บทที่ 308 โอกาสที่รออยู่ในทะเลชางหมาง
ค้อนสีทองอันเล็กด้ามนี้รูปลักษณ์ของมันคล้ายกับค้อนสงครามขนาดย่อส่วนลงมาสักหลายสิบเท่า ผิวของมันเรียบเนียนสมบูรณ์ไร้รอยตำหนิใด ๆ แต่ที่น่าแปลกก็คือไม่มีรัศมีอำนาจใด ๆ ที่สัมผัสได้ออกมาจากมันแม้แต่น้อย ซึ่งหากพิจารณาดี ๆ แล้วนอกจากความสวนงามของมัน นอกนั้นแล้วก็ไม่ได้ดูว่ามันจะมีประโยชน์อะไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อค้อนของเย่ชิงเฉิงตกลงบนพื้น ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดิน
อันที่จริงสิ่งที่ผู้คนในสวนด้านหลังหมู่ตึกหยูอี่ไม่รู้ก็คือไม่เพียงแต่บริเวณของหมู่ตึกเท่านั้นที่สั่นสะท้าน แต่อาณาเขตพื้นที่ทั้งหมดหลายพันกิโลเมตรรอบเมืองเจินไห่ก็เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย พวกนางต่างมองอย่างสงสัยว่าค้อนที่เยว่ชิงเฉิงโยนออกมานั้นมันมีอะไรดีทำไมนางถึงได้ดูภูมิใจกับมันนัก?
แต่สำหรับทางด้านของเสี่ยวเยว่เฟิงและซือโถวเหวินหยวน เมื่อเห็นเช่นนี้พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก
แม้แต่หลิงตู้ฉิงก็ยังส่ายหัวและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “นี่บรรดาพวกผู้อาวุโสของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ามีสมองกันบ้างรึเปล่า? ถึงกล้าปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราของสำนักออกมาเที่ยวเล่นพร้อมกับอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิอยู่ในมือ!”
เย่ชิงเฉิงตะคอก “นั่นมันเป็นเรื่องของข้า! สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้ามีอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิอยู่มากมาย เอาล่ะตอนนี้เจ้าควรบอกข้ามาได้แล้วว่าไอ้สิ่งที่อยู่ในภูเขาหลังสำนักของข้ามันคืออะไรกันแน่? แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าเจ้าอย่าได้คิดชื่อมั่ว ๆ ขึ้นมาโกหกข้าเด็ดขาด จงจำไว้ว่าข้านั้นมาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นความรู้ที่ข้ามีอยู่เจ้าไม่สามารถหลอกข้าได้ง่าย ๆ แน่นอน!”
ในฐานะลูกสาวของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ นางจะกล้าถ่อจากสำนักมาถึงที่อาณาเขตนภาอันแสนห่างไกลได้อย่างไรหากไม่พกของดีติดตัวไว้ปกป้องชีวิตของตัวเองมาบ้าง?
ไม่ว่าจะเป็น โองการจักรพรรดิ หรือ อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ ที่นางพกพามาพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นของที่ไว้ใช้เป็นหลักประกันในความปลอดภัยของนางทั้งนั้น
แม้ว่าด้วยระดับการบ่มเพาะของนางเองที่อยู่แค่ในขอบเขตรวมแสงดารา ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เพียงที่จะแสดงอำนาจของสิ่งของเหล่านี้ได้ แต่นางก็มีเศษเสี้ยวจิตสำนึกของแม่ของนางที่ทิ้งไว้ ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะใช้พวกมัน!
แม้ว่าด้วยอำนาจของของเหล่านี้ทั้งหมดมันจะไม่ได้ทำให้นางอยู่ยงคงกระพันบนโลกนี้ แต่มันก็มีเพียงไม่กี่ขุมกำลังบนโลกที่จะสามารถทำลายการป้องกันระดับนี้ของนางได้ ซึ่งการที่ขุมกำลังเหล่านั้นจะลงมือกับนางจริง ๆ ขุมกำลังเหล่านั้นจะต้องมีความแค้นฝังลึกกับสำนักของนางเป็นอย่างมากไม่เช่นนั้น อยู่ดี ๆ ใครมันจะกล้ารุกรานสำนักใหญ่อย่างสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่มีเหตุผล?
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหลิงตู้ฉิงมากนัก อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนความตั้งใจของเขา
“สาวน้อย ถ้าข้ายังพูดว่ามันไม่เพียงพอ เจ้าคงจะคิดว่าข้าโอ้อวด แต่อันที่จริงข้าเองก็ยังคงต้องยืนยันว่ามันยังไม่เพียงพอ!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “อย่างไรก็ตามข้าจะให้โอกาสเจ้า ถ้าเจ้ารับปากข้าในเงื่อนไขข้อหนึ่ง ข้าอาจจะยอมบอก”
“เงื่อนไขอะไร?” เย่ชิงเฉิงถามอย่างสงสัย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ไม่เลวเลย ดังนั้นข้าต้องการให้เจ้ามาเป็นภรรยาของข้าในอนาคต!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงกระเด้งตัวขึ้นเหมือนแมวที่หางถูกเหยียบ นางพูดด้วยน้ำเสียงดุเดือดว่า “เจ้านี่มันแผนสูงนักนะ! เจ้าคงคิดไว้แล้วล่ะสิว่าถ้าเจ้าแต่งงานกับข้าสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมดเช่นกัน นี่คือแผนที่เจ้าวางไว้ใช่ไหม? ดูเหมือนว่าเจ้าจะประเมินอะไรพลาดไปบางอย่างนะว่าที่เจ้าต้องให้ข้ามันเป็นเพียงแค่ ‘ชื่อ’ เท่านั้น แต่นี่เจ้ากลับขอให้ข้าตอบแทนเจ้าด้วยการแต่งงานกับเจ้าเนี่ยนะ เจ้าบ้าไปแล้ว!”
เมื่อนางพูดจบ นางก็เดินกระทืบเท้าออกไป
นางเดินออกจากหมู่ตึกหยูอี่อย่างโกรธ ๆ และรำพึงในใจ ‘คงเป็นเพราะข้ามีสมบัติมีค่ามากเกินไป เจ้าจึงต้องการรวบหัวรวบหางของข้าไว้ทั้งหมดเลยสินะ!’
อันที่จริง อย่าว่าแต่เย่ชิงเฉิงเลยที่คิดเช่นนี้ แม้แต่มี่ไลและคนอื่น ๆ ก็คิดแบบเดียวกัน
มี่ไลยิ้มและพูดว่า “สามี ข้าแนะนำว่าท่านควรรีบไปพานางกลับมา ถ้าท่านได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นภรรยาอีกคนแล้วล่ะก็ ครอบครัวของเราจะมั่งคั่งขึ้นทันที!”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยยิ้มและพูดว่า “นางร่ำรวยและดูดีทีเดียว นางน่าจะเป็นภรรยาที่ดีของสามีได้อย่างไม่มีปัญหา”
“ดีจัง ข้ากำลังจะมีแม่รวย ๆ แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงเทียนหยุนหัวเราะ
เสี่ยวเยว่เฟิงและซือโถวเหวินหยวนถึงกับให้กำลังใจเขา “นายท่าน ต่อให้นางจะไม่ได้มาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ คิดเพียงแค่อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิที่นางครอบครองอยู่แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วหากท่านได้แต่งงานกับนาง พวกเราขอเอาใจช่วยให้นายท่านพิชิตใจนางได้โดยไว!”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่พวกเขาอย่างแปลกประหลาด นี่พวกเจ้ากำลังคิดบ้าอะไรกันอยู่?
นั่นมันก็แค่อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ มันไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไรขนาดนั้นสักหน่อย แค่เมื่อไหร่ที่ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับเพียงพอ เขาก็สามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้!
และก็เหมือนกับยันต์สั่งสวรรค์ที่เขาเองในอนาคตก็สามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้เช่นกัน
อันที่จริงสิ่งที่เขาสนใจในตัวนางคือ สิ่งอื่นในร่างกายของนางต่างหาก
แต่เขาเองก็เข้าใจเช่นกันว่าสิ่งที่คนอื่นพูดนั้นมันก็ดูสมเหตุสมผลในมุมมองของพวกเขา หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อยและปล่อยให้ทุกคนต่างเข้าใจกันไปโดยที่ไม่โต้แย้งอะไร
ในอีกด้านหนึ่ง เย่ชิงเฉิงที่เดินออกจากหมู่ตึกหยูอี่อย่างโกรธเกรี้ยว และเมื่อคนรับใช้ของนางที่รออยู่ที่ประตู เห็นสีหน้าของเย่ชิงเฉิง นางจึงพาลโกรธหลิงตู้ฉิงไปด้วยทันที
“พวกเขารังแกคุณหนูใช่ไหม? ฮึ่ม! คุณหนูรอข้าตรงนี้สักครู่ ข้าจะเข้าไปจัดการกับพวกเขาเดี๋ยวนี้!” โม่เอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
“ไม่ต้อง! มันไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า!” เยว่ชิงเฉิงพ่นลมออกจมูก “ไป พวกเรากลับกันก่อน!”
จริง ๆ แล้วก่อนที่นางจะมาถึงที่นี่ นางได้เตรียมใจไว้แล้วว่านางจะใช้เรื่องการแต่งงานเป็นการแลกเปลี่ยนกับเขา
แน่นอนว่าถ้าหลิงตู้ฉิงสามารถช่วยแก้ปัญหาให้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และช่วยพ่อของนางได้ อย่างน้อยนางก็จะลดตัวลงไปหาเขา
ไม่ว่าจะยังไงเรื่องพ่อของนางก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สามารถแก้ปัญหาของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกนั้นนางไม่ได้สนใจเลย ท้ายที่สุดหลังจากบ่มเพาะไปจนถึงระดับหนึ่งร่างกายของผู้บ่มเพาะก็จะสามารถถูกปรับแต่งขึ้นใหม่ได้ตามใจชอบ
แต่เหตุผลที่ทำให้นางโกรธก็คือ หลิงตู้ฉิงกลับรอจนนางแสดงสมบัติวิเศษจำนวนมากออกมาก่อน เมื่อนั้นเขาถึงได้เอ่ยออกมาว่าเขาอยากได้ตัวนางมาครอบครอง
ตัวนางเองมีสถานะถึงขนาดไหนกัน? ทำไมเขาถึงปฏิบัติกับนางเหมือนกับว่าตัวตนของนางนั้นไม่สำคัญเท่ากับกองสมบัติวิเศษ?
ความรู้สึกว่าถูกคนอื่นดูถูกทำให้นางไม่มีความสุข
หลังจากเดินออกมาสักพักด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว แต่แล้วเมื่อนางฉุกคิดได้ว่านางยังคงต้องการความช่วยเหลือจากหลิงตู้ฉิง ในเรื่องของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และพ่อของนาง นางก็ถอนหายใจและค่อย ๆ ปล่อยวางความคับข้องในใจของนางลง จากนั้นนางจึงพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติที่สุด
เมื่อคิดทุกอย่างได้อย่างถี่ถ้วนแล้วนางจึงเดินทางไปที่จวนเจ้าเมือง เพื่อไปหาสีเป่ยเซียะตามลำพัง
“เมื่อกี้เจ้าเป็นคนใช้ อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ หรือเปล่า?” สีเป่ยเซียะมองไปที่เย่ชิงเฉิงด้วยแววตาสงสัย
เย่ชิงเฉิงขึ้นเสียง “เผอิญว่ามันมีใครบางคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจึงใช้อาวุธของข้าข่มขู่เขา!”
สีเป่ยเซียะหัวเราะ “ต่อให้ใช้กำลังของทั้งอาณาเขตนภาทั้งหมดมารวมกัน มันยังไม่มีอำนาจพอจะเทียบกับอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิเพียงชิ้นเดียวเลย แล้วนี่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าใช้อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิเพื่อข่มขู่คนแค่คนเดียวเนี่ยนะ?”
“พี่หญิง หยุดพูดเรื่องไร้สาระนี้กันเถอะ!” เย่ชิงเฉิงโบกมือ “ข้าเข้าใจว่าท่านคงจะมีเศษดาวหางทองคำใช่ไหม? ท่านจะว่าอะไรไหมหากข้าขอแลกพวกมันจำนวน 1 กิโลกรัมกับสมบัติวิเศษระดับราชันของข้า?”
สีเป่ยเซียะโบกมือของนางและหยิบก้อนโลหะสีขาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือออกจากแหวนมิติ และโยนมันไปทางเย่ชิงเฉิง นางพูดว่า “ข้าไม่สนใจสมบัติวิเศษระดับราชัน ถ้าเจ้าต้องการแลกเปลี่ยนให้ใช้หยกกำหนดจิตของสำนักเจ้าในการแลกเปลี่ยน!”
เยว่ชิงเฉิงยิ้มและพูดว่า “พี่หญิง ดูเหมือนว่าครั้งนี้โชคของท่านค่อนข้างดีทีเดียว เพราะบังเอิญว่าตอนนี้ข้ามีหยกกำหนดจิตคุณภาพสูงสุดอยู่พอดี!”
เมื่อพูดจบนางโยนหยกขนาดเท่าฝ่ามือให้สีเป่ยเซียะ
สีเป่ยเซียะ เมื่อได้รับหยกมาไว้ในฝ่ามือ นางรู้สึกได้ทันทีว่าจิตวิญญาณของนางชัดแจ้งขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะพูดชม “ข้าเป็นหนี้เจ้าจริง ๆ ถึงแม้ว่าเศษดาวหางทองคำจะเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับพวกเรามันก็เป็นเพียงของธรรมดาที่มีค่านิดหน่อยเท่านั้น”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะเบา ๆ
“โอ้! ข้ายังไม่ได้ถามพี่หญิงเลยว่าทำไมท่านถึงมาที่ที่ห่างไกลเช่นนี้?” เยว่ชิงเฉิงถามอย่างสงสัย
สีเป่ยเซียะเผยรอยยิ้มขึ้นและถามตอบ “แล้วทำไมสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าถึงได้สร้างหมู่ตึกหยูอี่ขึ้นมา?”
“ก็เพราะว่าพวกเรากำลังรอโอกาสอยู่!” เย่ชิงเฉิงพูดตามความเป็นจริง “ทุกคนรู้ดีว่า สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราพบกับปัญหาใหญ่หลวง วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาของเราได้คือพวกเราต้องลองเสี่ยงดวงมาที่สถานที่ลึกลับแห่งนี้เพื่อรอ ‘ผู้ถูกชะตาลิขิต’ ของเรา และหลังจากความพยายามหลายปีของเรา ในที่สุดเราก็พบเขาจนได้”
สีเป่ยเซียะยิ้มและพูดว่า “ทางฝั่งพวกข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน! เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทะเลชางหมางนี้เป็นผลงานการสร้างของผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเราจะจินตนาการถึง ซึ่งแม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าที่นี่มันจะต้องมีอะไรดี ๆ ถูกซ่อนไว้อยู่แน่นอน ฉะนั้นพวกข้าก็เลยมากันที่นี่!”
Related