บทที่ 47 ความกังวลใจของสาวน้อย[รีไรท์]
การพิจารณาของจ้าวปาเทียนไม่ง่ายเหมือนจ้าวเหมิงลู่
แม้ว่าเขาจะเป็นอธิการบดีของสถาบันราชวงศ์และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราเพียงไม่กี่คนในทวีปนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ภายในสถาบันราชวงศ์
อันที่จริง ในอดีตสถาบันราชวงศ์นั้นมีอีกชื่อเรียกหนึ่งคือ สถาบันจันทรา
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว จักรพรรดิเหลียงซานแห่งอาณาจักรจันทรา ได้สถาปนาตนเองขึ้นครองราช ตัวเขาได้มีความผูกพันธ์และเห็นความสำคัญของสถาบันจันทรา จักรพรรดิจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชื่อสถาบันจากสถาบันจันทรา กลายมาเป็นสถาบันราชวงศ์เพื่อให้เกียรติ
จากคำบอกเล่าของจ้าวเหมิงลู่ จ้าวปาเทียนเองก็คิดว่าถ้าบุคคลเช่นหลิงตู้ฉิงสามารถเข้าร่วมกับสถาบันราชวงศ์ได้มันคงดีไม่น้อย
แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าหลิงตู้ฉิงจะวิเศษแค่ไหน การบ่มเพาะของเขาก็อยู่แค่ระดับหลอมรวมลมปราณเท่านั้น
ภายในสถาบันราชวงศ์ นักศึกษาหลายคนนั้นล้วนอยู่ในระดับประสานปราณทะเลแล้ว หากเขารับหลิงตู้ฉิงมาเป็นอาจารย์จริง ๆ มันจะต้องกลายเป็นเรื่องขำขันกับบุคคลทั่วไปแน่นอน
นอกจากนี้การรับบรรดาลูกบุญธรรมของหลิงตู้ฉิงที่อายุไม่กี่ปีเข้าเรียนที่สถาบันราชวงศ์ นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากสถาบันราชวงศ์เป็นสถานที่ที่รับแต่นักศึกษาหัวกะทิที่โตแล้วและมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับสูงจากสถาบันอื่น ๆ ฉะนั้นการรับเด็กที่ยังไม่เคยผ่านการอบรมมาจากสถาบันใด ๆ มันจึงดูเป็นเรื่องที่ขัดกับกฎแต่เดิมที่เคยมีมา
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวปาเทียนก็ลังเลและวิตกกังวล แต่เขาไม่ได้อธิบายข้อกังวลของเขาต่อจ้าวเหมิงลู่อย่างละเอียด เขาพูดอย่างแนบเนียนว่า “เหมิงเอ๋อ ถ้าเป็นไปตามคำอธิบายของเจ้าจริง ๆ คนผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ข้าต้องคุยเรื่องนี้กับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสถาบันก่อน”
แม้ว่าจ้าวเหมิงลู่จะไม่รู้ว่าทำไมปู่ของนางจึงไม่เห็นด้วย แต่นางก็ยังพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าขอให้ท่านปู่สามารถให้คำตอบข้าได้ภายใน 2 เดือนก็แล้วกันนะท่านปู่”
นางเองยังมีสัญญาใจที่ให้ไว้กับหลิงตู้ฉิง ว่านางจะกลับไปที่เมืองฟีนิกซ์ให้ทันภายใน 3 เดือน นางกังวลว่าด้วยระดับความเลวทรามของชายผู้นั้นเขาอาจจะหาแม่คนอื่นให้เด็ก ๆ ไปแล้วหากนางกลับไปไม่ทันระยะเวลาที่กำหนด
ด้วยคำพูดของจ้าวเหมิงลู่ จ้าวปาเทียนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ปู่จะให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุดแน่นอน! ว่าแต่ปู่มีข่าวดีเพิ่มเติมที่จะบอกเจ้า!”
“ท่านปู่มีข่าวดีอะไร?” จ้าวเหมิงลู่ถามด้วยความอยากรู้
จ้าวปาเทียนยิ้มและพูดว่า “ปีนี้เจ้าก็อายุ 20 ปีแล้ว เริ่มสมควรที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงาน ในระหว่างที่เจ้าออกไปทดสอบ พ่อแม่ของเจ้าก็กำลังเตรียมหาสามีให้กับเจ้าเช่นกัน มีอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์หลายคนในเมืองหลวงกำลังรอการเลือกของเจ้าอยู่ มีทั้งหลานชายขององค์จักรพรรดิ หลานชายของผู้คุมกฎซู่ และหลานชายของแม่ทัพหลิง…นี่คือเหล่าผู้มีพรสวรรค์ในอาณาจักรจันทราของเรา เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ลองพิจารณาดูก็แล้วกันว่ามีใครที่เจ้าพึงใจ ใช่แล้ว! คนที่เจ้าพูดถึงก็แซ่หลิงเหมือนกันนี่ เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับแม่ทัพหลิงหรือเปล่า?”
จิตใจของจ้าวเหมิงลู่ในตอนนี้เริ่มจะยุ่งเหยิงนางตอบ “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
นางรู้อยู่แล้วว่าต่อให้นางจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา นางก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ทุกคนที่ปู่ของนางยกขึ้นมาล้วนเป็นผู้มีความสามารถและมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง รวมทั้งชาติกำเนิดและสถานะของตระกูลพวกเขาทั้งหมดล้วนดีเยี่ยม ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางคงกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเลือกใคร
แต่หลังจากได้กลับมาจากเมืองฟีนิกซ์ เมื่อนำคนเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับใครบางคนที่นางนึกถึงอยู่ พวกเขาก็เทียบไม่ได้กับคนที่อยู่ในใจของจ้าวเหมิงลู่อยู่ดี
ตอนนี้นางจึงวางแผนการถ่วงเวลาออกไปสำหรับการเลือกคู่
จ้าวปาเทียนพูด “ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวปู่จะลองให้คนไปตรวจสอบประวัติเขาดู ไม่นานเดี๋ยวก็คงจะได้เรื่อง เอาล่ะ เจ้าควรกลับไปที่ตระกูลก่อน เจ้าจากบ้านไปนาน แม่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามากเชียวล่ะ”
จ้าวเหมิงลู่พยักหน้าและเตือนอีกครั้ง “ท่านปู่ ท่านต้องรีบตัดสินใจในเรื่องที่ข้าบอกไว ๆ มิฉะนั้นคนที่จะเสียใจในภายหลังย่อมเป็นท่านอย่างแน่นอน”
“ปู่เข้าใจแล้ว” จ้าวปาเทียนโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้จ้าวเหมิงลู่รีบกลับเรือน
หลังจากจ้าวเหมิงลู่จากไป จ้าวปาเทียนก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็เรียกชายผู้หนึ่งเข้ามาและพูดว่า “ไปที่เมืองฟีนิกซ์และหาข้อมูลของชายที่ชื่อว่าหลิงตู้ฉิงอย่างรวดเร็ว อย่างแรกคือการตรวจสอบภูมิหลังของเขา อย่างที่สองคือตรวจสอบความประพฤติและอย่างที่สามคือค้นหาว่า ลูก ๆ ของเขามีดีอย่างไรแล้วรีบกลับมารายงานข้า”
แม้จ้าวเหมิงลู่จะบอกว่าหลิงตู้ฉิงนั้นวิเศษมหัศจรรย์มากแค่ไหน แต่จ้าวปาเทียนก็ยังรู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเองก่อนจะรับปากหลานสาว ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เขาก็ค่อยตัดสินใจอีกที
ในอีกด้าน หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเมืองฟีนิกซ์ไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปของเมืองหลวง ลานกลางเรือนของตระกูลหลิงยังคงอยู่ในสภาพปกติ
ทุก ๆ เช้าแทบทุกคนจะนั่งในลานกลางเรือนเพื่อฟังบทเรียนของถังชี่หยุน
หลังจากจบชั้นเรียน หลิงยู่ชานก็เริ่มฝึกออกหมัดในขณะที่หลิงว่านถิงไม่ได้ทำอะไรเลย หลิงเทียนหยุนยังนั่งเหม่อมองไปยังลานบ้าน ขณะที่หลิงว่านจุนเล่นหมากรุกกับหลิงยี่เทียน
ส่วนผู้คุ้มกันและบ่าวคนอื่น ๆ นอกเหนือจากมี่ไลที่อยู่ในสวนหลังเรือนทุกวันเพื่อเลี้ยงต้นไผ่เซียนสวรรค์ พวกเขาที่เหลือได้รับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจากโม่หยูถัง
นอกจากนี้ยังมีหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่เพิ่งมาใหม่ นอกเหนือจากการดื่มชาเป็นครั้งคราวกับหลิงตู้ฉิงคอยนวดไหล่นวดหลังให้เจ้านาย นางก็ไม่มีอะไรทำอย่างอื่นอีกแล้ว
ในตอนแรก หลิวเฟ่ยเฟ่ยคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะรีบทำเรื่อง ‘อย่างว่า’ กับนางหลังจากที่นางมาอยู่ที่เรือนของเขา แต่นี่ก็ 3 วันผ่านไปแล้วและหลิงตู้ฉิงก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรกับนางเลย
มีอยู่คืนหนึ่งนางข่มความอายไปขอนอนกับหลิงตู้ฉิง เขาตอบตกลง แต่ในคืนนั้นเขากลับไม่ได้ทำอะไรนางเลย แม้ว่านางจะพยายามเป็นฝ่ายเริ่ม หลิงตู้ฉิงกลับสั่งให้นางอยู่เฉย ๆ ซะอย่างนั้น นางสับสนและไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเอายังไงกับนางกันแน่
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่นางก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ในช่วงเวลาว่าง ๆ หลิวเฟ่ยเฟ่ยมักมองไปที่คนอื่นที่กำลังฝึกฝนกันอยู่ นางรู้สึกอิจฉานิดหน่อย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิงตู้ฉิงจะรักษาคำพูดของเขาไหมที่บอกว่านางจะได้รับการฝึกฝนเช่นกัน
หลิงไช่หยุนนั่งสมาธิอยู่นาน ก่อนที่นางจะวิ่งไปหาหลิงตู้ฉิงและพูดอย่างอาย ๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านมีเวลาว่างไหม? ถ้าท่านมีเวลา ข้าอยากให้ท่านทำเสื้อผ้าให้ข้าหน่อย ข้ากลัวว่าข้าจะเผาเสื้อผ้าที่ใส่อยู่อีก”
นี่มันก็น่าแปลกที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุเพียง 3 ขวบจะรู้สึกอับอาย
“หยุนเอ๋อ เจ้ากลัวว่าเจ้าจะทำลายผนึกที่พ่อทำไว้ให้กับเจ้างั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงเริ่มไม่เข้าใจ “ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าเจ้าจะพยายามแค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถทำลายผนึกได้ภายใน 1 ปีหรอก”
หลิงไช่หยุนก้มหัวลงแล้วพูดว่า “แต่ข้ากลัวจริง ๆ นี่นา ข้าอาจทำลายผนึกของท่านและเผาเสื้อผ้าของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ”
นี่คือผลจากการเรียนวิชาสรีรวิทยาจากถังชี่หยุน
หลิงไช่หยุนเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างมาก หลังจากนางได้เรียนรู้เกี่ยวกับสรีรวิทยา นางก็เข้าใจได้ว่านางไม่ควรที่จะเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น นางเริ่มกังวลว่าในอนาคตนางอาจจะเผลอทำลายผนึกของพ่อนาง ซึ่งนั่นจะทำให้เสื้อผ้าของนางถูกเผาแล้วเรือนกายของนางจะต้องเปลือยเปล่าต่อหน้าคนอื่น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจในความกังวลของหลิงไช่หยุน
“เอาอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวพ่อจะเตรียมเสื้อผ้าให้เจ้าและดัดแปลงมันไม่ให้เปลวเพลิงของเจ้าสร้างความเสียหายแก่มันได้” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “แต่ว่าเจ้าต้องพยายามฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม ตอนนี้พ่อเห็นว่าเจ้าเริ่มจะขี้เกียจแล้วนะ ถ้าเจ้าฝึกหมุนโคจรพลังเพลิงของเจ้าเพิ่มขึ้นทุกวัน การฝึกฝนของเจ้าจะก้าวหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก”
หลิงไช่หยุนพูดอย่างมีความสุข “หากท่านพ่อทำชุดให้ข้าเสร็จเมื่อไหร่ ข้าสัญญาข้าจะขยันฝึกมากขึ้นกว่าเดิม!”
“งั้นมาลงมือกันเถอะ เจ้าไปตามมี่ไลมาที่นี่ พ่อต้องคุยกับนางเกี่ยวกับวัสดุต่าง ๆ” หลิงตู้ฉิงสั่ง