บทที่ 302 พวกเจ้าทุกคนไสหัวไปให้พ้น
ชื่อเสียงของหมู่ตึกหยูอี่นั้นนับได้ว่าเป็นตำนานของเมืองเจินไห่ไปแล้ว
ตั้งแต่การมีอยู่ของยันต์สั่งสวรรค์ไปจนถึงการเข้ายึดครองหมู่ตึกหยูอี่ของหลิงตู้ฉิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่วงเวลาที่หลิงตู้ฉิงวาดภาพลงในยันต์สั่งสวรรค์เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมันดึงดูดผู้เชี่ยวชาญมากหน้าหลายตาจนมีหลายคนแอบเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่และถูกสังหารโดยค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และเหลือไว้แต่ซากศพของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์หลายคนที่ถูกลากมากองไว้กลางถนนหน้าหมู่ตึก จากเหตุการณ์นั้นมันยิ่งเป็นการทำให้ทุกคนรู้จักชื่อเสียงอันน่าหวาดกลัวของหมู่ตึกหยูอี่มากเข้าไปอีก
อย่างไรก็ตาม ผู้คนในเมืองเจินไห่นั้นไม่เคยคิดว่าหมู่ตึกหยูอี่จะมีชื่อเสียงที่น่าทึ่งจนถึงขนาดดึงดูดองค์หญิงของอาณาจักรให้มาสนใจ และยั่วยุสำนักอักขระวิญญาณจนต้องส่งผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญมาที่นี่เพื่อลงมือสะสางแค้น
หลายคนที่เคยมีเจตนาแอบแฝงกับหมู่ตึกหยูอี่มาก่อน พวกเขารู้สึกหนาวสั่นในใจขึ้นทันที
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะลุ้นให้คนของสำนักอักขระวิญญาณประสบความสำเร็จและกวาดล้างหมู่ตึกหยูอี่ออกไป จากนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้พวกเขาทุกข์ใจอยู่จะได้จบลงซะที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลจางและตระกูลจื่อ พวกเขายิ่งกระตือรือร้นที่จะให้สำนักอักขระวิญญาณทำภารกิจของพวกเขาให้สำเร็จ
แม้ว่าหลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา หมู่ตึกหยูอี่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งสองตระกูลเลยก็ตาม แต่หมู่ตึกหยูอี่ก็กลายเป็นขุนเขาที่ข่มทับจิตใจพวกเขามาโดยตลอด
และตอนนี้ผู้ครอบครองหมู่ตึกหยูอี่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว จากนี้ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไรกันแน่?
เมื่อสีเป่ยเซียะเห็นหลิงตู้ฉิงเดินออกมา นางมองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ได้เอ่ยทักอะไร
ต่อให้เขาเป็นอัจฉริยะแล้วมันจะยังไงกันล่ะ? เขาจะทำอะไรได้เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจที่เหนือกว่าเช่นนี้?
เนื่องจากเขาไม่ยอมเข้าร่วมกับนาง นางจึงไม่ปกป้องเขาเช่นกัน นอกจากนี้คนของสำนักอักขระวิญญาณที่มากันวันนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน แม้ว่าตอนนี้หลิงตู้ฉิงจะขอให้นางช่วย นางก็ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ทางด้านของไป๋หยูหมิง เมื่อเขาเห็นว่าบรรดาคนของหมู่ตึกหยูอี่กำลังเดินออกมา เขาก็จ้องมองไปที่พวกเขาด้วยแววตาเย้ยหยัน
ผู้อาวุโสเหยาที่เห็นว่าพวกของหลิงตู้ฉิงออกมาจากหมู่ตึกหยูอี่แล้ว เขาจึงตะโกนขึ้น “มอบสมบัติวิเศษระดับเซียนของสำนักข้ามา และพวกเจ้าทุกคนจงตามพวกข้ากลับไปที่สำนักของเราเพื่อรอการลงทัณฑ์!”
แน่นอนว่าเขาต้องได้สมบัติระดับเซียนกลับคืนมา และเขาต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน แน่นอนว่าความตั้งใจเดิมในการช่วงชิงยันต์สั่งสวรรค์ยังคงเหมือนเดิม
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เหล่าคนของสำนักอักขระวิญญาณ และคนอื่น ๆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยสายตาเย็นชาและพูดขึ้น “พวกเจ้าทุกคนไสหัวไปซะ ถ้าหากพวกเจ้าไม่ยอมไสหัวไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกเจ้าจะตายทั้งหมด แต่สำนักอักขระวิญญาณของพวกเจ้าก็จะถูกลบหายออกไปจากโลกนี้!”
อันที่จริงเขาไม่อยากพูดมาก แต่เขาจำเป็นต้องลองให้ทางเลือกคนพวกนี้ เนื่องจากเขาเองก็ไม่อยากฆ่าคนจำนวนมากขนาดนี้
นี่เป็นเพราะวิถีการบ่มเพาะของเขาในชีวิตนี้นั้นแตกต่างจากชีวิตที่แล้ว ถ้าเขาฆ่าคนมากเกินไปเขาจะได้รับอันตรายจากการบ่มเพาะอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาลังเลเล็กน้อยที่จะใช้ยันต์สั่งสวรรค์และยิ่งไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์หายไป เนื่องจากนี่คือเจตจำนงสุดท้ายของนางที่เขาเหลืออยู่
ไป๋หยูหมิงหัวเราะอย่างเย็นชา “ตอนนี้ในสายตาของข้า เจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามด แล้วนี่เจ้ายังกล้าขู่พวกข้าอีกงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าการที่เจ้าเคยสังหารคนของสำนักข้าและขโมยสมบัติระดับเซียนของเราไปได้แล้วเจ้าจะคิดว่าเจ้าเหนือกว่าสำนักของข้าแล้วงั้นเหรอ เจ้านี่มันไม่รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเจ้าเองจริง ๆ วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้สึกโดยการจับพวกเจ้าทั้งหมด และจะทำให้พวกเจ้ากลายเป็นหุ่นเชิดไปเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าของสำนักข้าเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้คนทั่วไป!”
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง จงรีบไสหัวไปจากที่นี่ซะ!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสายตาเย็นชา
ขณะนี้ร่างกายของหลิงตู้ฉิงกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ เจตจำนงแห่งการฆ่าที่มองไม่เห็นได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา
แต่น่าเสียดายที่ฝั่งตรงข้ามนั้นอยู่ไกลเกินไปที่จะรู้สึกอะไร
แต่บรรดาคนของหลิงตู้ฉิงที่อยู่ข้าง ๆ ต่างรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
ซึ่งขนาดที่ซือโถวเหวินหยวน ที่แม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์หรือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์สามัญอย่างเสี่ยวเยว่เฟิงก็ตาม ภายใต้เจตจำนงแห่งการฆ่าเช่นนี้พวกเขาก็รู้สึกเหมือนหนูเจอแมว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่น
ไป๋หยูหมิงที่ยังไม่รู้สึกถึงอะไร เขาเห็นแต่เพียงว่าหลิงตู้ฉิงในตอนนี้ไม่มีท่าทีที่จะยอมแพ้แถมยังคงโอ้อวดต่อ เขาเยาะเย้ย “เนื่องจากเจ้ายังคงต่อต้าน ถ้าอย่างนั้นก็จงเตรียมตัวรับการลงทัณฑ์ซะ ทุกคนจับพวกมันกลับไปสำนักของเราให้หมด!”
เมื่อไป๋หยูหมิงออกคำสั่ง ทุกคนในเมืองเจินไห่ก็รู้สึกเหมือนมีแรงกดดันจากบนท้องฟ้าหล่นลงมาทับร่างของพวกเขา
ทางด้านของผู้อาวุโสเหยา และผู้อาวุโสเจิ้ง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ พวกเขาทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ร่อนลงมาหาหลิงตู้ฉิงและคนของเขา เพื่อจับกุมพวกเขากลับไปที่สำนัก
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็ค่อย ๆ คลี่ยันต์สั่งสวรรค์ออกและเตรียมพร้อมที่จะใช้งานมัน
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงตะโกนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านหลิง บอกให้พวกเจ้ารีบไสหัวไป ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่ไปอีก? นี่พวกเจ้าโง่เง่ากันจนขนาดไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง พวกเจ้าไม่กลัวตายกันเลยใช่ไหม?”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเหยาและผู้อาวุโสเจิ้งที่กำลังร่อนลงไปหาหลิงตู้ฉิงและพรรคพวกก็รู้สึกได้ถึงสายลมเบา ๆ แต่อำนาจของมันกลับสามารถพัดให้พวกเขาลอยกลับไปที่ด้านข้างของไป๋หยูหมิงได้อย่างไม่ยากเย็น ในขณะเดียวกันลมที่อ่อนโยนนี้ ไม่เพียงแต่พัดผู้อาวุโสเหยาและผู้อาวุโสเจิ้งออกไป แต่มันกลับสามารถปัดเป่าอำนาจกดดันของไป๋หยูหมิงทั้งหมดให้หายไปด้วย ส่งผลให้ผู้คนในเมืองเจินไห่ต่างรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าที่เคยมืดหม่นได้กลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง
แต่แล้วสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น พวกเขาเห็นคน 7 คนลอยอยู่ในอากาศ
และมีผู้นำกลุ่มเป็นหญิงสวมชุดสีดำเข้ารูปตัวเน้นสัดส่วนกับตัวของนางและเครื่องประดับที่นางใส่นั้นมีเพียงปิ่นปักผมสีทองโดดเด่นอยู่เพียงอันเดียว ซึ่งมันยิ่งทำให้นางดูงดงามมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้บนหน้าอกของหญิงสาวชุดดำยังมีลวดลายที่ถูกปักไว้เป็นรูปพู่กันที่ดูเหมือนกำลังจะเขียนอักขระปริศนาอะไรบางอย่าง
ข้าง ๆ หญิงสาวก็มีเด็กสาว 2 คน ที่ดูเหมือนว่าพวกนางจะเป็นคนรับใช้ ซึ่งแต่ละคนถือดาบและแส้หางม้ากันคนละอัน แถมอาวุธทั้งคู่ยังเป็นอาวุธวิเศษระดับเซียน
ที่ด้านหลังของหญิงสาวชุดดำ ก็ยังมีชายชราสวมเสื้อคลุมสีเหลืองและหญิงวัยกลางคนในชุดกระโปรงยาวสีเขียวคอยติดตามอยู่ไม่ห่าง
และสุดท้าย ด้านข้างชายชราชุดเหลืองยังมีชายหนุ่มอีก 2 คน
คนที่ตะโกนขึ้นเมื่อครู่คือหญิงสาวชุดดำที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม
เมื่อไป๋หยูหมิงเห็นว่ามีใครบางคนกำลังแทรกแซงเรื่องของเขา เขาจึงรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที แต่ในขณะที่เขากำลังจะตะโกนถามว่าใครเป็นคนที่กล้าหาญมาแส่เรื่องของเขา เมื่อเขาเห็นลายปักบนร่างกายของหญิงสาวชุดดำท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็โค้งคำนับอย่างเร่งรีบ “ที่แท้ก็เป็นแขกผู้มีเกียรติจากสำนักอักขระศักด์สิทธิ์นี่เองที่มาถึง”
หญิงสาวในชุดดำเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงและหันไปมองไปที่ไป๋หยูหมิง “สำนักอักขระวิญญาณของเจ้านี่ช่างกล้าดีนักนะ ที่กล้าโจมตีแขกของสำนักอักขระศักด์สิทธิ์ของข้า?”
ไป๋หยูหมิงรีบพูด “นั่นก็เพราะเขากำแหงมากเกินไปแถมเขายังสังหารผู้อาวุโสของสำนักของเรา และยังขโมยสมบัติวิเศษระดับเซียนประจำสำนักไปอีกต่างหาก พวกเราแค่มาที่นี่เพื่อทวงของจากเขาคืนก็เท่านั้น แต่ในเมื่อตอนนี้พวกท่านก็ได้มาถึงที่นี่แล้ว เพื่อเห็นแก่พวกท่าน ข้าก็จะไม่ติดตามเรื่องนี้อีกต่อไป”
ก่อนหน้านี้ สำนักอักขระศักด์สิทธิ์ยังดูไม่ใส่ใจกับที่หมู่ตึกหยูอี่อยู่เลย แต่แล้วทำไมตอนนี้กลับเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้จนเป็นจริงเป็นจังไปซะแล้วล่ะ?
ไป๋หยูหมิง ตอนนี้ปวดหัวจนเส้นเลือดปูด เนื่องจากเหล่าคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เรื่องการแย่งชิงยันต์สั่งสวรรค์นั้นเขาสามารถลืมมันไปได้เลย ตอนนี้สิ่งที่เขาควรจะคิดเป็นอันดับแรกก็คือการรับผิดชอบผลที่ตามมาอย่างไรให้ดีที่สุดจะดีกว่า
หญิงสาวในชุดดำพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “งั้นก็ตามนั้นไปก่อน!”
หลังจากพูดจบ นางก็ค่อย ๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้าและเดินไปหาหลิงตู้ฉิง จากนั้นนางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหลิง…”
แต่ก่อนที่นางจะได้พูดจบ หลิงตู้ฉิงก็พ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชา จากนั้นเขาหันหลังกลับเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่ทันทีด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
เมื่อหลิงตู้ฉิงเดินกลับเข้าไปในอาคาร มี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ย และคนที่เหลือทั้งหมดก็เดินกลับไปเข้าไปเช่นกัน โดยทิ้งให้หญิงสาวชุดดำยืนเก้ออยู่ข้างนอกแค่เพียงผู้เดียว
หลังจากที่ผู้คนของหมู่ตึกหยูอี่ถอยกลับเข้าไปด้านใน พวกเขาก็เปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันที เพื่อเป็นการแสดงว่าพวกเขายังไม่พร้อมรับแขกคนไหนในตอนนี้
“คุณหนู…” สาวใช้ทั้งสองข้างหญิงสาวชุดดำพูดขึ้นทันที
หญิงสาวในชุดดำโบกมือสั่งให้หยุดพูดพลางขมวดคิ้ว ขณะมองไปที่หมู่ตึกหยูอี่ นางครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่จะหันไปหาหยุนจื่อรุ่ย และเปียนเฉียวเฉียว ที่ยังคงยืนอยู่ด้านหน้าอาคารและพูดว่า “น้องสาวทั้งสอง พวกเจ้าช่วยไปรายงานกับเจ้านายของพวกเจ้าได้ไหม ว่าข้ามีเรื่องด่วนที่สำคัญมากต้องการคุยกับเขา”
หยุนจื่อรุ่ยพูดอย่างเชื่องช้า “พี่สาว ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการไปแจ้งให้ท่าน แต่พวกเราเองก็ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้เช่นกันถ้าหากค่ายกลกระบี่นี้ยังเปิดใช้งานอยู่ พวกเราจะสามารถเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อนายท่านถอนค่ายกลกระบี่ออกแล้ว”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังหญิงสาวในชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “น้องสาว เจ้านายของเจ้านี่เป็นคนยังไงกันที่กล้าปฏิบัติกับพวกเจ้าที่เป็นเด็กเช่นนี้? เดี๋ยวเจ้ารอให้พี่ชายผู้นี้ทำลายค่ายกลกระบี่ให้เจ้าก่อน แล้วพี่ชายจะสั่งสอนเจ้านายของเจ้าให้เอง!”
ชายชราพูดว่า “ซ่งหยวน ค่ายกลกระบี่นี้มีอำนาจพอ ๆ กับพลังของผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ เจ้าจะทำลายมันได้อย่างไร?”
สีหน้าของซ่งหยวนเปลี่ยนไปอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินผู้อาวุโสของเขาเตือนเช่นนี้ เขาโค้งคำนับและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านลุงกู่โปรดทำลายค่ายกลกระบี่ของเขาให้เราทีเถอะ!”
ชายชราไม่พูด แต่มองไปที่หญิงสาวชุดดำ
หญิงสาวในชุดดำโบกมือแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสกู่ อย่าทำผลีผลามอะไรในตอนนี้ รอให้ข้าได้มีโอกาสคุยกับเขาก่อนแล้วค่อยมาคิดกันว่าจะเอายังไงต่อ”
นางรู้สึกว่ามันแปลกมาก สำนักอักขระศักด์สิทธิ์ของนางนั้นทุกคนต่างรู้ว่ามีสถานะอันสูงส่ง แต่คนพวกนี้เป็นคนแบบไหนกันที่กล้าปิดประตูใส่พวกนางแบบนี้? หรือว่าการกระทำเช่นนี้จะมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอย่างอื่นอีกงั้นเหรอ?
Related