ย! เจ้าน่ะ! รีบไปปล่อยข้าไป เดี๋ยวนี้ ข้าเป็นองค์รักษ์อันดับหนึ่งของโอรสสวรรค์ ผู้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ขององค์เหนือหัวคุนเป๋ง ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้า ท่านโอรสสวรรค์จะต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “โอรสสวรรค์ ลูกของคุนเป๋ง? เจ้านายของเจ้านี่คือคุนเป๋งจริง ๆ เลย หรือเป็นแค่อมนุษย์ที่มีสายเลือดของคุนเป๋ง? แล้วร่างแท้จริงคุนเป๋งของเขาสมบูรณ์แล้วรึยัง?”
จี้จู่พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “โอรสสวรรค์ของเราเป็นลูกหลานเชื้อสายหลักขององค์เหนือหัวคุนเป๋ง บรรพบุรุษแห่งปีศาจอย่างแท้จริง ฉะนั้นความเข้มข้นทางสายเลือดของเขาย่อมอยู่เหนือมากกว่าทุกคนในหุบเขาหมื่นอสูรและร่างจริงของเขาก็พัฒนาจนสมบูรณ์มานานแล้วไม่ว่าเจ้าจะใช้ ‘อาณาเขตสวรรค์เทียม’ หรือวิชาอักขระเวทย์ของเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้”
หลิงตุ้ฉิงเลิกคิ้วและพูดว่า “โอ้! งั้นก็ดีแล้วที่นายของเจ้าสามารถพัฒนาร่างกายที่แท้จริงของเขาได้ ข้าเองก็ยังไม่เคยกินเนื้อของคุนเป๋งมาก่อน ดังนั้นนี่มันก็เหมือนเป็นโอกาสให้ข้าได้ลองชิมมันสักทีสินะ”
หัวใจของจี้จู่บีบแน่นขณะที่เขาโมโหจุดถึงขีดสุด “ไอ้เวร! ข้าหวังว่าเจ้าจะปากกล้าได้ขนาดนี้ตอนที่เจ้ายืนอยู่ต่อหน้าโอรสสวรรค์ของข้า! เพราะข้ารับรองได้ว่านายของข้าจะต้องสับปากเจ้าออกเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ชิ้น!”
“นั่นเป็นเรื่องของในอนาคต เจ้าจะรู้เองเมื่อถึงเวลา” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “แต่ตอนนี้ เจ้าจงทำให้ลูกสาวของข้าได้เข้าใจในความสามารถของเจ้าไว ๆ แล้วข้าจะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นหน่อย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ”
จี้จู่ตกใจและพูดอย่างไม่เชื่อหูว่า “นะ นี่เจ้ากล้าฆ่าข้างั้นเหรอ?”
“รีบบอกมาได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงตะคอก “ข้าบอกไว้ก่อนว่าตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ถ้าหากเจ้าให้ข้ารอนาน ข้าอาจจะอดใจไม่ไหวลงมือทำอะไรไป แล้วนั่นจะหมายถึงว่าทุกอย่างมันสายไปสำหรับเจ้าแล้ว!”
Related