บทที่ 260 กลุ่มคนที่น่าสังเวช
เมื่อได้รับคำสั่งของหลิงตู้ฉิง มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็หันกลับไปขึ้นรถ แน่นอนว่าหลิงเทียนหยุนเองก็ขึ้นรถและเตรียมตัวออกเดินทาง
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังจะจากไป เหริ่นอี้ฟางพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าต้องการจากไปก็จงไปซะข้าจะไม่ขวาง แต่นางเป็นสมาชิกคนหนึ่งในภูเขาฟีนิกซ์ของข้า นางต้องอยู่!”
เสี่ยวเยว่เฟิงพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “นายท่าน… “
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่เหริ่นอี้ฟาง จากนั้นมองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงและพูดว่า “พวกเขาถูกไล่ล่ามาอย่างน่าสังเวชจนในที่สุดก็ต้องมาลงเอยเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ทะเลชางหมางเช่นนี้ แต่ยังมีหน้ามาทำโอหังลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อข้าแบบนี้อีกงั้นเหรอ? มากับข้า ข้าจะแจ้งภูเขาฟีนิกซ์และให้เจ้าเข้าสู่วรรณะปกครองของพวกเขา ส่วนสำหรับไอ้คนกลุ่มนี้ ข้าจะแจ้งภูเขาฟีนิกซ์ให้ไล่พวกเขาออกไป ข้าเชื่อว่าภูเขาฟีนิกซ์จะต้องทำตามคำสั่งของข้าแน่นอน”
ก่อนที่เสี่ยวเยว่เฟิงจะพูดอะไร เหริ่นอี้ฟางก็หัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงจะทำให้นางเข้าสู่วรรณะปกครองได้? แถมเจ้ายังบอกว่าสามารถขับไล่พวกข้าออกจากภูเขาฟีนิกซ์ได้งั้นเหรอ? นอกจากนี้นางเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์เรา ดังนั้นนางต้องฟังคำสั่งของนายน้อยของเราเสมอ”
เหริ่นอี้ฟางที่ไม่ทราบถึงความลึกลับของหลิงตู้ฉิง ซึ่งผิดกับเสี่ยวเยว่เฟิงที่รู้หลายอย่างเกี่ยวกับความลึกลับของเขา ถ้าเขาสามารถสอน ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ ให้นางได้ การเข้าร่วมกับวรรณะปกครองก็ไม่ใช่เรื่องตลก
นางพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณมากนายท่าน แต่ข้ายังไปไม่ได้ ข้ายังมีน้องสาวและนางยังอยู่ในฐานบัญชาการหลัก ข้าต้องไปรับนางก่อนและข้าหวังว่านายท่านจะสามารถทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริงแก่ข้าได้”
“งั้นก็ไปรับนางเดี๋ยวนี้” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่งราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปที่เหริ่นอี้ฟาง แต่สิ่งที่นางได้รับคือท่าทีที่เย็นชาของเหริ่นอี้ฟาง
“นี่เจ้าจะขัดคำสั่งข้าและจากไปจริง ๆ งั้นเหรอ? เจ้าเชื่อคำโกหกของเขางั้นเหรอ?” เหริ่นอี้ฟางพูดอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของเจ้าหมายถึงอะไร? เจ้ากำลังกลายเป็นคนทรยศต่อคนของเราทั้งหมด!”
เสี่ยวเยว่เฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “เชื้อสายของข้าสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งจนถึงปัจจุบันคงมีแค่ครอบครัวข้าพวกเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ เมื่อพ่อแม่ของข้าหนีออกจากภูเขาฟีนิกซ์ พวกเขาเองก็ได้ต่อสู้แบบเดิมพันชีวิต และข้ากลัวว่าพวกเขาเองก็น่าจะตายไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือข้าและน้องสาวของข้าเท่านั้นที่ยังคงเหลือรอด และตอนนี้นายท่านอนุญาตให้ข้าสองพี่น้องเข้าร่วมกับวรรณะปกครองแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปข้าและน้องสาวขอตัดความสัมพันธ์กับพวกท่านนับแต่เป็นต้นไป”
“ดี! ดีมาก!” เหริ่นอี้ฟางหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าต้องการทรยศเรา ดังนั้นอย่าโทษว่าข้าเลือดเย็นก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าการเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์นั้นพิเศษมากนักเหรอไง? เจ้ารู้รึเปล่าว่าพวกข้าเองก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ด้วยเช่นกัน สำหรับน้องสาวของเจ้า เนื่องจากเจ้าต้องการหักหลังพวกเรา นางจะต้องติดตามเราจนกว่านางจะสามารถชดใช้บาปของเจ้าจนหมด!”
“นายท่าน…” เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยอย่างกังวล
เสี่ยวเยว่เฟิงรู้ดีว่าไม่ว่านางจะมีพลังมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะใช้กำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวเพื่อพาน้องสาวของนางออกจากฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต
และที่สำคัญน้องสาวนางเป็นคนในครอบครัวคนเดียวที่นางมี นางจึงกังวลมากว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องสาว
หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ “สอยเขาลงมา แล้วเราจะไปที่ฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตกัน”
“นี่พวกแกกล้างั้นเหรอ!” เหริ่นอี้ฟางอารมณ์พุ่งปรี้ด ในขณะเดียวกันเขาก็หันกลับและเตรียมตัวที่จะหนีทันที
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังจะหนี เสี่ยวเยว่เฟิงก็ได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณสายเลือดของนางห่อหุ้มเหริ่นอี้ฟางไว้
และความแตกต่างของพลังระหว่างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์และผู้เชี่ยวชาญที่ระดับต่ำกว่าก็ปรากฎขึ้นแก่สายตา เหริ่นอี้ฟางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในทันที
เหริ่นอี้ฟางรู้สึกตกตะลึงมาก นอกเหนือจากการรับรู้ถึงความแตกต่างในพลังของเสี่ยวเยว่เฟิงกับตัวเองแล้ว เขายังรู้สึกถึงการถูกข่มจากสายเลือดที่เหนือกว่าของนาง
เนื่องจากเขาเป็นคนที่มาจากภูเขาฟีนิกซ์ เขาก็เป็นคนที่มีสายเลือดฟีนิกซ์ไหลเวียนอยู่ด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่เขาไม่อ่อนข้อให้เสี่ยวเยว่เฟิงก็เพราะเขามั่นใจว่าสายเลือดของเขานั้นสูงส่งกว่าเสี่ยวเยว่เฟิง
แต่ในขณะนี้เขากลับรู้สึกถึงการข่มจากสายเลือดที่เหนือกว่าอยู่หลายขั้น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นนายน้อยจากกลุ่มของเขาเอง เขาก็ยังไม่เคยรู้สึกกดดันได้ถึงขนาดนี้มาก่อน
มีเพียงตอนที่เขาไปเยี่ยมเผ่าจักรพรรดิที่ภูเขาฟีนิกซ์ที่เขารู้สึกแบบนี้
เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดจะเป็นเรื่องจริง สายเลือดของผู้หญิงคนนี้ได้เป็นถึงวรรณะปกครองแล้วจริง ๆ? เขาทั้งตกใจและสับสน
เสี่ยวเยว่เฟิงจับเหริ่นอี้ฟาง และมองไปที่หลิงตู้ฉิง “นายท่าน จะให้ข้านำพวกเราตรงไปที่ฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตเลยงั้นเหรอ? มันจะดีกว่าไหมถ้าให้ข้าไปคนเดียว?”
นางรู้ว่าการออกเดินทางในครั้งนี้ หลิงตู้ฉิงไม่ได้นำหลิงจู้และรถม้าคันเดิมออกมาด้วย เพราะของเหล่านั้นมันไม่สามารถนำเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้และอาจจะกลายเป็นต้นตอของปัญหาเสียมากกว่า
และเมื่อไม่มีหลิงจู้และรถม้า นางก็ไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงจะยังคงมีความแข็งแกร่งมากถึงขนาดไหน เพราะนางมั่นใจว่าที่ฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต มันจะไม่ได้มีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์เพียงอย่างเดียวแน่นอน
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องกังวล ไปที่นั่นกันเลย ถ้าพวกเขากล้าทำอะไรก็ให้ทำไป ถึงตอนนั้นข้าจะให้ซือโถวช่วยเจ้า”
“ขอบคุณ นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า และบอกเส้นทางให้กงหนิวลากรถม้าไปยังฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตด้วยความเร็วปานกลาง
เหริ่นอี้ฟางพูดอย่างเย็นชาที่ด้านข้าง “แค่เจ้าทรยศพวกเรานี่ยังไม่เพียงพออีกเหรอ? เจ้าจะฆ่าทุกคนงั้นเหรอ?”
เขากังวลมาก เพราะต่อให้เสี่ยวเยว่เฟิงจะไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ แต่การต่อสู้อันครึกโครมของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ เมื่อมันเริ่มขึ้นมันจะต้องดึงดูดกลุ่มกองกำลังน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณรอบ ๆ ให้มาที่นี่ และเมื่อถึงเวลานั้นที่ตั้งฐานของพวกเขาจะต้องถูกเปิดเผย
และเนื่องจากเกาะน้ำเต้าเป็นเกาะในทะเลชางหมางที่ใหญ่ที่สุด ความแข็งแกร่งของขุมกำลังบนเกาะน้ำเต้านั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
นอกเหนือจากหมู่บ้านดาบศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสำนักที่ทรงพลังแล้วยังมีอาณาจักรหลงซานอีกแห่งบนเกาะน้ำเต้า
อาณาจักรหลงซาน เป็นอาณาจักรที่ทรงพลังอย่างแท้จริงและมีรากฐานอำนาจมาจากการที่เคยรวมทะเลชางหมางได้สำเร็จในอดีต หากพวกเขาสามารถค้นหาที่อยู่ของฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตได้แล้ว พวกเขาจะต้องมาปราบกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลาแห่งการต่อสู้ที่นองเลือดกับสองขุมพลังเจ้าถิ่น ใครจะรู้ว่ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตของพวกเขาจะเหลืออยู่กี่คน?
เสี่ยวเยว่เฟิงเพิกเฉยต่อเหริ่นอี้ฟาง และแนะนำหลิงตู้ฉิง “นายท่าน ฐานบัญชาการหลักของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตอยู่ใน ‘ถ้ำนภาไพศาล’ เมื่อตอนที่เราหนีออกมาจากภูเขาฟีนิกซ์ยังมีบรรดาพวกเราอีกหลายคนที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ พวกเขาทั้งหมดยังคงหลับใหลอยู่ภายในถ้ำนภาไพศาล ถ้ำแห่งนี้ที่ซ่อนอยู่บางครั้งมันก็สามารถย้ายไปมาได้เช่นกัน หากไม่มีคนของเราเป็นผู้นำทางก็ยากที่จะหามันพบ”
“ถ้าน้องสาวของเจ้าอยู่ในถ้ำนภาไพศาล ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ตราบใดที่ข้าเข้าไปในถ้ำนภาไพศาลได้ บางทีถ้ำนภาไพศาลอาจจะกลายเป็นของข้า”
เสี่ยวเยว่เฟิงเหลือบมองไปที่เหริ่นอี้ฟาง และพูดว่า “นายท่าน ยังมีผู้บริสุทธิ์อยู่ที่นี่…”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ง่ายมาก แค่ให้คนเหล่านั้นไปสวามิภักดิ์กับยี่เทียนก็พอ”
เสี่ยวเยว่เฟิงยังคงเงียบ
อย่างไรก็ตาม เหริ่นอี้ฟางไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
เขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงพูดเกินจริงหรือไม่ เขาสามารถขโมย ‘ถ้ำนภาไพศาล’ ไปเป็นของตัวเองได้จริงหรือ?
อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าที่จะเสี่ยง
“น้องสาวของเจ้าตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ฐานบัญชาการของเรา นางออกไปปฏิบัติภารกิจได้สักพักแล้ว!” เหริ่นอี้ฟางรีบพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้อารมณ์ของเสี่ยวเยว่เฟิงก็พุ่งขึ้นทันทีและพูดอย่างเย็นชา “น้องสาวของข้ายังไม่ถึงขอบเขตประสานทะเลปราณด้วยซ้ำไม่ใช่หรือยังไง? แล้วทำไมพวกเจ้าถึงได้ปล่อยให้นางไปทำภารกิจกัน?”
แค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราระดับแรกก็เพียงพอที่จะเอาชีวิตน้องสาวนางแล้ว! ดังนั้นเสี่ยวเยว่เฟิงจึงเริ่มกังวลทันที
“นางเป็นคนขอไปเอง!” เหริ่นอี้ฟางรีบพูด
“เจ้าส่งน้องสาวข้าไปที่ไหน?” เสี่ยวเยว่เฟิงถามอย่างเย็นชา
“นางต้องการออกไปทำภารกิจเพื่อพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเราจึงให้นางไปที่เกาะวายุคลั่ง” เหริ่นอี้ฟางตอบ
“ข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องสาวของข้า ไม่อย่างนั้นเรื่องจะไม่จบลงแค่นี้แน่” เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปที่เหริ่นอี้ฟางอย่างโกรธเกรี้ยว
หลิงตู้ฉิงพูดเบา ๆ ว่า “ขึ้นรถแล้วไปที่เกาะวายุคลั่งกันเถอะ!”
Related