บทที่ 42 สังหารหมู่[รีไรท์]
ในขณะที่โม่หยูถังกับเสี่ยวเถาพึ่งเดินออกมาจากห้องของหลิงตู้ฉิงและกำลังพูดคุยกันได้สักครู้ เจิ้นสีชวงก็ได้รวบรวมคนมาครบเรียบร้อยแล้ว
เพื่อป้องกันผู้คุ้มกันตระกูลหลิงที่อาจปรากฏตัวขึ้น เจิ้นสีชวงได้รวบรวมลูกน้องในตระกูลมาเป็นจำนวนมาก
เป้าหมายของเขาคือการฆ่าหลิงตู้ฉิงให้ได้วันนี้!
ตลอดชีวิตของเจิ้นสีชวงไม่เคยมีใครที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนมากมาย
เขากระทั่งถูกตู้เหลยโตวไล่ออกจากสำนัก แม้แต่พี่ชายของเขาก็ไม่สามารถออกหน้าแทนเขาได้ แต่ที่กล่าวมาข้างต้นยังนับว่าเป็นความอับอายที่เล็กน้อย หากนำมาเทียบกับตอนที่หลิงตู้ฉิงให้เขาคุกเข่าที่หน้าประตูเรือนหลิงถึงครึ่งค่อนวัน ซึ่งนั่นนับเป็นความอับอายอย่างใหญ่หลวงที่สุดตั้งแต่เขาลืมตาดูโลกมา
อย่างไรก็ตามแผนการณ์โจมตีครั้งที่แล้วถูกสกัดกั้นโดยผู้คุ้มกันที่ตระกูลมี่ส่งมา
เพราะฉะนั้นหากเขาทิ้งโอกาสตอนนี้ที่หลิงตู้ฉิงอยู่คนเดียว เขาคงเป็นคนโง่เสียยิ่งกว่าหมูซะอีก
ตอนนี้คนของเขาล้อมหลิงตู้ฉิงไว้แล้ว เจิ้นสีชวงเดินออกไปอย่างภาคภูมิและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “ข้ามองหาโอกาสที่จะฆ่าแกมานานแล้ว แต่ไม่นึกว่าแกจะมาหาข้าด้วยตัวเองไอ้สวะตระกูลหลิง เจ้าคงไม่คิดล่ะสิว่าจะเจอข้าที่นี่!”
“คืนนี้เจ้าต้องตายแน่นอน แต่ไม่ต้องกังวลไป หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจะส่งนางไปกับเจ้าด้วย ส่วนพวกลูกสาวตัวน้อยของเจ้า ข้าว่าจะเก็บเอาไว้เล่นให้หนำใจจนเบื่อแล้วข้าค่อยส่งพวกมันตามเจ้าลงนรกไปด้วยในอนาคต”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยหน้าซีดด้วยความกลัวและตกใจ
นางไม่ได้คิดว่าโดยการออกมาปรนนิบัติแขกในคืนนี้ซึงเป็นครั้งแรกของนาง จะเกิดหายนะที่ร้ายแรงขึ้น นางรู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้านางเป็นพวกวิปริตของตระกูลเจิ้น เขาทรมานพี่น้องร่วมหอของนางหลายต่อหลายคน และตอนนี้จะเป็นตาของนางแล้วหรือ? นางตัวสั่นด้วยความกลัวและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
สำหรับลูกค้าคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเสียงโครมครามจึงออกมาดูเหตุการณ์ ทั้งหมดต่างก็หดหัวไม่กล้าพูดอะไรได้แต่เฝ้ามองดูอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากชื่อเสียงของตระกูลเจิ้นนั้นโด่งดังยิ่งใหญ่ จึงไม่มีใครกล้าก้าวออกไปห้ามปราม
ในหมู่ผู้ชมมีเพียงโม่หยูถังกำลังส่ายหัวและพูดกับตัวเอง “ถ้าเจ้ามาเวลาอื่นนายท่านอาจจะอารมณ์ดีละเว้นโทษตายให้ แต่คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่นอน…”
หลิงตู้ฉิงที่ยืนขึ้นจากอ่างอาบน้ำ เขามองสลับไปมา ไปยังกลุ่มผู้เชี่ยวชาญตระกูลเจิ้นอยู่รอบตัวเขาและเจิ้นสีชวงที่กำลังทำหน้าทำตาเบิกบานและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เขาพูดอย่างเย็นชา “รบกวนการบำเพ็ญของข้า เจ้าตาย!” หลิงตู้ฉิงยกมือขึ้นโคจรพลังวิญญาณไปยังนิ้วและชี้ไปทางเจิ้นสีชวง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าต้องการให้ข้าตาย เจ้าคิดว่ามีโอกาสเหรอ ไอ้เวรสว..วะ…” เจิ้นสีชวงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่ก่อนที่เขาจะสามารถจบประโยค พลังวิญญาณที่ถูกอัดเป็นเส้นลำแสงได้พุ่งออกจากนิ้วของหลิงตู้ฉิง ลำแสงพุ่งไปทะลุอกตัดขั้วหัวใจของเจิ้นสีชวงทันที
เมื่อผู้เชี่ยวชาญที่เจิ้นสีชวงรวบรวมมาได้เห็นเหตุการณ์นี้วิญญาณของพวกเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง
พวกเขาเป็นคนของตระกูลเจิ้นหน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องเจิ้นสีชวง แต่ตอนนี้เจิ้นสีชวงกลับมาตกตายเอาดื้อ ๆ แบบนี้พวกเขาต้องเดือดร้อนหนักแน่!
หากวันนี้พวกเขาไม่ฆ่าหลิงตู้ฉิง จุดจบของพวกเขาเมื่อกลับไปที่ตระกูลเจิ้นคงไม่ต่างอะไรกับเจิ้นสีชวงแน่นอน
ผู้นำกลุ่มพูดอย่างรีบเร่ง “ฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!”
ในกลุ่มประกอบด้วยคนมากกว่า 20 คน คนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 7 ส่วนคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับจุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณ พวกเขาตีวงล้อมและกระชับวงเข้าหาหลิงตู้ฉิงจากทุกทิศทาง
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเย็นชา “พวกแกทั้งหมดมันสมควรตาย!”
ขณะที่เขาพูด กระแสของพลังวิญญาณถูกยิงออกไปทุกทิศทุกทาง
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มฝึกเต๋าตู้ฉิงที่เขาโมโหเป็นอย่างมาก
สาเหตุที่หลิงตู้ฉิงต้องกลับชาติมาเกิดใหม่และต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่ทั้งหมด นั่นก็เพราะเขาต้องการที่จะบรรลุไปยังขอบเขตนิรันดร์กาล
และการที่หลิงตู้ฉิงจะบรรลุไปถึงขอบเขตนิรันดร์กาลได้ เขาต้องอาศัยเคล็ดเต๋าตู้ฉิงที่สมบูรณ์แบบเขาถึงจะสามารถตัดผ่านไปถึงขอบเขตนิรันดร์กาล แต่ในขณะที่เขากำลังจะได้รับคำตอบด้านอารมณ์คว่ามสัมพันธ์ของชายและหญิงจากหลิวเฟ่ยเฟ่ยกลับดันมีพวกมดปลวกมาขัดจังหวะ เมื่อเจอแบบนี้จะไม่ให้เขาโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงลงมือฆ่าทุกคนเพื่อระบายความโกรธ หลังจากการสังหารหมู่จบลง กลิ่นอายของอดีตราชันสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ไร้ความเมตตาก็ได้แผ่ออกมาจากตัวของอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มคนจากตระกูลเจิ้นราว ๆ 20 คนไม่มีสักคนที่สามารถเข้าไปใกล้อ่างอาบน้ำได้ภายในระยะ 1 เมตร ซากศพของพวกเขากระจายอยู่โดยรอบ เมื่อเห็นอย่างนี้ผู้คนที่เฝ้าดูความวุ่นวายทั้งหมดต่างก็พากันนิ่งงันด้วยความกลัว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ามองใบหน้าอันเย็นชาของหลิงตู้ฉิง
แม้แต่โม่หยูถังเองก็จ้องมองดวงตาของหลิงตู้ฉิงได้เพียงครู่เดียว จากนั้นเขาต้องหันหน้ามองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
เขาตกใจอย่างยิ่ง เขาเดาไม่ออกเลยว่าตัวตนของหลิงตู้ฉิงในชาติที่แล้วคืออะไร เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมความรู้สึกกดดันที่แผ่ออกมาจากหลิงตู้ฉิงมันคล้ายกับว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสวรรค์
หลิวเฟ่ยเฟ่ยกลัวจนตัวสั่น ขณะที่นางฟังเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากรอบด้าน นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบ ๆ อ่างอาบน้ำ
หลังจากรอครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าเสียงรอบ ๆ เริ่มเงียบลง นางจึงค่อย ๆ เงยหัวขึ้นและมองไปยังหลิงตู้ฉิง
เมื่อนางเห็นสายตาอันเย็นชาของหลิงตู้ฉิงนางก็ตกใจเป็นลมหมดสติไป
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก หลิงตู้ฉิงจึงลดอำนาจรังสีอำมหิตที่กดดันผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ลง
โม่หยูถังเดินไปหาเขาด้วยความกังวลใจและพูดว่า “นายท่าน… “
หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้โม่หยูถังหยุดพูด เขาต้องการเวลาในการสงบสติ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สงบลง
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงที่ดูเหมือนว่าจะสงบลงแล้ว โม่หยูถังจึงรีบพูด “นายท่าน คนพวกนี้ล้วนมาจากตระกูลเจิ้น!”
“ข้ารู้”
ในขณะที่เขากำลังพูด เขาสวมเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก้มลงหยิบเสื้อผ้าของหลิวเฟ่ยเฟ่ยมาคลุมร่างนางไว้
เนื่องจากหลิวเฟ่ยเฟ่ยนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเคล็ดบำเพ็ญเพียรที่ยังไม่สมบูรณ์ของเขา และหลิวเฟ่ยเฟ่ยยังคงเต็มใจที่จะ ‘ช่วยเขา’ เขาจึงตั้งใจว่าจะไม่ทิ้งหลิวเฟ่ยเฟ่ยไว้ที่นี่
เขายังต้องการให้หลิวเฟ่ยเฟ่ยช่วยเขาหาคำตอบเรื่องระหว่างหญิงชายที่เขายังไม่บรรลุ
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะจากไปพร้อมกับหลิวเฟ่ยเฟ่ยในอ้อมแขน หงเหม่ยรีบเดินออกมาและพูดด้วยเสียงสั่นกลัว “นายท่าน…”
“มีอะไร?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
“นะ นาง…ยังมีสัญญากับทางหอมรกตแดงอยู่ โปรดรอสักครู่ข้าจะรีบไปเอามาให้ท่านทันที” หงเหม่ยรีบพูด
มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหงเหม่ยที่จะปลุกปั้นหญิงสาวพรหมจรรย์ขึ้นมาเพื่อให้เป็นดาวเด่น แน่นอนว่านางไม่เต็มใจที่จะมอบสัญญาขายตัวให้หลิงตู้ฉิง แต่เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงเข่นฆ่าผู้คนดั่งผักปลา นี่ทำให้นางหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งและไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยอะไรสักคำเกี่ยวกับค่าไถ่ตัวของหลิวเฟ่ยเฟ่ย
ตอนนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจิ้นก็ตายไปหมดแล้ว หลิวเฟ่ยเฟ่ยที่เลี้ยงดูมาก็กำลังจะถูกพาตัวไป ส่วนเจิ้นสีชวงก็นอนเป็นศพอยู่ตรงหน้า
นางในตอนนี้มีความคิดเดียวคืออยากจะรีบหนีไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้ทันทีแต่ก่อนที่นางจะไปให้พ้นจากตรงนี้ได้ อันดับแรกนางจะต้องรีบนำสัญญาขายตัวที่เป็นลายลักษณ์อักษรของหลิวเฟ่ยเฟ่ยให้หลิงตู้ฉิง เพื่อที่ปีศาจจากนรกผู้นี้จะไม่ติดใจเอาเรื่องกับทางหอนางโลมในเรื่องที่เกิดขึ้น
หลิงตู้ฉิงกอดหลิวเฟ่ยเฟ่ยและรออย่างเงียบ ๆ ไม่นานหงเหม่ยก็นำสัญญาขายตัวมาให้แล้วหลิงตู้ฉิงก็พาหลิวเฟ่ยเฟ่ยออกไป โม่หยูถังพูดกับหงเหม่ยทันทีว่า “เท่าไหร่สำหรับค่าไถ่ตัวของนาง?”
ในเมื่อหลิงตู้ฉิงต้องการพาหลิวเฟ่ยเฟ่ยกลับไปด้วย โม่หยูถังจึงจำเป็นต้องก้าวเข้ามาถามราคาค่าไถ่ถอนสัญญา พวกเขาไม่ต้องการที่จะติดค้างหนี้อะไรกับใคร
หงเหม่ยยิ้มออกมาอย่างอึดอัดและพูดอย่างสุภาพว่า “เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าโปรดประเมินดู แล้วเอ่ยราคากับผู้น้อยมาได้เลย”
โม่หยูถังส่งมอบบัตรเหรียญทองคำให้นาง “บัตรนี้มีเหรียญทอง 300,000 เหรียญ นี่น่าจะเพียงพอ ส่วนที่เหลือก็คิดซะว่าเป็นค่าชดใช้ความเสียหายของหอเจ้า!” หลังจากพูดเสร็จเขาก็ตามหลิงตู้ฉิงออกไป
หงเหม่ยมีความสุขกึ่งกังวล นางมีความสุขเพราะได้ค่าไถ่ตัวหลิวเฟ่ยเฟ่ยมามากกว่า 300,000 เหรียญทอง แต่กังวลว่าการที่คนจำนวนมากจากตระกูลเจิ้นมาเสียชีวิตที่นี่นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี?
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่งคนไปรายงานตระกูลเจิ้น ในขณะเดียวกันนางก็เตรียมการหลบหนี
บรรดาหญิงสาวของหอนางโลมต่างก็พูดคุยถึงเรื่องนี้ พวกนางรู้สึกเป็นห่วงหลิวเฟ่ยเฟ่ย
“ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าต้องตกอยู่ในมือของปีศาจที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น!” ผู้หญิงบางคนถอนหายใจ
“ไม่แน่ เฟ่ยเฟ่ยน้อยอาจจะถูกปีศาจตนนั้นพาไปกินก็ได้!” อีกหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่น
มีเพียงเสี่ยวเถาเท่านั้นที่มองหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังจากไปอย่างอิจฉาตาร้อน นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลิวเฟ่ยเฟ่ยถึงถูกพากลับไปในขณะที่นางได้เพียงใบสั่งยาเท่านั้น เป็นเพราะนางไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ใช่หรือไม่?
นางรู้สึกไม่พอใจ!
นางไม่คิดว่าหลิวเฟ่ยเฟ่ยจะเป็นอันตรายใด ๆ
เพราะชายชราผู้นั้นบอกเล่ากับนางหลายเรื่องเกี่ยวกับเจ้านายหนุ่มคนนั้น นางมั่นใจว่าไม่มีทางที่หลิวเฟ่ยเฟ่ยจะเป็นอันตรายใด ๆ แน่นอน