บทที่ 312 ดับความฝัน
แม่ของเย่ชิงเฉิงทิ้งไว้เพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนางในห้วงจิตสำนึกเท่านั้น หากเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าระดับการบ่มเพาะของนางอยู่ในขอบเขตใด
แต่ในทางกลับกัน การที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถแบ่งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของตัวเองไปฝังไว้ในห้วงจิตสำนึกของผู้อื่นได้มันพิสูจน์ได้ว่า แม่ของเย่ชิงเฉิงอย่างน้อยที่สุดนางคือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตราชัน
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่สามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันได้ในตอนนี้ แต่หลิงตู้ฉิงก็มั่นใจว่าด้วยวิธีการลับของเขา เขาสามารถที่จะลบเศษเสี้ยวจิตวิญญาณซึ่งต่อให้เจ้าของอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเขาก็ยังทำได้โดยไม่มีปัญหา
เย่ชิงเฉิงเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงยังคงต่อล้อต่อเถียงกับนางต่อ นางจึงขี้เกียจที่จะเถียงอะไรกับเขาอีก ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแม่ของนางก็บอกแล้วว่านางจะต้องแต่งงานกับหลิงตู้ฉิง
ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ยังคงต้องได้รับการแก้ไขจากเขาอยู่ ดังนั้นการต่อล้อต่อเถียงกันไปให้ยืดยาวมันจึงไม่เป็นผลดีอะไรสักเท่าไหร่
“ค่ายกลกระบี่นี้มันคือค่ายกลกระบี่อะไร?” เยว่ชิงเฉิงถาม
หลิงตู้ฉิงตอบกลับทันที “ความลับของข้า ข้าไม่บอกกับใครไปทั่วหรอกนะ”
เยว่ชิงเฉิงอดไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์โมโหที่ได้ยินเช่นนี้ “นี่แม่ของข้าให้ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นคนอื่นอีกงั้นเหรอ?”
“มันเป็นแค่คำสัญญาทางวาจาที่เจ้าพูดขึ้นมาเท่านั้น” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่ถ้าเจ้าอยากรู้จริง ๆ ก่อนที่เจ้าจะมาเป็นภรรยาของข้าอย่างเต็มตัว เจ้าก็ต้องทำสัญญากับข้า ถ้าทำเช่นนั้นข้าก็บอกเจ้าได้เช่นกัน”
ได้ยินเช่นนี้ อารมณ์ของนางพุ่งปรี้ดทันที!
จากสิ่งที่เขาพูด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องร่วมหอกันก่อนงั้นเหรอ? เขารีบขนาดนี้เพื่ออะไร? เขาไม่ได้ขาดผู้หญิงนี่นา มีผู้หญิงอยู่เคียงข้างเขาอยู่แล้วทำไมมันดูเหมือนว่ากระหายอยากได้นางถึงขนาดนี้อีก?
แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องไปถึงจุดนั้นอยู่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าเขาและนางค่อย ๆ ทำความรู้จักกันไปก่อน จนมีความรู้สึกที่ผูกพันธ์กันมากกว่านี้?
นางจ้องมองหลิงตู้ฉิงอย่างเกลียดชังก่อนที่จะเดินจากไป
ในแง่หนึ่งนางโกรธหลิงตู้ฉิง อีกเหตุผลก็คือนางต้องไปจัดการกับเรื่องอื่น ๆ ของนาง
เมื่อเดินออกจากหมู่ตึกหยูอี่ โม่เอ๋อที่เห็นเย่ชิงเฉิงหุนหันเดินออกมาอาคารอีกแล้ว นางก็รู้สึกไม่พอใจหลิงตู้ฉิงมากเข้าไปอีก
แต่น่าเสียดายที่นางเองก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางโกรธเรื่องอะไรมา ดังนั้นในฐานะคนรับใช้นางจึงไม่กล้าเอ่ยถามอะไร เนื่องจากมันจะดูเป็นการก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายมากเกินไป
เย่ชิงเฉิงพาโม่เอ๋อกลับไปที่เรือนชั่วคราวของพวกนางในเมืองเจินไห่ จากนั้นนางนำสมบัติวิเศษระดับเซียนของสำนักอักขระวิญญาณออกมา และมอบมันให้กับหญิงวัยกลางคน “ป้าหลัน ครั้งนี้ข้าคงต้องรบกวนให้ท่านนำมันกลับไปคืนให้กับสำนักอักขระวิญญาณแล้วล่ะ นอกจากนี้บอกกับพวกเขาด้วยว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องนำสมบัติใด ๆ มามอบให้กับเราอีก และท่านอย่าลืมย้ำเตือนกับพวกเขาด้วยว่าเรื่องราวความขัดแย้งของพวกเขากับหลิงตู้ฉิง นับแต่นี้มันต้องจบลง แต่ถ้าหากพวกเขากล้าที่จะทำให้สามีในอนาคตของข้าขุ่นเคืองอีกล่ะก็ข้าก็ยินดีที่จะทำให้สำนักของพวกเขาราบเป็นหน้ากลอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฉิงทุกคนก็ตกใจ พวกเขาต่างถามขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กันว่า “สามีในอนาคต!?”
เย่ชิงเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “แม่ของข้าได้ตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว หลิงตู้ฉิงมีความสำคัญต่อสำนักเราเป็นอย่างมากในเรื่องของการช่วยแก้ปัญหาให้กับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเรา ดังนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ในอนาคตข้าจึงจะต้องแต่งงานกับเขา”
เย่หยูหลันพูดว่า “คุณหนู เรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปทำไมท่านต้องด่วนประกาศเร็วขนาดนี้ แม้ว่านายหญิงจะเห็นด้วย แต่ข้าคิดว่าเราควรพูดคุยกันเรื่องนี้อีกทีหลังจากที่หลิงตู้ฉิงได้แก้ปัญหาให้พวกเราสำเร็จแล้ว!”
ชายชราอีกคนพูดว่า “ข้าก็เห็นด้วยกับคำพูดของหยูหลัน ตอนนี้มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นชื่อเสียงของท่านยังคงไม่แปดเปื้อนใด ๆ แม้แต่น้อย เราควรจะพูดคุยเรื่องนี้อีกทีหลังจากที่คนแซ่หลิงได้แก้ปัญหาให้เราแล้ว”
“ศิษย์น้อง พวกเราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน นอกจากนี้เขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณเท่านั้น หากเขาไม่ยินยอมจริง ๆ พวกเราก็แค่จับตัวเขากลับไปที่สำนักของเรา ข้าไม่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเรา มันจะไม่สามารถพาตัวเขากลับไปกับเราได้”
ชายหนุ่มอีกคนรีบพูดว่า “นอกจากนั้นผู้คนในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ต่างไม่มีใครที่ใครไม่รู้ว่าเจ้ากับศิษย์พี่เล้งหวงเป็นคู่หมายกัน แถมตอนนี้ศิษย์พี่เล้งหวงก็กำลังเดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาคนที่มีความสามารถเพื่อมาแก้ปัญหาของสำนักเราที่เกิดจากด้านหลังของภูเขา ดังนั้นข้าคิดว่าท่านไม่ควรตัดสินใจเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ”
เยว่ชิงเฉิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “แม่ของข้าตกลงเรื่องนี้ไปแล้ว และข้าคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่ตึกหยูอี่ ส่วนพวกท่านก็อยู่กันที่นี่ต่อไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฉิงทุกคนก็เริ่มต่อต้านนางมากขึ้น ในแง่หนึ่งพวกเขาไม่ต้องการให้เย่ชิงเฉิงและหลิงตู้ฉิงอยู่ด้วยกัน ต้องรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่เพิ่งเจอและรู้จักกันได้ไม่นานนี้เอง และอีกอย่างพวกเขาก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเย่ชิงเฉิง
“เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว” สีหน้าของเย่ชิงเฉิงเย็นชา ขณะที่นางพูด “สำหรับความปลอดภัยของข้า พวกท่านไม่รู้หรือว่าข้ามีอะไรติดตัว? ใครหน้าไหนจะกล้าคุกคามความปลอดภัยของข้า?”
เมื่อเห็นว่าเย่ชิงเฉิงยืนกรานในการตัดสินใจ ชายชราและชายหนุ่มทั้งสองจึงไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตามคนรับใช้สองคนของเย่ชิงเฉิง ก็พูดว่า “คุณหนู ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปอยู่กับท่านที่หมู่ตึกหยูอี่ เมื่อมีพวกเราคอยจับตาดูอยู่ คนแซ่หลิงนั่นไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้คุณหนูของพวกเราแน่!”
เย่ชิงเฉิงยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าไม่สามารถไปอยู่กับข้าได้ ข้าสามารถอยู่ที่นั่นได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น”
“แต่เราเป็นคนรับใช้ของท่าน เราต้องอยู่ด้วยกันกับท่าน!” คนรับใช้อีกคนพูด “ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าท่านจะมีสมบัติวิเศษติดตัว แต่ระดับการบ่มเพาะของท่านก็ต่ำเกินไป บางทีท่านอาจจะเผลอจนไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดใช้งานมัน และนั่นมันจะทำให้ท่านตกอยู่ในอันตราย”
เย่ชิงเฉิงพูดอย่างไม่สนใจ “ถึงเวลานั้นเราค่อยมาแก้ปัญหากันอีกที! นอกจากนี้เพื่อช่วยหลิงตู้ฉิงเพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาโดยเร็วที่สุดและแก้ปัญหาของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเรา ข้าได้ให้สิทธิ์แก่เขาในการเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกับเรา ดังนั้นพวกท่านจงตัดสินใจกันเองได้เลยว่าใครจะยอมเสียสละสิทธิ์ของตัวเองและใครจะได้เข้าไป”
ชายชราและชายหนุ่มทั้งสองตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงเฉิง
“นะ นี่ทำไมท่านถึงให้ของล้ำค่าแบบนี้กับคนนอก?!” ชายหนุ่มทั้งสองตะโกนทันที
ชายชรารีบพูดเสริม “ชิงเฉิง ข้าคิดว่าเรื่องนี้มันดูออกจะไม่เหมาะสมอยู่สักหน่อยนะ?”
เยว่ชิงเฉิงพูดอย่างเฉยเมย “ข้าอาศัยโชคและความสามารถของตัวเองในการได้รับกุญแจเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนี้มา ส่วนพวกท่านทั้งสอง ที่ท่านได้สิทธิ์ทั้งสองนี้ก็เพราะว่าทางสำนักได้พิจารณาถึงความเหมาะสมต่าง ๆ แล้ว และพวกท่านทั้งคู่ก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดพวกท่านจึงได้สิทธิ์นี้ไป”
“ข้ารู้ว่าสิทธิ์ในการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นล้ำค่าเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับปัญหาใหญ่ของสำนักของเราในตอนนี้แล้ว สิทธิ์นี้จะนับว่าเป็นอย่างไรได้ หากไม่ใช่เพราะว่าข้าเองจำเป็นต้องเข้าไปปกป้องเขา ข้าคงจะสละสิทธิ์การเข้าของข้าเองไปแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าพวกท่านจะยอมรับสิ่งนี้ได้”
“แต่ต่อให้พวกท่านจะไม่ยอมรับมัน ในฐานะเจ้าของกุญแจเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้ามีอำนาจสุดท้ายที่จะตัดสินใจอยู่ดี ฉะนั้นจงใช้เวลาที่พวกท่านทั้งสองยังคงมีเหลืออยู่ตกลงกันให้ได้ และเมื่อถึงเวลาหากพวกท่านยังไม่ได้ข้อสรุป ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกพวกท่านเองว่าคนไหนที่จะได้เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ”
แม้ว่าเย่ชิงเฉิงจะรู้อยู่เต็มอกว่าหลิงตู้ฉิงจะขายสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับที่นางให้ แต่นางก็ไม่สนใจ
อันที่จริง เย่ชิงเฉิงไม่เคยพอใจกับเรื่องการเลือกคนที่จะได้สิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของสำนักนางเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากกุญแจดอกนี้นั้นเป็นนางที่ได้รับมันมา ไม่ใช่คนอื่นในสำนักที่ได้รับมันมา แต่สำนักของนางกลับถือวิสาสะคัดเลือกคนโดยไม่ถามความเห็นชอบของนางตั้งแต่แรก และด้วยเหตุผลที่นางจำเป็นต้องรักษาความสงบในสำนัก นางจึงจำใจจำยอมปล่อยให้ศิษย์พี่ของนางทั้งสองคนนี้ที่ถูกเลือกมาได้รับสิทธิ์ไป
แต่ในเมื่อตอนนี้นางได้โอกาสในการแก้เผ็ดเรื่องนี้ นางจึงไม่รีรอที่จะกล่าวอ้างเหตุผลอันชอบธรรมในการช่วยสำนักและริบสิทธิ์นี้คืน แถมนางยังจงใจทำให้ศิษย์พี่ของนางทั้งสองคนนี้รู้สึกรังเกียจนางเพื่อที่จะทำให้พวกเขาเว้นระยะห่างหจากนางให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“พวกท่านก็ตกลงกันไปก่อนก็แล้วกัน แต่จงให้คำตอบข้าโดยเร็วที่สุด!” เยว่ชิงเฉิงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ส่วนป้าหลัน ท่านจงไปและกลับมาเร็ว ๆ มีบางอย่างที่ข้าต้องการจะรบกวนท่าน เอาล่ะข้ากลับไปที่หมู่ตึกหยูอี่ก่อนล่ะ”
ขณะนี้ทุกคนที่กำลังรู้สึกหนักใจกับเรื่องสิทธิ์ในการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ จึงไม่มีใครในพวกเขาที่จะมาสนใจเรื่องที่นางจะไปที่หมู่ตึกหยูอี่อีกต่อไป
Related