บทที่ 33 ความสำเร็จของมี่ไล[รีไรท์]
เนื่องจากมีเวลาอันจำกัดเพียง 2 วัน มี่ไลไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรีบเรียนรู้วิชาเรียกฝนใบไม้ผลิ
เมื่อได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาโดยผู้เชี่ยวชาญอักขระเวท นางรู้ดีว่าโอกาสดีอย่างนี้ไม่ได้มีมาง่าย ๆ และถ้านางต้องการอยู่ติดตามหลิงตู้ฉิงนางก็ต้องทำตามข้อกำหนดของเขา ดังนั้นนางจึงนั่งในสวนหลังเรือนทั้งคืน
นี่เป็นสิ่งที่ลูกคุณหนูอย่างนางไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
อย่างไรก็ตาม แม้หลังจากนั่งทำความเข้าใจมาเป็นเวลานาน นางก็ยังไม่สามารถบรรลุหลักสำคัญในเคล็ดวิชาได้สักที
ในขณะที่นางกำลังกังวล นางกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวนางได้เปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับบรรยากาศเหมือนในฤดูใบไม้ผลิไม่มีผิดเพี้ยนและยังมีฝนเริ่มพรมลงมาบนร่างกายของนาง
นางจึงใช้โอกาสนี้หลับตาลงและเริ่มทำความเข้าใจกับบรรยากาศของฤดูไม้ผลิที่เกิดขึ้นรอบกายและนำไปปรับใช้กับเคล็ดวิชาฝนฤดูใบไม้ผลิของนาง
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก มี่ไลจึงเริ่มตระหนักได้ถึงแก่นแท้ของเคล็ดวิชา ฝนฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างที่หลับตานางจึงเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางและเรียกใช้วิชาฝนฤดูใบไม้ผลิอีกครั้งไปยังทิศทางเดียวกับแปลงเพาะปลูก
ครั้งนี้เมื่อนางได้ลองใช้วิชา ผลที่ได้ออกมานั้น นางรู้สึกว่านางสามารถเรียกใช้วิชาฝนฤดูใบไม้ผลิได้ดีกว่าเดิมเป็นอย่างมาก กระแสพลังวิญญาณที่นางใช้ออกไปล้วนไม่มีติดขัด ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่านางได้บรรลุเคล็ดวิชาได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว
ด้วยความตื่นเต้นที่รู้ว่าตนเองได้บรรลุเคล็ดวิชาฝนใบไม้ผลิ นางเปิดตาขึ้นและเตรียมที่จะเดินออกไปแจ้งหลิงตู้ฉิงถึงความสำเร็จของนาง
แต่เมื่อลืมตานางเห็นหลิงตู้ฉิงยืนอยู่ตรงหน้านางเรียบร้อย เมื่อเห็นเช่นนี้ นางจึงพูดกับหลิงตู้ฉิงอย่างมีความสุขในทันที “นายท่านข้าบรรลุ วิชาฝนใบไม้ผลิ แล้ว!”
“ข้ารู้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “จากนี้ไปเจ้าต้องดูแลต้นไผ่เซียนสวรรค์และใช้เวลาที่เร็วที่สุดเพื่อให้มันเติบโต”
“นายท่าน ข้าจะทำให้ดีที่สุด!” มี่ไลพูดอย่างเร่งรีบ
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่หน้าอกของมี่ไลและพูดว่า “เสื้อผ้าที่เปียก เจ้าสามารถทำให้มันแห้งได้โดยใช้เคล็ดวิชา ฝนฤดูใบ้ไม้ผลิ แบบทวนหลังเพื่อย้อนผลของมันได้”
จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินออกจากสวนด้านหลังเรือนไป
เมื่อได้ยินคำที่หลิงตู้ฉิงพูดไว้ มี่ไลก็พึ่งรู้สึกตัวว่าเสื้อผ้าของนางเปียกโชกไปหมดทั้งตัว
เมืองฟีนิกซ์เป็นเมืองที่ค่อนข้างร้อนตลอดทั้งปี ดังนั้นมี่ไลจึงสวมใส่แต่เสื้อผ้าที่เบาสบาย แต่ตอนนี้เสื้อผ้าของนางเปียกโชก สามารถมองทะลุเห็นเนื้อหนังมังสาจนหมดสิ้น
ใบหน้าของมี่ไลแดงก่ำเมื่อนางเห็นสภาพของตัวเองและคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่หลิงตู้ฉิงมองนาง นางรีบใช้วิชา ฝนใบไม้ผลิ แบบทวนกลับเพื่อดูดซับน้ำทั้งหมดบนเสื้อผ้า แต่ถึงแม้ชุดของนางจะแห้งหมดแล้วนางก็ยังไม่สามารถลืมฉากที่น่าอายเมื่อสักครู่ได้
นางกัดริมฝีปากด้วยความประหม่า
ถึงแม้หลิงตู้ฉิงจะเห็นเรือนร่างของนาง แต่เขาก็เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ หรือว่าเรือนร่างของนางไม่น่าสนใจขนาดนั้นเลย?
นางส่ายหัวพยายามสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป
หากนางใช้วิธีการยั่วยวนบุรุษตามที่พ่อของนางสอนไว้ นางจะถูกดูหมิ่นและเป็นที่เกลียดชังในสายตาคนอื่น
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของนางที่ได้รับมอบหมายจากหลิงตู้ฉิงมาให้ดีที่สุดก่อน ส่วนสำหรับเรื่องอื่น ๆ ในอนาคตนางจะต้องรอโอกาสและให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด เมื่อคิดถึงสิ่งนี้หัวใจของนางก็ผ่อนคลายมากขึ้น นางเริ่มใช้เคล็ดวิชาฝนใบไม้ผลิ ไปยังแปลงสวนหลังเรือน
เมื่อนางใช้ วิชาฝนใบไม้ผลิ สวนทั้งหมดก็ถูกปกคลุมด้วยทั้งบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิและฝนที่พรำลงมา ด้วยวิชานี้บรรยากาศในสวนหลังเรือนก็คล้ายจะมีทั้งฤดูใบไม้ผลิ และฤดูฝนอยู่ในเวลาเดียวกัน
นอกเหนือจากบรรดาสมุนไพรต่าง ๆ และต้นไผ่เซียนสวรรค์ วัชพืชและต้นไม้อื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณแปลงสวนหลังเรือนนั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิชานี้
ทุกครั้งที่มี่ไลใช้เคล็ดวิชาฝนใบไม้ผลิ ต้นไม้และวัชพืชธรรมดาจะร่วงโรยและเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว
มี่ไลตกใจเมื่อเห็นภาพนี้
ตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าวิชาที่หลิงตู้ฉิงถ่ายทอดนั้นผลของมันคืออะไร นางจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงต้องการถ่ายทอดให้นาง
เพราะเมื่อนางใช้เคล็ดวิชา ฝนใบไม้ผลิ หนึ่งครั้ง นั่นจะให้ผลเท่ากับเร่งอายุให้กับต้นไผ่เซียนสวรรค์เติบโตขึ้นอีก 1 ปี นี่คือเคล็ดวิชาที่ใช้ในการเร่งการเจริญเติบโตของพืชต่าง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ในตอนนี้นางอดคิดไม่ได้ว่าถ้านางกลับไปที่ตระกูลของนางและใช้เคล็ดวิชานี้กระตุ้นการเติบโตของบรรดาสมุนไพรที่คฤหาสน์ ตระกูลมี่ของนางคงจะกลายเป็นหอการค้าที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงขยันฝึกฝนเคล็ดวิชาฝนใบไม้ผลิให้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะทำให้หลิงตู้ฉิงพอใจให้มากที่สุด
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงกลับมาที่ลานกลางเรือนแล้วและเริ่มเล่นหมากรุกกับลูกชายทั้งสองคนของเขา
ตอนนี้ผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้ทุกคนต่างมองหลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพ ในตอนนี้สายตาของพวกเขาที่มองหลิงตู้ฉิงกำลังเล่นหมากรุกกับเด็กชายตัวเล็ก ๆ สองคนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว อัจฉริยะน้อยทั้งสองคนนั่นที่สามารถเหยียบย่ำพวกเขา ตอนนี้กลับพ่ายแพ้ให้แก่หลิงตู้ฉิงอย่างง่ายดาย
จู้กว่างเต๋อเพ่งดูอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เพราะเขาเห็นวิธีการวางหมากที่หลิงตู้ฉิงกำลังเดินกับพวกเด็ก ๆ วิธีวางหมากเหล่านั้นมันคือการวางรูปแบบกระบวนทัพตามตำราพิชัยสงครามอันล้ำลึก! เขาเริ่มพอจะเดาจุดประสงค์ของหลิงตู้ฉิงที่เล่นหมากรุกกับเด็ก ๆ เหล่านี้ได้บ้างแล้ว นี่ไม่ใช่การเล่นหมากรุกธรรมดา แต่นี่มันเป็นการสอนวางรูปแบบกระบวนทัพตามตำราพิชัยสงครามต่างหาก ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการสอนแบบทางทฤษฎี แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กทั้งสองคนนี้เข้าร่วมกับกองทัพในอนาคต พวกเขาจะไม่กลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ? หรือไม่บางทีพวกเขาอาจจะเป็นแม่ทัพที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้
ทำไมเด็กสองคนนี้เรียนรู้เร็วและเก่งได้ขนาดนี้ แล้วหลิงตู้ฉิงที่เป็นพ่อของพวกเขาเป็นใครกันแน่? ทำไมเขาถึงลึกลับและน่าเกรงขามเช่นนี้?
เมื่อถึงเวลาบ่าย ในที่สุดเมฆบนท้องฟ้าก็เริ่มจางหายไป เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมาได้อย่างเต็มที่หลิงเทียนหยุนก็กลายเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด
ทันทีที่แสงอาทิตย์สาดลงมา บนลานกลางเรือนก็เต็มไปด้วยเงา หลังจากที่นอนส่องพื้นมาเป็นเวลานานเขาเจอเงาเพียงไม่กี่เงา แต่ตอนนี้เขาพบเงาถึง 100 เงาทันที
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แสดงความดีใจหรือโล่งใจออกมา เขากลับจ้องมองที่แสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องลงมาบนพื้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแทน
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุผลเดียวที่มีเงาเกิดนั้น ขึ้นอยู่กับการปรากฎของดวงอาทิตย์
ถ้าดวงอาทิตย์หายไปเงาจะอยู่กันที่ไหน?
หลิงตู้ฉิงที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่ เขาหันหัวมองไปยังหลิงเทียนหยุนที่กำลังยืนครุ่นคิดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
ทุกวันนี้หลิงตู้ฉิงมีความสุขมาก ไม่เพราะเพียงแต่สายเลือดของลูก ๆ เขาทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ลูกของเขาทุกคนก็ล้วนฉลาดเฉลียวเช่นกัน
ในเวลานี้เขารู้สึกขอบคุณใครก็ตามที่มอบเด็กเหล่านี้ให้เขา
ทันใดนั้นร่างกายของเขาเกิดความผันผวนของพลังงานวิญญาณและขอบเขตการบ่มเพาะของเขาก็เลื่อนระดับอย่างราบรื่นไปยังขอบเขตควบแน่นลมปราณ
จริง ๆ แล้วในตั้งแต่วันที่จ้าวเหมิงลู่จากไป การฝึกฝนของเขาได้ถึงจุดสูงสุดของขอบเขตหลอมรวมลมปราณแล้ว
ในระหว่างช่วงเวลาที่ผ่านมา ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอ หลิงตู้ฉิงปล่อยให้มันพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทะลวงขอบเขตควบแน่นลมปราณสำเร็จ!” โม่หยูถังยิ้มอยู่ข้าง ๆ
ถังชี่หยุนและจู้กว่างเต๋อแสดงความยินดีกับหลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้ม
ในสายตาของพวกเขา ขอบเขตควบแน่นลมปราณยังเป็นขอบเขตพื้นฐานง่าย ๆ ที่ไม่ว่าใครก็ตามขอแค่พอมีพรสวรรค์บ้างเล็กน้อยก็สามารถทะลวงขอบเขตไปถึงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ความผันผวนของพลังวิญญาณทำให้หลิงไช่หยุนหยุดฝึกฝนและหลังจากได้ยินคำพูดของทุกคนนางก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นางถามอย่างมีความสุข “ท่านพ่อ ท่านทะลวงเข้าสู่ขั้นถัดไปแล้วเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพยักหน้า
“ท่านพ่อมีพลังมากขึ้น!” หลิงไช่หยุนหัวเราะ “ท่านพ่อ เมื่อวานท่านไม่ได้พูดเอาไว้เหรอว่าวันนี้เราจะไปหาของอร่อยที่ร้านอาหารกัน? ตอนนี้ท่านเลื่อนระดับแล้ว เราน่าจะถือโอกาสนี้ฉลองไปด้วยเลย…ว่าแต่ท่านพ่อแล้วเมื่อไหร่พวกเราจะไปกันได้สักที?”
หลิงตู้ฉิงมองดูหลิงยู่ชานและหลิงฟ่างหัวแล้วพูดว่า “เร็ว ๆ นี้!”