บทที่ 25 คุกเข่า[รีไรท์]
เมื่อหลิงตู้ฉิงนำโม่หยูถังไปที่ลานกลางเรือนเขาเห็น หวงยี่เฟยซึ่งยังไม่ได้กลับไปยังตระกูลมี่ยืนอยู่ที่หน้าประตู ที่ด้านข้างของเขามีร่างของคน 3 คนสลบไสลอยู่
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห้นภาพเช่นนี้จึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ และสังเกตเห็นว่าหนึ่งในนั้นคือเจิ้นสีชวงที่เขาเคยได้มอบบทเรียนให้เมื่อไม่นานมานี้
เมื่อหวงยี่เฟยเห็นหลิงตู้ฉิงมาถึง เขาหันกลับมาและยิ้มให้หลิงตู้ฉิง “ปรมาจารย์หลิง ข้าไม่ได้จงใจสอดมือช่วยท่าน แต่พอข้ากำลังจะเดินออกไปด้านนอกประตู ไอ้พวกเวรทั้งสามนี่ดันมาขวางทางของข้า ดังนั้นข้าจึงใช้ยาพิษเล่นงานพวกมันเสียหน่อย แต่ถ้าปรมาจารย์หลิงต้องการเจรจากับพวกมัน ท่านก็รักษาพวกมันเองเถอะ”
หลังจากพูดเสร็จ หวงยี่เฟยก็ไม่สนใจคนที่หมดสติอยู่บนพื้น เขาหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิงตู้ฉิงมองไปยังเจิ้นสีชวงที่หมดสติบนพื้น เขายกเท้าขึ้นและเตะไปยังร่างของเจิ้นสีชวงอย่างแรงพร้อมกับส่งพลังวิญญาณแทรกซึมเข้าไปทั่วร่างกายของเจิ้นสีชวง
พลังวิญญาณที่หลิงตู้ฉิงใช้ในการเตะเจิ้นสีชวงนี้ช่วยถอนพิษออกจากร่างกายของเจิ้นสีชวง
เมื่อเจิ้นสีชวงได้สติเขาก็ลุกขึ้นมาอย่างสลึมสลือและตะโกนขึ้นว่า “สุนัขตัวไหนกล้าใช้ยาพิษกับข้า!”
หลังจากตะโกนจบเจิ้นสีชวงมองไปรอบ ๆ แต่แทนที่เขาจะเจอกับหวงยี่เฟย เขากลับเห็นหลิงตู้ฉิงที่ยืนอยู่ใกล้กับเขาแทน
เขาหันไปให้ความสนใจกับหลิงตู้ฉิงทันทีและตะโกนว่า “คนแซ่หลิงเจ้ากล้าทำให้ข้าบาดเจ็บ ตอนนี้ข้ามาเพื่อแก้แค้นเจ้า!”
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจกับสิ่งที่เจ้นสีชวงพูด เขาถามสวนกลับว่า “เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนพังประตูของข้า?”
“แล้วไง?” เจิ้นสีชวงแสดงอาการดูถูก “ประตูกระจอก ๆ นั่นของเจ้าแค่ข้าเตะเบา ๆ มันก็ปลิวแล้ว”
“ดี ข้าถือว่าเจ้ายอมรับแล้วนะ!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าพังประตูเรือนของข้า เจ้าก็มีหน้าที่ซ่อมแซมมันให้ดีจนกว่าข้าจะพอใจ!”
“เจ้าฝันกลางวันเกินไปแล้ว วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะแก้แค้นแต่เจ้ากลับให้ข้าซ่อมประตูสับปะรังเคนี่ให้เจ้างั้นเหรอ เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่?!” เจิ้นสีชวงในเวลานี้เขาเริ่มโคจรพลังวิญญาณบนร่างและเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตีหลิงตู้ฉิง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พลังวิญญาณของเจิ้นสีชวงเริ่มโคจร หลิงตู้ฉิงก็พุ่งเข้ามาประชิดตัว และใช้มือตะปบคอของเจิ้นสีชวงจากด้านหลังหยุดการโคจรของพลังวิญญาณเจิ้นสีชวงเอาไว้!
เมื่อสกัดการโคจรพลังวิญญาณได้เสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงพูดขึ้น “เช่นนั้นข้าจะให้คุกเข่าสำนึกอยู่ตรงนี้ จนกว่าเมื่อไหร่ที่คนตระกูลของเจ้ามาเปลี่ยนประตูให้ข้าจนกว่าข้าจะพอใจ ข้าถึงจะปล่อยเจ้าไป!”
ในขณะที่พูด หลิงตู้ฉิงวาดอักขระเวทย์ลงบนร่างของเจิ้นสีชวงอย่างรวดเร็ว เพื่อปิดผนึกพลังวิญญาณของเขาไว้และบังคับร่างของเจิ้นสีชวงให้อยู่ในท่าคุกเข่าตรงหน้าประตูที่แตก
“ไอ้ระยำ!…” เจิ้นสีชวงรีบสาปแช่งทันที
อย่างไรก็ตามก่อนที่เจิ้นสีชวงจะสาปแช่งต่อไป ปากของเขาก็ถูกผนึกโดยหลิงตู้ฉิงทันที
จากนั้นหลิงตู้ฉิงใช้เท้าวาดอักขระเวทย์ลงบนพื้นรอบ ๆ กายของเจิ้นสีชวง
ตอนนี้สีหน้าของเจิ้นสีชวงนั้นบิดเบี้ยวไปด้วยความอาฆาต เขาไม่นึกว่าวันนี้ฝันอันหอมหวานที่เขาจะได้มาที่เรือนหลิงเพื่อแก้แค้นหลิงตู้ฉิง จะกลับกลายเป็นว่าเขาจะถูกทำให้อับอายอีกครั้ง โดยการถูกบังคับให้คุกเข่าและยังไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้อยู่ที่หน้าประตูนี้
หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจเจิ้นสีชวง เขาหันหลังกลับและเตะผู้เชี่ยวชาญตระกูลเจิ้นทั้งสองให้ฟื้นขึ้นมา และบอกพวกเขาว่า “รีบกลับไปบอกเจ้านายของเจ้าให้มาที่นี่และซ่อมประตูให้ข้า!”
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญตระกูลเจิ้นที่เห็นสภาพอันน่าอนาถของเจิ้นสีชวง เขาชี้ไปที่หลิงตู้ฉิงและตะโกนว่า “นี่เจ้ากล้าดูหมิ่นนายน้อยของข้าขนาดนี้ เจ้าอยากตายนักใช่ไหม รีบปล่อยนายน้อยของข้าเดี๋ยวนี้!”
หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “หยุดพูดมากได้แล้วข้ารำคาญ พวกเจ้าควรรีบกลับไปแจ้งเจ้านายของเจ้าได้แล้ว บอกกับเขาว่า หากประตูเรือนของข้าไม่ได้รับการเปลี่ยนใหม่ ชายผู้นี้จะต้องคุกเข่าอยู่อย่างนี้ตลอดไป!”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงปล่อยคลื่นพลังวิญญาณ กระแทกผู้เชี่ยวชาญตระกูลเจิ้นทั้งสองกระเด็นออกจากบริเวณหน้าเรือนไปไกลกว่าสิบเมตร
บรรดาผู้เชี่ยวชาญเมื่อพวกเขาถูกกระแทกจนลอยละลิ่วห่างออกไปไกล พวกเขาจึงรู้ตัวแล้วว่าพวกเขาสู้กับหลิงตู้ฉิงไม่ได้แน่ พวกเขาสองคนต่างพากันจ้องไปที่เจิ้นสีชวงอย่างกระอักกระอ่วนและจากนั้นจึงรีบหันหลังวิ่งตรงกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเจิ้นทันที
หลังจากขับไล่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองให้จากไปแล้ว หลิงตู้ฉิงหันกลับมาแล้วพูดกับหลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ ที่มองดูเหตุการณ์ “พวกเจ้ามองอะไรกัน? รีบแยกย้ายกลับไปทำสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำได้แล้ว!”
ในตอนนี้ถังชี่หยุนเดินเข้ามาหาและพูดว่า “ท่านหลิง นอกเหนือจากการสอนให้พวกเขาอ่านและเขียนในตอนเช้า ข้าควรจะทำอะไรดี?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ จะไม่มีใครว่าอะไรเจ้า! แต่เจ้าจะต้องไม่ขัดขวางการฝึกของพวกเขาเป็นอันขาด! ภายในบริเวณเรือนของข้า เจ้าจะมีอิสระอย่างเต็มที่!”
ถังชี่หยุนยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นข้าจะกลับไปทำความสะอาดห้องของข้าก่อนก็แล้วกัน พ่อบ้านโม่ห้องของข้าอยู่ที่ไหน!”
โม่หยูถังยิ้มและพูดว่า “ครูถังข้าจะพาท่านไปเอง!”
หลังจากนั้นโม่หยูถังก็พาถังชี่หยุนจากไป
อย่างไรก็ตาม พ่อและแม่ของหลิงตู้ฉิงนั้นในอดีตถือว่าเป็นชนชั้นสูงที่ร่ำรวยอยู่พอสมควร ดังนั้นเรือนขนาดใหญ่ของเขาแห่งนี้จึงมีห้องว่างมากมาย แต่เนื่องจากไม่มีคนพักอาศัยอยู่ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ห้องที่ว่างอยู่จึงต้องได้รับการทำความสะอาดใหม่เสียก่อนจึงจะสามารถเข้าอยู่อาศัยได้
“ท่านพ่อ พวกข้าควรจะไปช่วยทำความสะอาดด้วยไหม?” หลิงว่านถิงและเด็ก ๆ เข้ามาถาม “ตอนนี้น้องห้าก็เริ่มฝึกได้แล้ว ท่านพ่อแล้วเมื่อไหร่พวกข้าจะเริ่มฝึกได้บ้าง?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เมื่อต้นไผ่เซียนสวรรค์เติบโตขึ้นพ่อรับรองว่าเจ้า ว่านถิง ก็จะมีอะไรทำเองนั่นแหละ! แต่ก่อนที่ต้นไผ่เซียนสวรรค์จะโต ตอนนี้พ่อจะให้น้องของเจ้าได้เริ่มทำอะไรก่อน เทียนหยุน! พ่อมีภารกิจที่สำคัญจะให้เจ้าทำ!”
หลิงเทียนหยุนถามอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อ ท่านจะให้ข้าทำอะไรงั้นเหรอ?”
ตอนนี้เด็ก ๆ ทุกคนรู้ดีว่าถ้าหลิงตู้ฉิงเริ่มขอให้พวกเขาทำสิ่งใด มันก็หมายความว่าพวกเขาจะได้เริ่มอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะแล้ว
หลิงเทียนหยุนตอนนี้รอคอยคำสั่งของหลิงตู้ฉิงอย่างใจจดใจจ่อ พี่ชายและน้องสาวของเขาเริ่มบ่มเพาะได้แล้วและตอนนี้มันก็เป็นตาของเขาในที่สุด
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ภารกิจของเจ้านั้นง่ายมาก จงไปหาเงาร้อยเงาในลานนี้ให้พ่อ!”
หลิงเทียนหยุนรู้สึกประหลาดใจ เขาแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าที่มีแต่เมฆครึ้มและกลับมามองยังหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านกำลังล้อกับข้าเล่นอยู่งั้นเหรอ? เมฆบนฟ้ามันออกจะครึ้มขนาดนี้ มันจะไปมีเงาได้ยังไงล่ะท่านพ่อ?”
“พ่อบอกให้เจ้าไปตามหาเงาก็รีบไป!” หลิงตู้ฉิงกระตุ้น “ส่วนสำหรับเจ้าสองคน ว่านจุน ยี่เทียน ทุกเช้าพวกเจ้าจงตั้งใจเรียนกับครูถังไปก่อนและเมื่อถึงเวลาพ่อจะทำให้พวกเจ้าจะได้เริ่มบ่มเพาะแน่นอน”
ตอนนี้หลิงตู้ฉิงไม่สามารถทำให้พรสวรรค์ของหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนตื่นขึ้นได้ เพราะมีเงื่อนไขที่จำเป็นบางอย่างที่เขาไม่อาจทำได้ในตอนนี้
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของบุตรทั้งสองที่ไม่มีอะไรทำเหมือนอย่างคนอื่นเขา หลิงตู้ฉิงจึงหัวเราะอีกครั้งและพูดขึ้น “เอาล่ะ ไหน ๆ ตอนนี้พวกเราก็ว่างกันอยู่ พวกเจ้าเองก็น่าจะเบื่อใช่ไหม? พ่อเองก็เบื่อมากเช่นกันตอนนี้และพ่อไม่รู้ว่าคนจากตระกูลเจิ้นจะมาเมื่อไหร่ ฉะนั้นเรามาฆ่าเวลาด้วยการเล่นหมากรุกกันดีกว่า เริ่มจากกฎที่ง่ายที่สุด ใครก็ตามที่แพ้จะต้องวิ่งรอบลานกลางเรือน ส่วนว่านถิงทำไมเจ้าไม่ไปช่วยครูถังทำความสะอาดห้องของนางสักทีล่ะ?”
หลิงว่านถิงมองดูพ่อของนางด้วยสายตางุนงง ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวของนางมันแปลกประหลาดจนเกินไป จนนางเริ่มจะตามไม่ค่อยทัน นางมองไปยังหลิงเทียนหยุนที่กำลังมองหาเงาในทุกซอกทุกมุม และส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ จากนั้นนางจึงรีบวิ่งไปช่วยถังชี่หยุนทำความสะอาดห้อง
ตอนนี้ภายในลานกลางเรือนของตระกูลหลิงมีภาพอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ กำลังฝึกออกหมัดท่าเดิม ๆ เหมือนกับหุ่นยนต์ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นั่งหลับตาหลังตรงคล้ายฝึกบำเพ็ญเพียรแต่กลับไม่มีร่องรอยการผันผวนของพลังวิญญาณ อีกคนหนึ่งกำลังเดินช้า ๆ ไปกลับบานประตูที่ว่างเปล่าขณะที่อีกคนหนึ่งนอนหมอบอยู่บนพื้นคล้ายกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างเหมือนคนบ้า ส่วนหลิงตู้ฉิงที่โตเป็นผู้ใหญ่การกระทำของเขานั้นคล้ายกับรังแกเด็กด้วยการเล่นหมากรุกเอาชนะลูกชายสองคนจนพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช และให้เด็กชายตัวเล็ก ๆ สองคนออกวิ่งเป็นวงกลมในลาน
และภาพที่น่าประทับใจที่สุดก็คงจะเป็นที่บริเวณประตูสู่ลานกลางเรือนที่เสียหาย
ที่นั่นเจิ้นสีชวงกำลังนั่งคุกเข่าอยู่อย่างเหนื่อยล้า ทุกสิ่งที่เกิดในเรือนหลิงในตอนนี้หากมองรวมกันแล้วมันจะเกิดเป็นภาพที่สุดแสนจะประหลาดอย่างหาที่บรรยายไม่ได้
และในขณะเดียวกันที่คฤหาสน์ตระกูลเจิ้น เจิ้นป่าเจ่าคำรามอย่างโกรธแค้น “พวกเจ้าว่าไงนะ! ไอ้เวรหลิงตู้ฉิงมันกล้าให้น้องข้านั่งคุกเข่าขอขมาอยู่หน้าประตูของมันงั้นเหรอ!”