บทที่ 410 ทะลวงกำแพงสวรรค์
ขณะนี้หลิงตู้ฉิงและหลิงเทียนหยุนต่างก็กำลังรอคอยให้หวงเซียะดูดซับเลือดปีศาจฟีนิกซ์อเวจีให้เสร็จมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว
และเมื่อหวงเซียะดูดซับเลือดปีศาจฟีนิกซ์อเวจีเสร็จ นางก็กระโดดขึ้นจากสระและพุ่งตัวเข้าไปหาหลิงตู้ฉิงทันทีและพูดว่า “พี่หลิง ขอบคุณมาก!”
หลังจากดูดซับเสร็จ นางรู้สึกได้ทันทีถึงอำนาจของสายเลือดปีศาจฟีนิกซ์อเวจี และภายใต้แรงปรารถนา นางจึงพุ่งตัวเข้าไปหวังว่าจะกอดเขาเพื่อแสดงความซาบซึ้งใจ
แต่น่าเสียดาย ก่อนที่นางจะพุ่งไปถึงตัวเขา ร่างของหลิงตู้ฉิงก็ได้หายไปจากจุดเดิมเรียบร้อยแล้ว
หวงเซียะหยุดลงและมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยแววตาหม่นหมอง
นางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำตัวเย็นชาแบบนี้กับนางนัก?
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่เจ้าต้องออกไปแล้ว!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวงเชียะก็แสดงสีหน้าไม่ยินยอมและพูดว่า “เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับยังเหลือเวลาอีกเป็นปีกว่ามันจะปิดลง ช่วงเวลาที่เหลือนี้ข้าต้องการที่จะติดตามท่านไปก่อน แล้วเมื่อถึงเวลาที่มันใกล้จะปิดข้าจะออกไปเอง!”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหวงเซียะ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหานาง
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงเดินเข้ามาหา นางก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก ในใจของนางเต็มไปด้วยความประหม่าและความคาดหวัง เนื่องจากนางไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการจะทำอะไรกับนาง แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับนางก็ตาม นางก็ยินยอมเพราะนางรู้ดีว่าไม่ว่าหลิงตู้ฉิงจะทำอะไรเขาจะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน
จากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงเดินเข้ามาใกล้ หวงเซียะก็ได้เห็นว่าเขายื่นมือเข้ามาหานาง ซึ่งด้วยความอาย นางหน้าแดงและจึงหลับตาลงพร้อมกับเงยคางขึ้นเล็กน้อย
แต่น่าเสียดายที่มือที่ยื่นมาหานางนั้น กลับแตะลงบนหน้าผากของนางแทน จากนั้นในช่วงวินาทีถัดมา คำพูดสำคัญบางคำของหลิงตู้ฉิงก็เลือนหายออกไปจากความทรงจำของนาง
ยกตัวอย่างเช่น เหล่าคำตำหนิต่าง ๆ ที่เขาเคยได้กล่าวกับนางนั้นได้ถูกลบหายไปจนหมด
จากนั้นเมื่อหวงเซียะลืมตาขึ้น นางมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตางุนงง
“พวกท่านทำอะไรกับข้า?” หวงเซียะพูดด้วยอาการมึนงง “ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ว่าพวกท่านเป็นใคร?”
“ออกไปจากที่นี่ซะ!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นโดยไม่อธิบายอะไร
เมื่อเห็นว่าหวงเซียะยังไม่ยินยอมที่จะออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ หลิงตู้ฉิงจึงถือวิสาสะทำลายอักขระที่อยู่ในห้วงจิตสำนึกของนาง
เมื่อรู้สึกได้ถึงการปฏิเสธจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ หวงเซียะจึงร้องตะโกนขึ้น “พวกเจ้าเป็นใครกัน? จงบอกชื่อของพวกเจ้ามา!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มโดยไม่ตอบอะไรกลับไป และจากนั้นร่างกายของหวงเซียะก็หายไปจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอย่างรวดเร็ว
หลังจากส่งหวงเซียะออกไปแล้ว หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “หยุนเอ๋อ เจ้าจงพักก่อน จากนั้นพ่อจะพาเจ้าไปอีกสถานที่หนึ่ง”
หลิงเทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นเขาก็นั่งลงกับพื้นเพื่อปรับลมหายใจ
อาการบาดเจ็บของเขาจะดีขึ้นได้เองแต่มันต้องใช้เวลา
แต่สำหรับร่างเงาหลายร่างของเขาที่ถูกทำลายไป ในจุดนั้นเขาคงจำเป็นต้องบ่มเพาะพวกมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งในอนาคต
1 เดือนต่อมา หลังจากที่คู่พ่อลูกบ่มเพาะและรักษาตัวเสร็จ หลิงเทียนหยุนก็ถามขึ้น “ท่านพ่อ พวกเราจะกลับไปที่โลกขอบเขตรวมแสงดาราใช่รึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ยังไม่ใช่ พวกเรายังเหลืออีกสถานที่ของโลกขอบเขตนภาที่เรายังไม่ได้ไป และสถานที่แห่งนั้นมันคือตัวตัดสินว่าการที่เราเข้ามาในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่”
“ที่ไหนกัน ท่านพ่อ?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงชี้ขึ้นไปบนฟ้าและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “บนฟ้า!”
“บนท้องฟ้า?” หลิงเทียนหยุนมองไปบนฟ้าด้วยความงุนงง “มันยังมีโลกถัดไปอยู่บนท้องฟ้างั้นเหรอท่านพ่อ?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “พ่อก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่พ่อแน่ใจก็คือมันจะต้องมีอะไรอยู่บนนั้นแน่นอน และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมพ่อถึงพาเจ้ามาที่นี่”
“งั้นข้าต้องทำยังไงต่อ?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้นอีกรอบ
“เจ้าจะรู้เองเมื่อเจ้าขึ้นไปถึง” หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดขึ้น “ตอนนี้เจ้าจงเข้ามาอยู่ในเงาของพ่อก่อน พ่อจะใช้กำลังของพ่อทำลายกำแพงเองและถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ช่วยพ่อทำลายมัน เจ้าก็จะยังคงได้ประโยชน์จากการทำลายไปด้วย ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคตเมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตสวรรค์”
หลิงเทียนหยุนพยักหน้าอย่างรวดเร็วและร่างของเขาก็หายเข้าไปในเงาของหลิงตู้ฉิงทันที
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เมื่อเขาเห็นว่าหลิงเทียนหยุนพร้อมแล้ว เขาจึงโคจรพลังของร่างเบญจธาตุไปถึงจุดสูงสุดทันที
นี่เป็นเพราะตอนนี้เขามีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ และการที่เขาจะทำลายกำแพงนี้ได้ มันคงไม่สามารถทำได้ด้วยพลังจากระดับการบ่มเพาะของเขาแน่นอน
ส่วนการที่เขาจะไปหาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาคนอื่นให้มาช่วยเขาทำลายกำแพงนี้นั้นเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย เนื่องจากประโยชน์ที่ได้จากการทำลายกำแพงนี้มันล้ำค่าเกินกว่าที่เขาจะมอบให้กับคนทั่วไปได้ ส่วนซือโถวเหวินหยวนที่อยู่ในขอบเขตนภาเช่นกันนั้น หากเดาไม่ผิดซือโถวก็คงยังไม่ได้รับโชคอะไรดี ๆ จากที่นี่อยู่แล้ว
ดังนั้นทางเลือกเดียวของเขาก็คือการทำลายมันด้วยตัวเอง
เมื่อเขาโคจรพลังของร่างเบญจธาตุ แสงสีแดง เหลือง เขียว ขาว ดำ ก็ส่องประกายออกมาจากร่างของเขา
และเมื่อแสงทั้งห้าสีนี้หลอมรวมเข้าด้วยกัน หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกได้ราวกับว่าร่างกายของเขาได้กลายเป็นเอกเทศจากสภาพแวดล้อมรอบด้าน
จากนั้นเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองพร้อม เขาจึงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าทันที
ส่วนหลิงเทียนหยุนที่หลบอยู่ในเงาของหลิงตู้ฉิงนั้น เขาเองก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังพุ่งผ่านชั้นของพลังวิญญาณมากมายหลายชั้นไปเรื่อย ๆ
เขารู้สึกได้ว่าในทุก ๆ ชั้นพลังงานที่เขาพุ่งผ่าน มันมีมวลพลังหลายรูปแบบรวมตัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันมีทั้งมวลพลังธาตุไฟ ธาตุน้ำ และธาตุอื่น ๆ มากมาย ซึ่งเขาสัมผัสได้ว่าหากมวลพลังเหล่านี้ได้เรียงตัวกันตามตำแหน่งที่ถูกต้องเมื่อไหร่ อำนาจของพวกมันจะต้องปะทุขึ้นอย่างรุนแรงแน่นอน
แต่ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะเห็นมวลพลังงเหล่านั้นเรียงตัวกัน หลิงตู้ฉิงก็ชกหมัดออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบนเสียก่อน ส่งผลให้บรรดามวลพลังต่าง ๆ ที่กำลังจะเรียงตัวกัน ถูกคลื่นกระแทกจากคลื่นพลังหมัดจนลอยกระจัดกระจายไปกันคนละทาง
หลังจากนั้น เมื่อพ่อของเขาได้ทะลวงท้องฟ้าจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ร่างของทั้งสองคนก็บินผ่านช่องโหว่นั้นขึ้นไปอยู่เหนือท้องฟ้า
แต่แล้วเมื่อพวกเขาขึ้นมาอยู่เหนือชั้นฟ้า พวกเขาก็สัมผัสได้ว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่างได้โอบล้อมตัวพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถขยับร่างกายได้
“ท่านพ่อ นี่มันคืออะไรกัน?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
เพราะว่าทั้งเขาและพ่อของเขาตอนนี้นั้นไม่สามรถขยับได้เลย
หลิงตู้ฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น “เจ้าจะถือว่ามันเป็น ‘กลิ่นอายแห่งสวรรค์ก็ได้’ ซึ่งมันก็คล้ายกับทักษะ ‘อาณาเขตสวรรค์’ ของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์นั่นแหละ แต่ตอนนี้สิ่งที่ควบคุมอำนาจของมันอยู่ก็คือโลกที่ไม่สมประกอบนี้ของเขตวิญญาณผู้ล่วงลับ”
“ถ้างั้นพวกเราจะทำยังไงกันต่อดี ท่านพ่อ?” หลิงเทียนหยุนรีบถามขึ้นทันที
“ตอนนี้ พ่อคงได้แต่หวังพึ่งเจ้า” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ “ในสถานที่แห่งนี้ พ่อไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เพราะถ้าพ่อจะต่อต้านมัน พ่อจะต้องใช้กฎแห่งระดับสวรรค์หรือเหนือกว่าในการจัดการ ซึ่งถ้าพ่อทำแบบนั้นพ่อจะถูกเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับปฏิเสธและถูกดึงตัวออกไปทันที”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเทียนหยุนก็พูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “แต่ข้าก็ขยับตัวไม่ได้เหมือนกันนะท่านพ่อ!”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ถึงแม้ว่าร่างกายของเจ้าจะไม่สามารถขยับได้ แต่ร่างเงาของเจ้าทำได้ กฎของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับในที่นี่นั้นไม่สมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงตรวจจับไม่เจอร่างเงาของเจ้า เอาล่ะจงใช้ร่างเงาของเจ้าออกไปตามหาความลับที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ซะ และจงจำไว้ว่ามีแต่ร่างเงาของเจ้าเท่านั้นที่เคลื่อนไหวได้ ร่างกายที่แท้จริงของเจ้าห้ามเคลื่อนไหวออกไปจากเงาของพ่อเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นร่างของเจ้าจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของกลิ่นอายสวรรค์ของที่นี่ได้”
หลิงเทียนหยุนหยักหน้ารับทราบ และจากนั้นเขาก็ส่งร่างเงาของตัวเองออกไปซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างที่พ่อของเขาบอก ร่างเงาของเขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระไม่ถูกตรึงไว้แบบเดียวกับร่างที่แท้จริงของเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงปล่อยร่างเงาของตัวเองออกมาจากร่างเป็นจำนวน 30 ร่างเงา และส่งพวกมันกระจายออกไปทุกทิศทุกทางเพื่อสำรวจที่แห่งนี้