บทที่ 284 พบเจ้าเมืองเจินไห่
ข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หมู่ตึกหยูอี่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
สัตว์ประหลาดที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นได้กลืนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ทั้งหมดในคราวเดียว และยังมีผู้ครอบครองคันธนูปริศนาได้ปลิดชีวิตจื่อคงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียวเท่านั้นจากระยะไกลลิบ โดยไม่มีโอกาสหลบด้วยซ้ำ
เพียงแค่สองเรื่องนี้ก็ทำให้บรรดาผู้คนต่างพูดถึงหมู่ตึกหยูอี่กันอย่างออกรส
ด้วยข่าวที่แพร่กระจายออกไปเช่นนี้ หลายคนที่เคยมีเจตนาอยากจะจับตัวเสี่ยวเยว่เฟิงหรือปล้นชิงสมบัติ จึงไม่กล้าไปที่หมู่ตึกหยูอี่อีก ต่อให้พวกเขาจะเห็นว่าจงขุยได้จากไปแล้วก็ตาม
ส่วนทางด้านหมู่ตึกหยูอี่ ประตูของหมู่ตึกเองก็เปิดอยู่เสมอราวกับว่ายินดีต้อนรับ และท้าทายให้ทุกคนเข้ามา
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้ยิ่งไม่มีใครกล้าที่จะก้าวเข้าไป
แม้ว่าชื่อเสียงของหมู่ตึกหยูอี่จะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วแล้ว แต่ก็มีบางคนที่ไม่กลัวความตายเช่นกัน
คนเหล่านี้เป็นพ่อค้าตามท้องถนนที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่ตึกหยูอี่
หลายคนต้องทำงานหนักทั้งชีวิตกว่าที่จะได้มีร้านเล็ก ๆ ของตัวเองในเมืองเจินไห่ ซึ่งเป็นเหมือนสมบัติอันล้ำค่าที่สุดในชีวิตของพวกเขา
แต่แล้วมาอยู่วันหนึ่ง จู่ ๆ พวกเขากลับต้องพบกับหายนะที่ไม่คาดคิด สัตว์ร้ายตัวมโหฬารกลับมาทำให้เรือนของพวกเขาพังทลายและสินค้าในร้านก็เสียหายไปจนหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มันทำให้ความพยายามทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขากลายเป็นไร้ค่า
นี่ยังไม่รวมกับแม้แต่ตัวของพวกเขาเองก็เกือบจะถูกกินไปด้วย แต่โชคยังดีที่พวกเขายังสามารถมีชีวิตรอดมาได้
หลังจากที่รอดชีวิตมาได้ สิ่งแรกที่พวกเขารู้สึกก็คือดีใจที่ตัวเองยังไม่ตาย อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรือนและร้านของตัวเอง ความโกรธและความเสียใจของพวกเขาก็ปะทุขึ้นจนแทบจะอกแตกตาย
หลายคนไม่กล้าที่จะไปที่หมู่ตึกหยูอี่เพื่อโต้แย้ง แต่มันก็ยังมีบางคนที่ไม่กลัวความตายที่มาที่หมู่ตึกหยูอี่เพื่อเรียกร้องค่าชดเชย
ในเมื่อทุกสิ่งที่พวกเขาสร้างมาทั้งชีวิตได้สลายหายไปหมดแล้ว พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรอีก?
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากมาถึงหมู่ตึกหยูอี่ แล้วจะมีชายชราคนหนึ่งที่ออกมารับปากกับพวกเขาว่าเต็มใจจะชดใช้ค่าเสียหายคืนให้ทั้งหมด
แน่นอนว่าชายชราผู้นั้นก็คือ ซือโถวเหวินหยวน
“พาข้าไปดูร้านของเจ้าก่อน ถ้าทุกสิ่งเป็นไปตามที่พวกเจ้าบอกข้าจะชดเชยให้อย่างยุติธรรมแน่นอน” ซือโถวเหวินหยวนพูดอย่างหมดหนทาง
แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าคนส่วนใหญ่ที่มาเรียกร้องค่าชดเชย แต่เขาก็เกิดในสำนักเต๋าสวรรค์และไม่อยากให้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำให้สำนักเต๋าสวรรค์เสียหน้าไป
2-3 วันที่ผ่านมาเขายุ่งอยู่กับการจ่ายค่าชดใช้ค่าเสียหายเพียงอย่างเดียว
ราคาของการชดใช้ค่าเสียหายนั้นมันมากเอาการ เขาต้องเสียไปทั้งสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ที่พังไปทั้งสองชิ้น เหรียญคริสตัลและโอสถวิเศษอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่โชคก็ยังเข้าข้างเขาอยู่บ้างที่แหวนมิติที่เขาได้รับมาจากหลิงตู้ฉิงนั้นเป็นของจางหาน
ในฐานะผู้นำของตระกูลจาง แหวนมิติของจางหานนั้นเทียบเท่ากับขุมสมบัติขนาดย่อม ๆ
แต่ถึงแม้ว่าในแหวนมันจะสมบัติอยู่เยอะ แต่ความเสียหายที่เขาสร้างมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ ส่งผลให้ตอนนี้ทรัพย์สินที่มีในแหวนก็เริ่มร่อยหรอลงเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นเหล่าสมับติที่ตัวเองได้รับมาหลุดลอยไป ซือโถวเหวินหยวนก็แทบร้องไห้ เขาเกลียดตัวเองว่าทำไมถึงไม่ควบคุมอสูรกลืนสวรรค์ให้ดีในตอนนั้น?
ถ้าเขาไม่ยืนเป็นไอ้โง่และปล่อยให้อสูรกลืนสวรรค์ทำตามอำเภอใจ ตอนนี้เขาก็คงจะร่ำรวยไปแล้วหรือเปล่า?
จนเวลาผ่านไป 5 วัน ในที่สุดเขาก็จ่ายครบทุกอย่าง ไม่ต้องพูดถึงสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ที่พังไปทั้งสองชิ้น เขาได้จ่ายค่าชดเชยด้วยทุกสิ่งที่มีภายในแหวนมิติของจางหาน
“เหอ เหอ อย่างน้อย ๆ ข้าก็ยังเหลือแหวนมิตินี่ล่ะนะ!” ซือโถวเหวินหยวนหัวเราะกับตัวเอง
ซือโถวเหวินหยวนได้แต่ปลอบใจกับตัวเอง เนื่องจากในแหวนมิติของจางหานนั้นโชคดีที่มีสมบัติเพียงพอสำหรับค่าชดเชยทั้งหมด เขาจึงไม่ได้ควักเนื้อของตัวเองจ่ายออกไปแม้แต่แดงเดียว ซึ่งมันก็ทำให้เขาสบายใจในส่วนนี้ไปได้เปราะหนึ่ง
ในขณะที่เขาหัวเราะกับตัวเองเสร็จแล้วก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาอย่างขลาดกลัวและพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส… เรือนของข้าถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นกลืนเข้าไป…”
เมื่อมองไปที่ ‘มนุษย์’ ที่อยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณผู้นี้ ซือโถวเหวินหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น เขาโยนแหวนมิติที่ภายในว่างเปล่าในมือของเขาไปยังบุคคลผู้นั้นและพูดว่า “แหวนมิตินี้มูลค่าของมันน่าจะเพียงพอที่จะชดเชยค่าเรือนให้เจ้า!”
เขาโยนมันให้ชายคนนั้น จากนั้นก็เดินจากมา
แม้แต่แหวนมิติวงสุดท้ายก็เสียไป…
เขากลับไปที่หมู่ตึกหยูอี่ด้วยหัวใจที่แตกสลายและหดหู่ ขณะที่เขาเดินเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่อย่างช้า ๆ
ทันใดนั้นก็มีคนมาเรียกเขา “หยุดก่อน ข้ามาที่นี่เพื่อขอคารวะเจ้าของหมู่ตึกหยูอี่คนใหม่ ขอวานท่านโปรดแจ้งให้เขาทราบด้วยได้หรือไม่?”
ซือโถวเหวินหยวนหันหน้าไปมองและพบว่าเป็นคนที่มาขอพบหลิงตู้ฉิงผู้นี้ เขาไม่สามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะได้ ซึ่งอย่างน้อย ๆ ระดับการบ่มเพาะของคนผู้นี้ก็คงอยู่ในขอบเขตสวรรค์
เขาพยักหน้าและตอบกลับ “ได้ ข้าจะแจ้งนายท่านให้ทราบ โปรดรอสักครู่!”
จากนั้นซือโถวเหวินหยวนก็เดินเข้าไปในสวนด้านหลัง และพูดกับหลิงตู้ฉิง “นายท่าน มีคนขอเข้าพบท่านข้างนอก”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ซือโถวเหวินหยวนและพูดว่า “เฟิงไปรับเขามา”
เสี่ยวเยว่เฟิงรีบลุกขึ้นยืนและนำบุคคลจากทางเข้าหมู่ตึกหยูอี่เข้ามาทันที
คนที่ขอพบหลิงตู้ฉิงเป็นชายวัยกลางคน เขามีคิ้วที่คมและดวงตาที่สดใสราวกับแสงดาว ที่สำคัญที่สุดคือบุคคลผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์
“ขอคารวะข้าคือเจ้าเมืองเจินไห่ จูหยงเฉียน จะรังเกียจไหมหากข้าจะขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านสักหน่อย?” จูหยงเฉียนพูดอย่างสุภาพ
แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมือง แต่หลิงตู้ฉิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ที่ทรงพลัง แถมยังมีข้ารับใช้ที่สามารถกลายร่างเป็นนกฟีนิกซ์และข้ารับใช้อีกคนหนึ่งก็เป็นคนของสำนักเต๋าสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีภาพวาดที่น่าสะพรึงกลัวนั่นอีก ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังการปฏิบัติตัวกับคนผู้นี้เป็นพิเศษ
อันที่จริง จูหยงเฉียนสังเกตสถานการณ์ของที่นี่มาหลายวันแล้ว และเมื่อเขาพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้เขาจึงถือโอกาสมาพบปะทำความรู้จัก
หลิงตู้ฉิงมองเขาและถามว่า “ท่านมาที่นี่มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ข้าสงสัยว่าท่านเป็นคนจากที่ไหนและทำไมท่านถึงมาที่อาณาจักรอี้จิ๋นของเรา” จูหยงเฉียนถามอย่างสุภาพ
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ว่าข้ามาจากไหนและการที่ข้ามาที่เมืองเจินไห่ นั้นเป็นเพราะที่นี่เป็นเพียงทางผ่านของข้าเท่านั้น แต่บังเอิญว่าข้าต้องรอใครสักคนที่เมืองเจินไห่ มันจึงทำให้การเดินทางของข้าอาจจะต้องล่าช้าไปอีกหน่อย”
จูหยงเฉียนหัวเราะ เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าหลิงตู้ฉิงเป็นคนที่มาจากทะเลชางหมาง เรื่องนี้หาข้อมูลได้ง่ายมาก แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือหลิงตู้ฉิงที่มาจากทะเลชางหมางนั้นมาที่นี่ทำไมหรือเขามีความลับอะไรอยู่ หรือแม้กระทั่งเขามีเจตนาแอบแผงที่จะทำอะไรกับเมืองเจินไห่ของเขาหรือเปล่า? นี่คือสิ่งที่เขากังวลที่สุด
จูหยงเฉียนพยักหน้า “บังเอิญว่าข้าเห็นว่าท่านมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดาและเต๋าอักขระเวทย์ของท่านก็ช่างสูงส่งยิ่งนัก มันทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่าจะต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน…”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านมีอะไรก็รีบพูดมาตรง ๆ!”
การฟังจูหยงเฉียนพูดจาอ้อมค้อมวกไปวนมา นี่เป็นการเสียเวลาของเขา
จูหยงเฉียน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็หัวเราะแก้เขินและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอพูดตรง ๆ เลยก็แล้วกัน เนื่องจากท่านมีพลังที่แข็งแกร่งมาก ข้าจึงอยากจะมาเชิญให้ท่านไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เพื่อเข้ารับตำแหน่งขุนนางของอาณาจักร ข้ามั่นใจว่าหากท่านได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางแล้วต่อไปอนาคตของท่านจะต้องได้เป็นขุนนางคนสำคัญของอาณาจักรอย่างแน่นอน ท่านอาจจะไม่ทราบว่าองค์จักรพรรดิของเรา พระองค์มีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ ซึ่งเราสามารถมั่นใจได้แน่นอนว่าอีกไม่นาน องค์จักรพรรดิจะต้องสามารถรวบรวมและยึดครองอาณาเขตนภาได้ทั้งหมดแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่จูหยงเฉียน และพูดว่า “ข้าไม่สนใจ! ถ้าเจ้ามีแค่คำถามเดียวก็ออกไปได้แล้ว!”
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงปฏิเสธ จูหยงเฉียนก็พยักหน้าอย่างเสียใจและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายจริง ๆ ข้าขอลาก่อน!”
Related