บทที่ 27 ความวุ่นวายกับประตูที่ปลิดปลิว[รีไรท์]
ในตอนนี้ทุกคนในเรือนหลิงรู้ว่าคนจากตระกูลเจิ้นจะมาที่นี่อย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครในเรือนหลิงมีท่าทีหวาดกลัว
หลิงยู่ชานที่ต้องฝึกออกหมัดก็ยังคงออกหมัดต่อไป หลิงฟ่างหัวที่ต้องเข้าออกประตูก็ต้องทำซ้ำ ๆ ต่อไป เงาที่ต้องหาก็ยังต้องหาต่อไป
สำหรับหลิงตู้ฉิง เขายังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าในขณะที่เล่นหมากรุกกับหลิงยี่เทียนและหลิงว่านจุน นี่เป็นการเล่นหมากรุกกันรอบที่ 5 แล้ว
รอบนี้หลิงยี่เทียนก็แพ้อีกครั้ง หลิงยี่เทียนแสดงอาการหงุดหงิดเขากระแทกตัวหมากลงบนกระดานและพูดกับหลิงว่านจุนว่า “พี่สี่ มา! ข้าจะไปวิ่งรอบลานก่อน”
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นอาการหงุดหงิดของลูกชายตัวเองเขาจึงพูดว่า “ถ้าเจ้าแพ้เจ้าควรคิดถึงวิธีที่จะชนะไม่ใช่หาวิธีระบายอารมณ์ ถ้าเจ้าไม่พยายามแก้ไขจุดบกพร่อง เจ้าก็จะแพ้ต่อไปอีก เมื่อถึงเวลาที่เจ้ากลับมาเล่นตาต่อไปกับพ่อ ในขณะที่เจ้ายังมีความโกรธอยู่ในใจโอกาสพ่ายแพ้ของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว!”
เมื่อได้ยินคำสอนของหลิงตู้ฉิง หลิงยี่เทียนก้มหน้าสำนักผิด และเริ่มออกวิ่งไปรอบลานพร้อมกับคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่พ่อของเขาสอน
หลิงวานจุนผู้ซึ่งนั่งตรงข้ามกับหลิงตู้ฉิงสูดหายใจลึกและเริ่มมีสมาธิกับกระดานหมากรุก
หลังจากการเล่นไปได้สักพักเขาก็แพ้อีกเช่นเคย
เขารู้สึกว่าหมากรุกเป็นเกมที่ง่ายมาก แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่อาจเอาชนะได้ แม้แต่เสมอเขาก็ไม่อาจจะทำได้
“ไม่เลว แต่เจ้าต้องพยายามให้มากกว่านี้!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เจ้าสามารถยื้อได้มากขึ้นอีกถึงห้าตาเดินเจ้าพัฒนามาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เอาล่ะ! แต่ถึงยังไงจากที่เราตกลงกันไว้เจ้าก็ยังถือว่าแพ้อยู่ดี ไปยี่เทียน เจ้าออกไปวิ่งได้แล้ว! ส่วนว่านจุนเจ้ามาเล่นกับพ่อต่อ!”
หลิงยี่เทียนที่สงบลงแล้ว เขามองเข้าไปในดวงตาของหลิงตู้ฉิงและพูดอย่างมั่นใจว่า “ท่านพ่อข้าจะเอาชนะท่านตานี้ให้ได้!”
“เช่นนั้นหรือ?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
พวกเขาทั้งสองเริ่มเล่นหมากรุกต่อไป หลิงว่านถิงและถังชี่หยุนที่เพิ่งทำความสะอาดห้องเสร็จเดินมายังด้านด้านข้างและดูทั้งสองเล่นหมากรุก
ในลานกลางเรือนนอกเหนือจากหมากรุกก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
จากนั้นครู่หนึ่งหลิงยี่เทียนตะโกนอย่างมีความสุขว่า “ข้ากำลังจะชนะแล้ว! รีบ ๆ เดินหน่อยท่านพ่อ ข้าจะกินหมากท่านให้หมดเลย!”
หลิงตู้ฉิงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าจะชนะอะไร! นี่เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือว่าหมากเจ้าบอดไม่มีตาเดินอีกแล้ว”
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?” หลิงยี่เทียนไม่เชื่อ
“เจ้าศึกษาด้วยตัวเองซะ ตอนนี้ตระกูลเรามีแขก ข้าต้องออกไปต้อนรับเสียหน่อย” หลิงตู้ฉิงกล่าวพร้อมทอดสายตามองไปที่ด้านนอกของเรือนอย่างใจเย็น สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักดังมาจากนอกเรือน
“หลิงตู้ฉิง! เจ้ารังแกน้องชายของข้าอีกแล้วงั้นเหรอ! เจ้าเบื่อชีวิตของเจ้านักใช่ไหม?” เจิ้นป่าเจ่าตวาดอย่างโกรธแค้น ครั้งนี้เขาพาผู้เชี่ยวชาญติดตามมาด้วย 7-8 คน ซึ่งกำลังยืนรายล้อมตัวเขา
เจิ้นป่าเจ่าเดินมาถึงหน้าประตูเรือนหลิงที่ยับเยินจากฝีมือเจิ้นสีชวง
เจิ้นป่าเจ่ามองไปยังเจิ้นสีชวงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงประตูด้วยสายตาโกรธแค้น ด้วยความโมโหเขาออกหมัดอย่างรุนแรงไปยังประตู ส่งผลให้ประตูลอยกระเด็นเข้าไปตกอยู่ตรงจุดที่หลิงตู้ฉิงยืนมองอยู่
ถังชี่หยุนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงได้ตระหนักว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้มีเจตนาที่จะทำอะไรเลย นางจึงส่งพลังวิญญาณเข้าสกัดเศษไม้ที่กระจัดกระจายพุ่งไปทางเด็ก ๆ ที่กำลังฝึกฝนอยู่
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดกับตัวเองว่า “ยังไงก็ต้องเปลี่ยนมันใหม่อยู่ดี จะแตกเพิ่มอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร”
ในขณะนี้ เมื่อเขาระบายอารมณ์กับประตูเสร็จ เจิ้นป่าเจ่าที่เห็นเจิ้นสีชวงยังคงคุกเข่าอยู่ไม่ยอมลุกขึ้นเขาตวาดทันที “ลุกขึ้น! ข้าอยู่ตรงนี้แล้วเจ้ายังนั่งคุกเข่าอยู่ทำบ้าอะไร?!”
เจิ้นสีชวงเงยหน้าขึ้น หน้าตาของเขาบูดบึ้ง เขาต้องการพูดว่าไม่ใช่ว่าเขาต้องการคุกเข่าอย่างนี้ แต่มันเป็นเพราะเขาไม่สามารถขยับตัวได้ต่างหาก!
เจิ้นป่าเจ่ามองเจิ้นสีชวงด้วยสายตาเย็นชา ในใจเขาเกลียดหลิงตู้ฉิงที่หยามน้องชายของเขา แต่เขาก็เกลียดน้องชายตัวเองเช่นกันที่มันทำตัวไร้น้ำยา
เขาพาคนมากันขนาดนี้ไอ้น้องชายไม่ได้เรื่องนี่ยังไม่กล้าลุกขึ้นยืนอีก!
เขาขยิบตากับผู้เชี่ยวชาญสองคนที่ยืนอยู่ข้างเขาให้ไปช่วยพยุงเจิ้นสีชวงให้ลุกขึ้นยืน
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองที่ได้รับสัญญาณพวกเขาต่างรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของเจิ้นสีชวงและพูดว่า “นายน้อย พวกข้าจะช่วยพาท่านกลับไปกับพวกเราก่อน”
พูดจบพวกเขาพยุงแขนของเจิ้นสีชวง และดันตัวขึ้นช่วยให้เขายืน
เมื่อทั้งสองออกแรงพยุงตัวเจิ้นสีชวงให้ลุกขึ้น แต่ร่างของเจิ้นสีชวงกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าร่างกายของเจิ้นสีชวงนั้นหนักราวภูเขา
หลิงตู้ฉิงมองไปยังกลุ่มของเจิ้นป่าเจ่าที่กำลังโง่งมอยู่กับเจิ้นสีชวง เขาพูดขึ้นว่า “นี่คนของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือไง ว่าถ้าเจ้าต้องการได้ตัวเขาคืน เจ้าจะต้องซื้อประตูใหม่ให้ข้าก่อน ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องคุกเข่าอยู่อย่างนั้นไม่สามารถไปไหนได้”
“คนแซ่หลิง เจ้าอยากตายนักรึไง!” เจิ้นป่าเจ่าพูดกับหลิงตู้ฉิงอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าเจ้ามีชื่อเสียงในเมืองฟีนิกซ์นิดหน่อยแล้วข้าจะไม่กล้าแตะต้องเจ้า เจ้าคิดหรือว่าในเมืองฟีนิกซ์จะมีใครกล้าพูดอะไรหลังจากที่ข้าสังหารเจ้า?”
หลิงตู้ฉิงมองตรวจสอบระดับบ่มเพาะของกลุ่มเจิ้นป่าเจ่า ระดับสูงสุดในกลุ่มที่มาอยู่ที่ขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 9 เท่านั้น มันง่ายเกินไปสำหรับเขาที่จะจัดการ กล่าวได้ว่ากลุ่มคนที่มาตะโกนโหวกเหวกอยู่นี้ยังเทียบไม่ได้กับอสูรเกราะเหล็กที่เขาพบในป่าสัตว์เวทย์ หรือต่อให้พวกเจิ้นป่าเจ่าจะอยู่ที่ระดับ 10 มันก็ยังเป็นคนละระดับกันอย่างสิ้นเชิงอยู่ดี
หลิงตู้ฉิงหัวเราะเยาะและพูดว่า “เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
“ท่านหลิงจะให้ข้าจัดการพวกเขาเลยไหม…?” ถังชี่หยุนถามขึ้นแทรก
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไปยังถังชี่หยุน “เจ้าอยู่เฉย ๆ อย่าทำแผนข้าเสีย ข้ากำลังเจรจาการค้าเปลี่ยนประตูใหม่อยู่เจ้าไม่เห็นหรือไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะอย่างมุ่งร้าย “ดี! ในเมื่อเจ้าอยากได้ประตูนัก เมื่อเจ้าตายไปข้าจะมอบประตูสุสานเหล็กให้เจ้า ข้ารับประกันว่ามันจะแข็งจนไม่มีใครสามารถทำลายมันได้แน่! พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่? ไปฆ่าพวกมันทั้งหมดให้ข้า!”
ในขณะที่กลุ่มคนของเจิ้นป่าเจ่ากำลังจะจู่โจม ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอก “ใครมันกล้าสังหารผู้คนกลางวันแสก ๆ พวกเจ้าคิดว่าเมืองฟีนิกซ์ของเราไม่มีกฎหมายเลยงั้นสินะ?”
มี่ตั้วตั้วพาคนกลุ่มใหญ่เข้าสู่ตระกูลหลิงอย่างรวดเร็ว ทำให้ลานหน้าบ้านเริ่มค่อนข้างที่จะแออัด
หลิงยู่ชานผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกออกหมัด เมื่อเผชิญกับความแออัดในลานตอนนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดฝึกและดูกลุ่มคนที่เดินเข้ามาในลานอย่างอับจนหนทาง
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับความผิดหวังของหลิงยู่ชาน หลิงเทียนหยุนกลับมีความสุข
เพราะว่าแม้ฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆครึ้มหนาแต่ด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น ก็ทำให้เขาพบเงาง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
“หนึ่ง สอง สาม…” หลิงเทียนหยุนพึมพำกับตัวเองในขณะที่เขานับจำนวนเงา
การกระทำที่ลับ ๆ ล่อ ๆ ของหลิงเทียนหยุนทำให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญตระกูลมี่มองดูหลิงเทียนหยุนเหมือนเขาเป็นคนปัญญาอ่อน
ในฐานะเจ้าของเรือนหลิง หลิงตู้ฉิงยังคงมีรอยยิ้มแบบไร้กังวลบนใบหน้าของเขา เขามองไปที่มี่ตั้วตั้วและนั่งลงบนเก้าอี้
มี่ตั้วตั้วเห็นหลิงตู้ฉิงมองอยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย จากนั้นเขาหันไปหาเจิ้นป่าเจ่าและถามว่า “โอ้ นี่คือผู้จัดการของสถาบันหงส์เพลิงไม่ใช่หรือ? เกิดอะไรกันขึ้น? ลมอะไรหอบท่านให้มาถึงที่นี่ได้?”
เจิ้นป่าเจ่าพูดอย่างเย็นชา “มี่ตั้วตั้ว! น้องชายข้าถูกทำร้าย ข้ามาเพื่อแก้แค้น ตระกูลมี่ของเจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้า?”
มี่ตั้วตั้วตอบอย่างสบาย ๆ “หากเป็นคนอื่นข้าก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก? แต่ท่านหลิงเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลมี่ ถ้าใครทำร้ายเขา ข้าย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
“และอีกอย่างข้าคิดว่าในฐานะที่ตระกูลของท่านที่มีผู้บัญชาการเจิ้นเป็นแบบอย่างให้กับเมืองฟีนิกซ์ของเรามาเนิ่นนาน ท่านผู้บัญชาการคงไม่อยากให้ตระกูลของเขามีชื่อเสียงด่างพร้อยกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้แน่นอน”