บทที่ 5 ป่าสัตว์เวทย์[รีไรท์]
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลิงตู้ฉิงที่ตื่นขึ้นมาก่อน หลังจากห่มผ้าให้ไช่หยุนน้อยที่ยังคงหลับอยู่ เมื่อเขาออกมาจากห้องนอน หลิงตู้ฉิงจึงเดินตามหาหลิงยู่ชานและพูดกับลูกชายของเขาว่า “ช่วง 2-3 วันนี้เจ้าอย่าออกไปไหน อยู่แต่ในเรือนดูแลน้อง ๆ ของเจ้า พ่อจะออกไปข้างนอก 2-3 วัน เมื่อพ่อกลับมาพ่อจะเริ่มสอนวิธีบ่มเพาะให้เจ้า”
หลิงยู่ชานรีบพยักหน้ารับ หลิงตู้ฉิงไปหาโม่หยูถังแล้วพูดกับเขา “พ่อบ้านโม่ ข้าจะไปข้างนอกหลายวันหน่อย เจ้าดูแลเรือนให้ดี ๆ ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ด้วย”
โม่หยูถังรีบร้อนถาม “นายท่าน ท่านจะไปไหน?”
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ปิดบัง “ข้าวางแผนที่จะไปป่าสัตว์เวทย์ สัก 2-3 วันจะกลับมา”
ท่าทีของโม่หยูถังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ท่านจะไปที่ป่าสัตว์เวทย์ไม่ได้เด็ดขาด ที่นั่นมีสัตว์เวทย์ชุกชุม คนธรรมดาอย่างท่านไม่ว่าสัตว์เวทย์ตัวไหนก็เอาชีวิตท่านไปได้หมด”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นคนธรรมดา? เอาล่ะ ข้าจะไปป่าสัตว์เวทย์ก่อน พอกลับมาข้าจะตรวจสอบร่างกายเจ้าให้ละเอียดอีกครั้ง จากที่ข้าดูเจ้าเผิน ๆ แล้ว ดูเหมือนเจ้าจะมีเบื้องหลังบางอย่างที่น่าสนใจเช่นกันนะพ่อบ้านของข้า”
หลิงตู้ฉิงหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้โม่หยูถังยืนงงงัน เขาพึมพำกับตัวเอง “นี่เขาสามารถดูออกได้ยังไงว่าข้ามีบางอย่างที่ผิดปกติ?”
ทางฝั่งของหลิงตู้ฉิง เขากำลังใช้ทักษะวิชาตัวเบา ‘สะบั้นวายุ’ พุ่งไปยังทิศทางของป่าสัตว์เวทย์ในทันที
‘สะบั้นวายุ’ คือวิชาตัวเบาที่เขาสร้างขึ้นในชาติก่อนเมื่อตอนที่ระดับการบ่มเพาะของเขายังค่อนข้างต่ำ ด้วยทักษะนี้เมื่อชาติที่แล้วนับไม่ถ้วนที่มันช่วยให้เขารอดตายได้หลายต่อหลายครั้ง และในเวลานี้ที่ระดับของเขายังเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 ทักษะวิชาตัวเบานี้จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดที่เขาจะนำมาใช้
ภายในเวลาวันเดียวหลิงตู้ฉิงได้เดินทางมาถึงป่าสัตว์เวทย์ ซึ่งมีระยะทางมากกว่า 800 ลี้
ป่าสัตว์เวทย์เป็นสถานที่ที่อันตรายของทวีปเทียนหยวน บริเวณใจกลางของป่านั้นมีสัตว์เวทย์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด แม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราก็ยังเป็นอันตรายถ้าเข้าไปในบริเวณใจกลางของป่าสัตว์เวทย์นี้
อย่างไรก็ตามหลิงตู้ฉิงนั้นรู้ตัวว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเข้าสู่ใจกลางป่า แม้ว่าสัตว์เวทย์ที่อยู่บริเวณนั้นจะล้ำค่า แต่เขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งที่มากพอจะจัดการพวกมันได้
ในตอนนี้เขาเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 เท่านั้น ประสบการณ์ชีวิตในชาติก่อนสอนหลิงตู้ฉิงให้ต้องระวังทุกย่างก้าวในเส้นทางของการบำเพ็ญเพียร
เขาสูดลมหายใจลึกและเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปในป่า หลังจากเดินไปพักหนึ่งหูทั้งสองของเขากระตุกทันที เขาหันหลังกลับและพบหมาป่าลมกรดที่กำลังจะตะครุบเขา
หลิงตู้ฉิงแสร้งไม่โต้ตอบ เมื่อหมาป่าลมกรดกระโจนมาถึงข้างหน้า เขาจึงใช้ทักษะเงาปีศาจเพื่อจับมันและกดมันลงกับพื้น
จากนั้นก็หยิบมีดด้ามเล็กและขวดแก้วออกมา กรีดข้อเท้าของหมาป่าลมกรด จัดการเอาแก่นแท้ของเลือดมันมา 2-3 หยดใส่ขวดแก้ว จากนั้นก็โยนหมาป่าลมกรดไปด้านข้างแล้วปล่อยให้มันที่กำลังหวาดกลัวขาดสติหนีไป
“เจ้าไม่ได้มีค่ามากนัก ข้าแค่จะเอาแก่นแท้ของเลือดเจ้าไปปลุกร่างกายของลูกชายข้าให้ตื่นขึ้นก็แค่นั้นเอง” หลิงตู้ฉิงพึมพำ
ของล้ำค่าที่ตระกูลของเขามีอยู่ที่สามารถขายได้ เขาก็ขายไปจนหมด และเขาเองก็ไม่มีแหวนมิติที่ใช้เก็บของเหลืออยู่เลย ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงไม่ต้องการลำบากแบกศพของหมาป่าลมกรดตัวหนึ่งที่มีมูลค่าไม่กี่สิบเหรียญทองไปทั่วทั้งป่า
ครึ่งวันต่อมา หลิงตู้ฉิงมองขวดแก้วที่มีเลือดของสัตว์เวทย์อยู่ครึ่งหนึ่ง ในขณะที่เขาเดินมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่าสัตว์เวทย์ หลิงตู้ฉิงพึมพำกับตัวเอง “หมาป่าลมกรด, กระต่ายปีศาจมายา, อสรพิษมายา, หมีปฐพี, แมงมุมปีศาจ…ไม่มีตัวไหนที่มีค่าเลย!”
“นี่ข้าอุตส่าห์เสียแรงถ่อมาตั้งไกลเพื่อมายังป่าแห่งนี้ แล้วทำไมถึงเจอแต่สัตว์เวทย์ที่อ่อนแอ? โธ่…ได้โปรดขอให้ผลบุญของข้าจากชาติที่แล้วที่สั่งสมมาดลบันดาลให้สัตว์เวทย์ตัวไหนก็ได้ที่มันมีค่าสัก 7,000-8,000 เหรียญทองมาปรากฏกายทีเถอะ…”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะอ้อนวอนต่อโชคชะตาอย่างไรสัตว์เวทย์ที่ปรากฎตัวรอบ ๆ เขาก็ยังคงเป็นสัตว์เวทย์ชั้นต่ำ ขณะที่เจอแต่สัตว์เวทย์ที่อ่อนแอรายล้อมรอบตัวตลอดทาง นอกเหนือจากการรวบรวมแก่นแท้เลือดของสัตว์เวทย์แล้ว หลิงตู้ฉิงไม่ได้แบกซากศพของสัตว์เวทย์ชั้นต่ำเหล่านี้ติดตัวไปด้วยแม้เพียงสักตัวหนึ่ง เนื่องจากสัตว์แต่ละตัวขายได้เพียง 200-300 เหรียญทองเท่านั้น
เงินจำนวนเพียงแค่นี้ ไม่สามารถจะครอบคลุมรายจ่ายของตระกูลของเขาได้แน่นอน เขาคิดไปถึงภาพลูก ๆ ของเขาร้องไห้ด้วยความหิวอยู่ที่เรือน ถึงแม้ว่าบางคนจะยังไม่กลับมาจากสถานศึกษา ซึ่งน่าจะกำลังอยู่ในชั้นเรียนเตรียมพื้นฐานของสถาบัน พวกเขาก็ยังคงต้องการเงินไว้ใช้จ่าย
คิดได้ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่าอีก
ขณะที่เขาเดินลึกเข้าไปกว่าเดิม สัตว์เวทย์ที่เขาพบก็เป็นพวกที่แข็งแกร่งมากขึ้น แต่มันไม่สำคัญ พวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิงพวกมันก็ทำได้แค่ต้องบริจาคแก่นแท้เลือดของพวกมันให้กับหลิงตู้ฉิงก็เท่านั้น
หลิงตู้ฉิงที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดกะทันหัน เขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยของผืนดิน จากนั้นการสั่นก็เริ่มแรงขึ้นและแรงขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นมีคนกลุ่มเล็ก ๆ รีบวิ่งออกมาจากส่วนลึกของป่าสัตว์เวทย์ เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงกำลังเดินเข้ามา กลุ่มคนเหล่านั้นก็เข้ามาดึงแขนหลิงตู้ฉิงแล้ววิ่งออกไปด้านนอกโดยลากเขาไปด้วย
หลิงตู้ฉิงดิ้นแล้วพูดว่า “ปล่อยข้า ข้าจะเข้าไปฆ่าสัตว์เวทย์ตัวนั้นเจ้าจะลากข้าออกมาด้วยทำไมกัน!”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ก็เพราะสัตว์เวทย์ตัวนั้นมันทรงพลังมากน่ะสิ พวกข้าถึงได้พาเจ้าออกไปด้วย ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจ้าเพียงเท่านี้มันเท่ากับว่าเจ้าเดินเข้าไปหาความตายแท้ ๆ เจ้าเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 เท่านั้น อย่ารนหาที่ตาย!”
มันไม่ง่ายสำหรับหลิงตู้ฉิงที่จะเจอสัตว์เวทย์ที่ทรงพลังสักตัวและได้จัดการมัน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ถูกลากให้ออกจากป่าโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ นี้เอง
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเจตนาของคนกลุ่มนี้คือช่วยเหลือตน ชายคนที่ลากเขาออกมามีน้ำใจมากที่ปกป้องเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนกลุ่มนี้แต่ก็ต้องยอมรับในความตั้งใจของพวกเขา
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจแล้วคิดกับตัวเอง “เห้อ…ใครใช้ให้ข้าต้องมาฝึกวิถีเต๋าตู้ฉิงกัน” ถ้าเขาเหี้ยมโหดอย่างในชาติก่อนคงจะสังหารคนทั้งหมดที่ขวางเส้นทางตัวเองก่อนที่สัตว์เวทย์ทรงพลังตัวนั้นจะออกมาแล้ว
ขณะที่หลิงตู้ฉิงยังเศร้าโศก การสั่นสะเทือนก็ค่อย ๆ เบาลงสุดท้ายก็หายไปในที่สุด
ชายวัยกลางคนค่อย ๆ หยุดเท้า วางหลิงตู้ฉิงลงแล้วพูดว่า “เอาล่ะ พวกเราปลอดภัยแล้ว”
สาวน้อยคนหนึ่งข้าง ๆ พูดอย่างกังวลใจ “อาจารย์หยาน การทดสอบของพวกเรายังไม่เสร็จ ข้าต้องการกลับเข้าไปอีกครั้ง!”
อาจารย์หยานตอบอย่างเคร่งขรึม “การทดสอบนั้นยังไม่เสร็จก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของพวกเรา ดังนั้นข้าจะพาพวกเจ้ากลับออกไปก่อน และรอให้สัตวร้ายนั่นจากไป จากนั้นข้าจะพาพวกเจ้ากลับเข้าไปทดสอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง จงจำไว้ถ้าพวกเจ้าตาย พวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสที่จะทำการทดสอบอีก”
เด็กอีกคนพูดว่า “แต่การทดสอบของพวกเราเกือบจะสมบูรณ์แล้ว ข้าคิดว่าเราควรกลับไปในป่าอีกรอบ”
หลิงตู้ฉิงเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่สนใจเขาจึงถามก่อน “พวกท่านมาจากสถานศึกษาไหนกัน?”
“ข้าคือหยานจุนสงมาจากสถาบันวายุทักษิณ ส่วนคนอื่น ๆ เป็นศิษย์ของข้า ข้านำพวกเขามายังป่าสัตว์เวทย์เพื่อทำการทดสอบ” อาจารย์หยานตอบ
“เรียกข้าว่า หลิงหมิ่นเอ๋อ/เรียกข้าว่า เหลียงซู่ไบ๋/เรียกข้าว่า หลิวหมิงจุน” ศิษย์ทั้งสามกล่าวแนะนำตัวเอง
“การทดสอบของพวกท่านคืออะไรงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เหลียงซู่ไบ๋ตอบอย่างไม่มีความสุข “พวกข้ายังไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย แล้วทำไมเจ้าถึงตั้งคำถามกับพวกข้ามากขนาดนี้? เจ้าเป็นใคร? เจ้ากล้าท่องเข้าไปในป่าสัตว์เวทย์ด้วยระดับการบ่มเพาะเพียงแค่นั้น เจ้าอยากตายนักหรือไง?”
หลิงตู้ฉิงเหลือบตามองเหลียงซู่ไบ๋และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตัวเจ้ายังอยู่แค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 3 เท่านั้น หุบปากซะ! ก็ได้ข้าจะไม่ถามอะไรพวกเจ้าอีกต่อไป ยังไงซะการทดสอบของพวกเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน คราวหน้าอย่าดึงข้าออกมาอีก”
หลังจากเขาหยุดพูด ก็ได้เดินกลับเข้าไปยังส่วนลึกของป่า
หยานจุนสงรีบร้อนพูด “เฮ้! เจ้าตัวที่ไล่ตามพวกเรามาคืออสูรเกราะเหล็ก มันคือสัตว์เวทย์ที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ ต่อให้เป็นข้าก็ยังลำบากเพื่อที่จะฆ่ามัน เจ้าเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลอมรวมลมปราณ ถ้าเจ้าสู้กับอสูรเกราะเหล็ก รับรองว่าเจ้าตายแน่ ฟังคำข้าอย่าเข้าไป”
ดวงตาของหลิงตู้ฉิงเป็นประกาย เขาพึมพำในใจอย่างตื่นเต้น “อสูรเกราะเหล็กงั้นเหรอ? กระดองของมันเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างชุดเกราะ ส่วนกระดูกก็เป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างอาวุธ เอ็นของมันก็ทนทานมากและการสร้างเชือกหรือแส้ แม้แต่สายธนูก็เหมาะมาก อย่างน้อย ๆ ที่สุดหมื่นเหรียญทองยังไม่พอเลย”
“ขอบคุณมาก!” หลิงตู้ฉิงพูดกับหยานจุนสงก่อนจะหันหลังกลับและใช้ทักษะสะบั้นวายุ รีบมุ่งตรงไปยังทิศที่พื้นดินเพิ่งจะสั่นสะเทือน แม้ว่าหยานจุนสงจะพยายามเกลี้ยกล่อมเขาแล้วก็ตาม
เหลียงซู่ไบ๋รีบพูดขึ้นว่า “อาจารย์หยาน คนประเภทนี้ไปหยุดเขาไม่ได้หรอก ถ้าเราช่วยเขาครั้งหนึ่งก็จะมีครั้งที่สองที่สามอีก เรารีบทำการทดสอบต่อให้สำเร็จและไปจากที่นี่ดีกว่า”
หยานจุนสงถอนหายใจและส่ายหัว ตามองไปยังทิศทางที่หลิงตู้ฉิงจากไป
เขาคิดกับตัวเองว่า ‘ถ้าพิจารณาจากทักษะการเคลื่อนไหว หากเขาไม่ใช่คนปัญญาอ่อนการหลบหนีก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ คนที่อยู่แค่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณสามารถที่จะรู้ระดับการบ่มเพาะของลูกศิษย์ข้าได้ยังไง? มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นทะลุระดับการบ่มเพาะของผู้อื่นหากอยู่ในระดับต่ำกว่า อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือเหนือกว่าถึงจะสามารถมองเห็นได้’