บทที่ 395 ปีกกระดาษ
ขณะนี้หลิงตู้ฉิงได้พาหลิงเทียนหยุนและเซียวเหลียนเข้าสู่โลกขอบเขตรวมแสงดาราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลิงเทียนหยุนและเซียวเหลียนในตอนนี้ต่างยืนมองดูดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าขัดแย้ง
สภาพแวดล้อมของที่นี่และโลกขอบเขตประสานทะเลปราณ มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
บนท้องฟ้าเหนือหัวของพวกเขาในโลกขอบเขตรวมแสงดารามันเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนท้องฟ้า
แต่ความแปลกประหลาดของดวงดาวเหล่านี้ก็คือขนาดของพวกมัน ดาวดวงที่ใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1,000 เมตร ในขณะที่ดาวที่เล็กที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึง 1 เมตรด้วยซ้ำ
ดาวเหล่านี้ลอยอยู่บนท้องฟ้าโดยยังคงเปล่งแสงพร่างพราวบ่งบอกว่าพวกมันอัศจรรย์เพียงใด
แต่แล้วเมื่อทั้งสองเพ่งมองมันจากระยะไกล พวกเขาพบก็ว่าบนดวงดาวเหล่านั้นกลับมีผู้คนบ่มเพาะอยู่บนมันอยู่หลายดวงแล้ว และแน่นอนว่ายังมีบางดวงที่กำลังมีผู้คนต่อสู้กันอยู่อีกต่างหาก
“ท่านพ่อเราจะขึ้นไปบนนั้นได้อย่างไร?” หลิงเทียนหยุนพูดขึ้น “แม้ว่าร่างเงาของข้าจะสามารถลอยได้ แต่มันก็คงไม่สามารถลอยขึ้นไปได้สูงขนาดนั้น”
เซียวเหลียนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตากระอักกระอ่วนและพูดว่า “แม้ว่าพวกเราภูตนางฟ้าจะมีปีก แต่ระดับการบ่มเพาะของข้าก็แค่อยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 เท่านั้น ข้าเองสามารถบินขึ้นไปได้แต่คงไม่สามารถพาพวกท่านขึ้นไปได้ด้วย แล้วถ้าข้าบินขึ้นไปคนเดียวข้าคิดว่าข้าก็คงไม่รอดเงื้อมมือของผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราแน่นอน”
พวกเขาทั้งหมดอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็อยู่ในระดับ 11 ส่วนหลิงเทียนหยุนจะต้องบ่มเพาะอีกเล็กน้อยเพื่อไปถึงระดับ 12 แน่นอนว่าถ้าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา พวกเขาก็บินไม่ได้และไม่สามารถขึ้นไปยังดวงดาวเหล่านั้นได้
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ช่วยกันหาวัสดุกันก่อน ดาวดวงที่เราอยู่กันตอนนี้ค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นมันควรมีวัสดุมากมาย พวกเจ้าช่วยข้าหาพวกมันแถว ๆ บริเวณนี้ก่อน ถ้าเรามีวัสดุมากพอเมื่อไหร่ข้าจะสร้างพาหนะวิญญาณที่บินได้ จากนั้นเราทุกคนก็จะได้บินได้กันหมดทุกคน แต่ถ้าอย่างแย่ที่สุดถ้าเราไม่เจอวัสดุเลย เราก็ค่อยมาลุ้นกันว่าจะเจอผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราแถว ๆ นี้บ้างไหม หรือไม่ เซียวเหลียน เจ้าก็ต้องทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตรวมแสงดารา แล้วจากนั้นเจ้าก็จงพาเราขึ้นไปยังดวงดาวเหล่านั้นแทนก็แล้วกัน”
อันที่จริง หลิงตู้ฉิงก็ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกเพราะแม้แต่เขาก็เอาแหวนมิติเข้ามาในนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาเองจึงไม่มีวัสดุอื่นใดอยู่กับตัวเพื่อสร้างสมบัติต่าง ๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้ทางเลือกแรกของพวกเขาคือการค้นหาวัสดุที่จำเป็นในการสร้างพาหนะวิญญาณที่บินได้ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างพาหนะวิญญาณที่บินได้นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เขาจะจำเป็นต้องใช้มันในโลกขอบเขตรวมแสงดาราเท่านั้น แต่เขายังสามารถนำมันไปใช้ในโลกขอบเขตนภาได้อีกด้วย
แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้พวกเขาจะค้นหาพวกมันบนพื้นดินมาพักใหญ่ ๆ แล้ว พวกเขาก็ยังไม่พบวัสดุที่เหมาะสม
หลิงตู้ฉิงพูดกับหลิงเทียนหยุนและเซียวเหลียน “หยุนเอ๋อ จงใช้ร่างเงาของเจ้าติดตามพวกผู้เชี่ยวชาญที่อยู่บนท้องฟ้าเพื่อตามหาชิงเฉิงและลั่วเอ๋อ ถ้าเราสามารถหาพวกนางพบเรื่องทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นมาก ส่วนเซียวเหลียนเจ้าอย่าบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้ทันเวลา จงอยู่บนดาวดวงนี้และมองหาวัสดุที่ดูแล้วน่าจะใช้การได้ต่อไป”
พวกเขาพยักหน้าทีละคน
จากนั้นหลิงเทียนหยุนก็ส่งร่างเงาของตนเอง ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อมองหาเย่ชิงเฉิงและอี้ลั่วเอ๋อ แน่นอนว่าเขายังแบ่งร่างเงาบางร่างออกไปหาวัสดุสำหรับสร้างพาหนะวิญญาณสำหรับหลิงตู้ฉิง
ในเวลาเดียวกัน เซียวเหลียนก็ออกไปตามหาวัสดุต่าง ๆ ต่อเช่นกัน อย่างไรก็ตามตราบใดที่นางเห็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา นางก็จะถอยหนีหรือไม่ก็อ้อมไปทันทีโดยไม่กล้าที่จะให้คนเหล่านั้นเห็นตัวนาง
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นางก็พลาดจนได้ จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วจากบนท้องฟ้าเข้ามาหาเซียวเหลียนและเมื่อนางเห็นเช่นนั้น นางจึงรีบพุ่งตัวหนีทันทีพลางกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
ขณะที่นางทำเช่นนั้น ที่ด้านหลังของนางชายผู้หนึ่งที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12 ก็พุ่งตัวตามนางมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “อ่า ภูตนางฟ้าน้อยขอบเขตประสานทะเลปราณงั้นเหรอ? สาวน้อยหยุดหนีซะเถอะ ให้ข้าได้ลิ้มลองรสชาติของเจ้าสักหน่อย ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า หลังจากข้าเล่นกับเจ้าจบข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ชายผู้นั้นไม่สนใจท่าทางขอความช่วยเหลือที่น่าสงสัยของเซียวเหลียนเลยแม้แต่น้อย เขาคิดแค่ว่าถึงแม้ว่านางจะสามารถฝ่ากำแพงโลกเข้ามาได้ แต่ระดับการบ่มเพาะของนางก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ ต่อให้นางจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหนหรือต่อให้ตอนนี้นางจะทะลวงขอบเขตรวมแสงดาราได้ในทันที เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว เนื่องจากว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 12 ซึ่งเขาคิดว่านางไม่มีทางจะสู้เขาได้อย่างแน่นอน
เซียวเหลียนที่กำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนก นางรีบพุ่งตัวเข้าไปหาหลิงตู้ฉิงและหลบอยู่หลังเขาทันที และถามอย่างกังวลว่า “ระ เราจะทำยังไงต่อไปดี?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เซียวเหลียน เจ้าทำผลงานได้ดีมาก! เอาล่ะตอนนี้แม้ว่าพวกเราจะยังไม่มีพาหนะวิญญาณที่บินได้ก็ตาม แต่เราก็สามารถบินได้แล้ว!”
ในเวลาเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราก็ได้มาถึงตรงหน้าของพวกเขาสามคนแล้ว เขาตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าคุกตามทันที “มอบภูตนางฟ้านั่นมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด!”
เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้ทุกคนอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณเท่านั้น เขาจึงเข้าใจว่าเขาคงสามารถข่มขู่ผู้คนเหล่านี้ยังไงก็ได้
แต่ในขณะที่เขาพูดจบ เขาก็สัมผัสได้ว่าที่ก้านหลังของเขาจู่ ๆ ก็มีเงาของใครไม่รู้โผล่ขึ้นมาจากเงาของเขาและเงานั้นก็ปล่อยหมัดอันหนักหน่วงเข้ามากระแทกที่หัวของเขาอย่างจัง จนเขารู้สึกราวกับว่าหัวของเขาแทบจะระเบิดออก และเมื่อเขารู้ว่าเขาได้พลาดตกหลุมพลางเข้าให้แล้ว เขาจึงพยายามที่จะทำลายอักขระที่อยู่ในห้วงจิตสำนึกเพื่อถอนตัวทันที แต่น่าเสียดายที่ความคิดนี้ของเขานั้นมันช้าเกินไป เพราะจู่ ๆ เขาก็รู้สึกง่วงอย่างรุนแรงและหลับลงไปอย่างรวดเร็ว
หลิงตู้ฉิงจับหัวของชายผู้นี้ไว้และอ่านความทรงจำของเขาหลังจากที่เขาเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับมา จากนั้นเขาจึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราผู้นี้กลายเป็นหุ่นเชิดทันที
“เทียนหยุน ต่อไปเราจะใช้หุ่นเชิดตัวนี้พาเราบินขึ้นไป!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เซียวเหลียน เจ้าบินด้วยตัวเอง แต่อย่าบินไกลจากเราเกินไป”
จากนั้นคู่พ่อลูกก็ก้าวขึ้นไปบนหลังของผู้เชี่ยวชาญที่ทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดและใช้เขาแทนพาหนะวิญญาณเพื่อบินขึ้นไปบนท้องฟ้ามุ่งหน้าสู่ดวงดาวทั้งหลาย
เซียวเหลียนที่บินตามอยู่ข้างหลังพวกเขา ตอนนี้นางเริ่มแสดงสีหน้ากังวล นางไม่สามารถบอกได้ว่าหลิงตู้ฉิงเป็นคนดีหรือไม่ดี บางครั้งเขาก็ดูเป็นคนใจดีแถมยังให้ผลประโยชน์มากมายและปฏิบัติต่อคนของเขาและนางด้วยความกรุณา แต่ไหงมาตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ดูเลือดเย็นเปลี่ยนคนที่มีชีวิตให้กลายเป็นหุ่นเชิดได้
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาทั้งสามคนก็ได้มาถึงดาวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50-60 เมตร หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มสำรวจดาวดวงนี้ทั้งดวงทันที ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็ได้พบวัสดุสองอย่างที่พอจะนำมาใช้ประโยชน์ได้
หลังจากนั้นทั้งสามก็ออกจากดาวดวงนี้และบินไปรอบ ๆ ยังดาวต่อไป ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็ทำตามรูปแบบเดิมหากเขาเจอผู้เชี่ยวชาญแปลกหน้า เขาจะทำให้คนเหล่านั้นหลับและค้นหาความทรงจำของคนผู้นั้นโดยหวังว่าจะพบเย่ชิงเฉิงและอี้ลั่วเอ๋อ
10 วันต่อมา ตอนนี้หลิงตู้ฉิง หลิงเทียนหยุนและเซียวเหลียนก็ได้มาหยุดอยู่บนดาวขนาดยักษ์ ซึ่งตอนนี้พวกเขาแต่ละคนต่างมีถุงวัสดุที่ปูดโปนแขวนอยู่ตามร่างกาย นี่เป็นวิธีเดียวในการเก็บรวบรวมวัสดุ เนื่องจากพวกเขาไม่มีแหวนมิติ
ไม่นานหลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงก็เริ่มสร้างพาหนะวิญญาณและครึ่งเดือนต่อมาปีกกระดาษสองคู่ก็ปรากฏขึ้น
“หยุนเอ๋อ ‘ปีก’ นี้สำหรับเจ้า พ่อได้ปรับแต่งมันให้เข้ากับร่างกายของเจ้าแล้ว การใช้งานมันนั้นก็ง่าย ๆ เจ้าเพียงแค่ใช้พลังวิญญาณของเจ้าเพื่อขับเคลื่อนมันไปในอากาศเท่านั้นก้พอ” หลิงตู้ฉิงยิ้ม ขณะที่เขาส่งมันให้หลิงเทียนหยุนและในเวลาเดียวกันเขาก็เอาปีกอีกคู่หนึ่งติดไว้บนหลังของเขา
จากนั้นเมื่อเขาโคจรพลังวิญญาณของเขาเข้าไปในมัน ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วการบินของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราซะอีก
“เอาล่ะ ตอนนี้เราไปตามหาพวกเราที่เหลือกันต่อ!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ หลังจากนั้นทั้งสามก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยังที่ที่ผู้คนอยู่กันเป็นจำนวนมาก
ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดจากก่อนหน้านี้มันถูกทิ้งไว้ที่ดาวดวงนั้นอย่างโดดเดี่ยว
Related