บทที่ 4 จั๊กจั่นเหมันต์[รีไรท์]
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน หลิงยู่ชานมองหลิงตู้ฉิงเป็นครั้งคราว ถ้าไม่ได้เห็นด้วยสายตาตัวเอง เขาก็คงไม่มีทางเชื่อ
ทำไมพ่อของเขาที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้วิธีบ่มเพาะมาก่อนกลับมีพลังวิญญาณขึ้นมาอย่างกะทันหัน?
ที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมที่พ่อของเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลอมรวมลมปราณ?
หลิงยู่ชานจึงถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าสามารถบ่มเพาะได้ใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มแล้วตอบว่า “อะไรกัน เจ้าไม่เชื่อพ่องั้นเหรอ?”
“ขะ…ข้าเชื่อคำพูดของท่านพ่อแน่นอน แต่เสาทดสอบนั่น ผลของมันบอกว่าข้าไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ แล้วข้าจะบ่มเพาะได้อย่างไร…” หลิงยู่ชานถามด้วยความสับสนและหดหู่
หลิงตู้ฉิงลูบหัวลูกชายและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยู่ชาน ถ้ามีคนมาบอกอะไรแก่เจ้า อย่างแรกเลยเจ้าต้องดูก่อนว่าใครเป็นคนที่มาบอก เจิ้นสีชวงผู้นั้นมันเป็นเพียงแค่เศษขยะไร้ค่าทำไมเจ้าต้องไปใส่ใจคำพูดของมัน? และปัญหาหลาย ๆ สิ่งในโลกนี้ที่ไม่มีทางออกนั้นไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีทางแก้ปัญหาเหล่านั้นสักหน่อย มันก็แค่เรายังไม่เจอวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องในเวลานี้ก็เท่านั้นเอง เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังอธิบายให้บุตรชายของเขาเข้าใจอยู่นั้น ในใจของเขาก็กำลังคิดถึงเรื่องการแก้สถานการณ์การเงินของตระกูลว่าจะเอาอย่างไรดี
เขาไม่รู้ว่าหลิงยู่ชานได้เก็บคำพูดของเขาไปใส่ใจหรือไม่ เขาเห็นก็แต่หลิงยู่ชานทำสีหน้าครุ่นคิดเท่านั้น
หลังจากนั้นสักพักหลิงยู่ชานก็ถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านเริ่มบ่มเพาะได้อย่างไร?”
เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมพ่อของเขาที่ไม่สามารถบ่มเพาะได้มาหลายปี แต่กลับมาเริ่มบ่มเพาะเอาตอนนี้ ถ้าหลิงตู้ฉิงสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ก่อนหน้าตระกูลก็คงไม่ลำบาก พวกเขาเองก็คงไม่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากอย่างเช่นทุกวันนี้
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาโกรธเคืองในตัวของพ่อของเขาเพียงแต่เขาแค่สงสัยว่ามีเหตุผลใดกันที่หลิงตู้ฉิงถึงต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ในฐานะบุตรชายคนโต เขาย่อมรู้ว่าที่ผ่านมาหลิงตู้ฉิงได้เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างยากลำบากแค่ไหน
หลังจากหลิงตู้ฉิงไตร่ตรองเขาจึงตอบว่า “ยู่ชาน พ่อจะเล่าเรื่องจั๊กจั่นเหมันต์ให้ฟัง เพื่อการบ่มเพาะ เหล่าจั๊กจั่นเหมันต์ได้ฝังตัวลึกลงไปในดินหลายทศวรรษหรือเป็นสหัสวรรษ พวกมันยอมไม่เคลื่อนไหวและยอมที่จะอดอยากหิวโหย
พวกมันรอคอยเวลาที่ร่างกายของมันวิวัฒนาการจนถึงระดับสูงสุดที่สามารถฝึกฝนทักษะได้ เมื่อนั้นพวกมันจึงโผล่ออกจากใต้ดิน พวกมันจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งและสามารถฝึกฝนทักษะศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันได้จนบรรลุถึงขั้นสูงสุด เมื่อนั้นเสียงร้องของพวกมันจะดังก้องไปจนถึงสวรรค์
และทักษะที่พ่อฝึกฝนก็เป็นทักษะอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้ายคลึงกับของพวกมัน นี่คือความจริงที่พ่อจำเป็นต้องปิดบังไว้มาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้พ่อได้บรรลุทักษะวิชานี้แล้ว พ่อจึงเริ่มสามารถบ่มเพาะได้เสียที”
หลิงตู้ฉิงแต่งเรื่องขึ้นเพื่อปลอบหลิงยู่ชานที่กำลังหดหู่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่หลิงตู้ฉิงแต่งขึ้นกระทบใจหลิงยู่ชานเป็นอย่างมาก เขาดูตื่นเต้นมากเมื่อได้ฟังเรื่องนี้
“แล้วข้าควรจะบ่มเพาะอย่างไรดี?” หลิงยู่ชานอารมณ์ดีขึ้นในที่สุด
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “กลับเรือนกันก่อนแล้วพ่อจะบอกเจ้า การบ่มเพาะต้องอาศัยความอดทน!”
“ข้าไม่กลัวความลำบาก!” หลิงยู่ชานพูดอย่างมุ่งมั่น “ข้าต้องการฝึกฝนให้มากกว่าท่านพ่อ เมื่อถึงเวลาที่ข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ข้าจะปกป้องท่านกับน้อง ๆ เอง!”
“เจ้าช่างเป็นบุตรที่ดีของข้าจริง ๆ!” หลิงตู้ฉิงตบไหล่หลิงยู่ชาน “แต่ถ้าเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งกว่าข้ามันก็คงยากสักหน่อย!”
ระหว่างทางกลับเรือน หลิงตู้ฉิงพูดคุยกับหลิงยู่ชานเพื่อเรียนรู้ความคิดและซึมซับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อนำไปใช้พัฒนาเต๋าอารมณ์ของเขา
เมื่อกลับถึงเรือนเรียบร้อย ระดับบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงได้เลื่อนไปยังขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 แล้ว
เมื่อพ่อบ้านชราโม่หยูถังเห็นสองพ่อลูกกลับมาแล้วเขาก็รีบเดินไปข้างหน้าและเอ่ยปากถาม “นายท่าน นายน้อยได้เข้าสอบแล้วหรือ?”
เขาเป็นห่วงและกังวลในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าหลิงยู่ชานสอบผ่านก็จะมีรายจ่ายมากขึ้น สถานการณ์ของตระกูลก็จะแย่ลง
หลิงตู้ฉิงเหลือบตามองหลิงยู่ชาน “ถามเขาสิ!”
หลิงยู่ชานมองไปที่โม่หยูถังแล้วพูดเสียงดัง “ท่านพ่อบอกว่าพวกคนในสถาบันมีดวงตาแต่กลับมืดบอด ทุกคนล้วนแต่เป็นขยะไร้ค่าไม่อาจสอนข้าได้ ท่านพ่อจึงเตรียมที่จะสอนข้าเป็นการส่วนตัว”
โม่หยูถังส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นและคิดในใจว่าลูก ๆ ถูกหลอกง่าย พ่อของนายน้อยไม่รู้วิธีบ่มเพาะด้วยซ้ำแล้วจะมาสอนท่านได้อย่างไร อย่างไรก็ตามสำหรับสถานการณ์ในตระกูลตอนนี้ การที่สอบไม่ผ่านและไม่สามารถเข้าสถาบันหงส์เพลิงได้ก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน
“ปู่โม่ นี่ก็สายแล้วเดี๋ยวข้าจะช่วยท่านทำอาหารกลางวันเอง!” หลังจากหลิงยู่ชานพูดจบ เขาก็วิ่งไปที่ห้องครัว
โม่หยูถังมองหลิงยู่ชานที่เดินจากไป และหันไปพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน ท่านอาจทำให้นายน้อยสงบลงได้ชั่วคราว แต่ในอนาคตท่านจะทำอย่างไรต่องั้นหรือ?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดกับโม่หยูถังว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าที่จะสอนเขา! สำหรับเจ้าที่ซื่อสัตย์ต่อข้าเสมอ แม่บ้านและข้ารับใช้ทั้งหมดได้ไปจากที่นี่แล้ว เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างข้า ข้าจะจดจำน้ำใจของเจ้าไว้และจะสอนวิธีบ่มเพาะให้กับเจ้าด้วยในอนาคต”
โม่หยูถังยิ้ม “ขอบคุณนายท่าน แต่การดูแลนายน้อยทั้งหลายเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วขอให้นายท่านอย่าได้คิดมาก ส่วนเรื่องการบ่มเพาะของข้า ข้าว่านายท่านอย่าได้ลำบากเลย”
เขาไม่ได้นำคำพูดของหลิงตู้ฉิงมาคิดเป็นจริงเป็นจัง ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นกังวลที่สุดคือความเป็นอยู่ของตระกูล
เพราะตัวเขาเองก็หาเงินไม่ได้เช่นกัน
หลิงตู้ฉิงมองโม่หยูถังที่ขมวดคิ้วอยู่ “พ่อบ้านโม่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในตระกูลเรา ข้าจะหาเงินได้จำนวนมากในเร็ว ๆ นี้”
โม่หยูถังไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงไปเอาความเชื่อมั่นมาจากไหน เขาส่ายหัวแล้วไปช่วยนายน้อยทำอาหาร
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจท่าทีไม่เชื่อของโม่หยูถัง หลังอาหารเย็นเขาอาบน้ำให้หลิงไช่หยุน ส่วนคนอื่น ๆ สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว มีเพียงลูกคนสุดท้องที่ยังซนตลอดเวลา เขาจึงเอาใจใส่เป็นพิเศษ
ส่วนเรื่องที่ดื้อที่สุดของหลิงไช่หยุนคือการปฏิเสธไม่ยอมอาบน้ำ ทุกครั้งที่อาบน้ำให้กับนาง หลิงตู้ฉิงจะต้องเปลืองแรงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในตอนนี้หลิงตู้ฉิงเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 แล้วดังนั้นปัญหาเรื่องนี้จึงไม่มีอีกต่อไป
หลิงตู้ฉิงกดหลิงไช่หยุนลงในอ่างอาบน้ำ หลังจากอาบเสร็จก็ปล่อยนางไป
เมื่อถึงเวลานอน ไช่หยุนน้อยก็วิ่งมาหาและพูดอย่างเหนียมอาย “ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอนอนกับท่านได้ไหม ข้ากลัว..”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วพูด “เจ้ามานอนกับพ่อได้ในคืนนี้ แต่เจ้าอายุ 3 ขวบแล้ว ดังนั้นเจ้าควรจะชินกับการเข้านอนด้วยตัวเอง เมื่อเวลามาถึงเจ้าก็ต้องไปสถาบันศึกษาเหมือนพี่ ๆ ของเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ส่วนเรื่องการบ่มเพาะเจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลาพ่อจะสอนเจ้าเองว่าเจ้าควรจะฝึกฝนอย่างไร”
หลิงไช่หยุนยิ้มอย่างมีความสุข วางหัวตัวเองหนุนแขนของหลิงตู้ฉิงสักพักก็หลับไป
ตอนที่รับอุปการะไช่หยุนน้อยนางมีอายุเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น แต่เพียงพริบตาเดียวตอนนี้นางอายุได้ 3 ปีแล้ว หลิงตู้ฉิงพยายามซึมซับความทรงจำที่ไม่ครบถ้วนถึงการดูแลบุตรชายและหญิงของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะรื้อฟื้นพวกมันไม่ได้ทั้งหมดแต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่บางอย่างก็ทุกข์ทรมานมากแต่ก็ผสมปนเปไปด้วยความสุขเช่นกัน
การสัมผัสได้ถึงอารมณ์ทุกข์และสุขของวันนี้ ทำให้ในคืนนี้ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงเพิ่มขึ้นมาเป็นขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้สนใจกับการเพิ่มระดับอันรวดเร็วของเขามากนัก ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากที่สุดคือความเป็นอยู่ของตระกูลมากกว่า
ไช่หยุนน้อยหลับไปแล้วแต่ หลิงตู้ฉิงไม่สามารถหลับได้ลง
เขากำลังคิดถึงหนทางทำมาหากินของตระกูล การปลุกสายเลือดทรราชย์ของบุตรชายคนโต การบ่มเพาะของบุตรคนอื่น ๆ อีกในอนาคต หลิงตู้ฉิงต้องทำให้ทุกคนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมไปถึงพ่อบ้านที่ซื่อสัตย์ของเขาก็ด้วยเช่นกัน
เมื่อหลิงตู้ฉิงนอนครุ่นคิดอยู่สักพัก และเมื่อพิจารณาจากระดับบ่มเพาะของเขาตอนนี้แล้ว เขาจึงตัดสินใจว่าเขาต้องไปที่ป่าสัตว์เวทย์ในวันพรุ่งนี้
ประการแรกเพื่อหาสิ่งของที่ใช้ในการทำให้สายเลือดทรราชย์ของหลิงยู่ชานตื่นขึ้น และเพื่อการนั้นเขาต้องการเลือดจากสัตว์เวทย์หลายประเภท ประการที่สอง วิธีหาเงินที่ง่ายที่สุดคือการล่าสัตว์เวทย์และนำชิ้นส่วนของพวกมันมาแลกกับเงิน