บทที่ 372 แร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์
หลังจากส่งหนิงฮ่าวไปแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงก็พาน้องสาวไปเก็บตัวบ่มเพาะต่อ
ตราบใดที่หลิงตู้ฉิงอยู่ นางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนบุกเข้ามา
และยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้ในเรือนมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแถมแต่ละคนก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มาจากขุมกำลังที่แข็งแกร่งทั้งนั้น หากมีใครที่หาญกล้าบุกเข้ามาในเรือนในช่วงเวลานี้มันก็เหมือนกับรนหาที่ตายเท่านั้น
แต่ถ้าหากเป็นเรื่องจิปาถะ หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวสามารถจัดการเองได้
ในชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปอีกหลายปี เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งสองก็เติบโตเป็นหญิงสาวที่งามสง่า
ด้วยผลพวงจากการที่พวกนางได้รับการชี้แนะจากเสี่ยวเยว่เฟิง พวกนางทั้งสองจึงมีรากฐานการบ่มเพาะที่มั่นคงและไม่รีบร้อนที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตต่อไป
ดังนั้นหลังจากหลายปีผ่านไป ระดับการบ่มเพาะของพวกนางก็ยังคงอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 5
นอกจากการบ่มเพาะแล้วพวกนางยังคอยดูแลความเรียบร้อยและทำความสะอาดบริเวณต่าง ๆ ของเรือน
ปัญหาเดียวคือหลังจากที่เด็กหญิงทั้งสองเติบโตเป็นสาวเต็มตัว พวกนางก็เริ่มมองไปที่หลิงตู้ฉิงและหลิงเทียนหยุนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนครั้งในการมองไปที่หลิงตู้ฉิงนั้นย่อมมากกว่า เนื่องจากหลิงเทียนหยุนใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อฝึกวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง
ดังนั้นเด็กสาวทั้งสองจึงมักจะไปนั่งที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง เพื่อดูเขาหลอมโอสถหรือสร้างสมบัติวิเศษต่าง ๆ
ซึ่งแค่ได้ทำเช่นนี้พวกนางก็รู้สึกมีความสุขในหัวใจ
แต่ถึงแม้ว่าพวกนางจะมีความสุข พวกนางก็ยังมีความรู้สึกขัดแย้งในใจว่าทำไมเจ้านายของพวกนางถึงไม่ค่อยจะทำตัวสนใจพวกนางเลย
ในขณะที่เปียนเฉียวเฉียวหลงอยู่ในห้วงความคิด ก็มีเสียงหนึ่งปลุกให้นางตื่นขึ้นจากห้วงความคิดของนาง
“เฉียวเอ๋อ เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” สีเป่ยเซียะถามขึ้น
“องค์หญิง นายท่านอยู่ในสวนด้านหลัง!” เปียนเฉียวเฉียวรีบตอบกลับ
“ไปรายงานกับเจ้านายของเจ้าให้ข้าที ว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเขา” สีเป่ยเซียะพูดขึ้นพลางส่งยิ้มให้นาง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาของเปียนเฉียวเฉียวสว่างขึ้น จากนั้นนางยืนขึ้นอย่างเร่งรีบและพูดว่า “องค์หญิงโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานให้นายท่านทราบเดี๋ยวนี้”
นางมีข้ออ้างที่จะได้เข้าไปเห็นหลิงตู้ฉิงอีกครั้งแล้ว
หลังจากเข้าไปในสวนด้านหลัง เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังยุ่งอยู่กับการหลอมโอสถ นางจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นายท่าน องค์หญิงมีเรื่องจะคุยกับท่าน ท่านต้องการเชิญนางเข้ามาหรือไม่?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ให้นางเข้ามา”
เปียนเฉียวเฉียววิ่งออกไปและพาสีเป่ยเซียะเข้ามาในสวน
สีเป่ยเซียะไม่แปลกใจที่เห็นหลิงตู้ฉิงกำลังหลอมโอสถ นางถามว่า “เจ้ากำลังหลอมโอสถชนิดใด?”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “ข้ากำลังหลอม โอสถเพลิงหยวน”
สีเป่ยเซียะถามไปอย่างนั้น แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าหลิงตู้ฉิงจะตอบจริง ๆ
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเกี่ยวกับชื่อของโอสถที่หลิงตู้กล่าวมาและเมื่อนางเองก็ไม่รู้ว่าโอสถเพลิงหยวนมีไว้เพื่ออะไร นางจึงไม่ได้สนใจมันอีก นางจึงพูดขึ้นต่อว่า “ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าเห็นด้วยกับข้อตกลงที่ท่านเคยเอ่ยมาก่อนหน้านี้”
ดวงตาของหลิงตู้ฉิงสว่างขึ้นทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองสีเป่ยเซียะและถามว่า “ตอนนี้เจ้าได้นำ แร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์ ติดตัวมาด้วยรึเปล่า?”
สีเป่ยเซียะพยักหน้าและหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งที่มีขนาดเท่าเล็บมือออกมา ซึ่งมีแสงหลากสีอันงดงามเปล่งประกายออกมา
หลิงตู้ฉิงมองไปที่มันและพยักหน้าอย่างมีความสุข “คุณภาพดีมาก ข้าจะให้ผลึกวิญญาณเพิ่มแก่เจ้าตามจำนวนที่ข้าเคยตกลงกับเจ้าไป!”
“ขอบคุณ!” สีเป่ยเซียะหัวเราะ
การได้รับผลึกวิญญาณเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง
“จากที่ข้าสังเกต เจ้ากำลังจะทะลวงไปยังระดับรู้แจ้งใช่รึเปล่า?” หลิงตู้ฉิงมองประเมินสีเป่ยเซียะและพูดขึ้น
สีเป่ยเซียะตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใช่แล้ว ด้วยผลึกวิญญาณจำนวนมาก จิตวิญญาณของข้าก็พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ตอนนี้ข้าจึงกำลังเตรียมการที่จะทะลวงไปยังระดับรู้แจ้ง”
นางไม่สงสัยอีกต่อไปว่า หลิงตู้ฉิงสามารถมองทะลุระดับการบ่มเพาะของนางได้อย่างไร เพราะตอนนี้นางค่อนข้างมั่นใจว่าหลิงตู้ฉิงต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่กลับมาเกิดใหม่แน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงที่ว่าเขาสามารถใช้สุดยอดวิชากระบี่ เช่น วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ ที่มาของเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“เจ้าคงจะไม่มีปัญหาอะไรในการทะลวงไปยังระดับรู้แจ้ง” หลิงตู้ฉิงประเมิน “อย่างไรก็ตามความเข้าใจของเจ้าที่มีต่อกฎในระดับนักบุญนั้นยังไม่ละเอียดถี่ถ้วนนัก และไม่เพียงแค่เท่านั้นเจ้ายังไม่เข้าใจวิชาลับของสำนักเจ้าที่มีผลต่อสายเลือดของเจ้าอย่างถ่องแท้ ซึ่งมันอาจส่งผลต่อการพัฒนาในอนาคตของเจ้า”
สีเป่ยเซียะพูดด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว “ฟังท่านพูด เหมือนว่าท่านจะรู้วิธีฝึกของสำนักเบญจธาตุเป็นอย่างดีเลยสินะ?”
“ที่ข้ารู้มันก็แค่เรื่องสองเรื่องเท่านั้นน่ะ” หลิงตู้ฉิงพูด
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าท่านเรียนรู้วิชาของสำนักเบญจธาตุของเรามาจากไหน? หรือว่าท่านจะเคยเป็นผู้อาวุโสของสำนักเราในอดีต?” สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยแววตาสงสัย
หลิงตู้ฉิงหยุดคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรอกว่าข้ารู้ได้อย่างไร”
เนื่องจากตอนนี้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากหลิงตู้ฉิงเอ่ยออกมาว่าเขาเคยสังหารบรรพบุรุษของนางเพื่อชิงวิชามา ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะได้กลายเป็นศัตรูต่อกันทันที
ถึงแม้ว่าเรื่องราวมันจะผ่านมานานมากแล้ว แต่เวลามันก็ไม่สามารถช่วยให้ความขุ่นเคืองลดลงได้หากนางรู้เรื่องเข้า
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะพูดถึงวิชาเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้บอกที่มาของมัน
ตราบใดที่เขาไม่พูดอะไรก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้รับวิชาเหล่านี้มาได้อย่างไร
“แล้วเจ้าบอกได้ไหมว่าข้ายังมีข้อบกพร่องที่ตรงไหน?” สีเป่ยเซียะถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
หลิงตู้ฉิงมองไปที่สีเป่ยเซียะและพูดว่า “ระดับการบ่มเพาะของข้ายังไม่สูงพอ ข้าจึงยังไม่สามารถแสดงให้เจ้าเห็นได้ และอีกอย่างพวกเราสองคนเป็นเพียงแค่คู่ค้ากัน ดังนั้นข้าจะไม่แสดงมันให้เจ้าเห็นเห็นเปล่า ๆ หรอกนะ”
“ขี้เหนียว!” สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะโต้กลับ
หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ามีความหวัง “จากที่ท่านพูด ถ้าข้าจ่ายราคาให้อย่างเหมาะสมและท่านเองก็มีความสามารถเพียงพอ ท่านจะแสดงให้ข้าดูได้ใช่ไหม?”
“ใช่!” หลิงตู้ฉิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
สีเป่ยเซียะยืดหลังของนางทันทีและโบกมือ “ถ้าอย่างนั้นบอกข้ามาว่าราคาเท่าไหร่ที่ข้าต้องจ่ายเพื่อที่ท่านจะยอมแสดงมันให้ข้าเห็น ส่วนเรื่องความสามารถข้าคิดว่าคนอย่างท่านที่สามารถใช้วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ได้นั้นจะต้องมีวิธีการที่จะแสดงมันให้ข้าดูได้อยู่แล้ว ถูกต้องไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเจ้าตกลงที่จะทำสัญญากับข้าและยอมรับเงื่อนไขของข้าอีกข้อหนึ่ง ข้าสามารถแสดงให้เจ้าเห็นได้แน่นอน แต่ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะเป็นภรรยาของข้า ปัญหาของเจ้าข้าจะแก้มันให้โดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องทำข้อตกลงอะไรกับข้าเลย”
เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ ขอให้เขาหาผู้หญิงเพิ่ม แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างรำคาญ แต่เขาก็ยังต้องพยายามยอมรับมันให้ได้
สีเป่ยเซียะตะคอก “เจ้ามีภรรยาอยู่แล้วตั้งหลายคนแล้วนี่ เจ้ายังจะมาคิดอกุศลกับข้าอีกงั้นเหรอ? ข้าไม่ใช่หญิงชาวบ้านธรรมดาที่จะตกหลุมรักใครง่าย ๆ หรอกนะ!”
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “นี่เจ้าหมายถึงว่าเจ้าจะไม่มีวันมีความปรารถนาในแบบหญิงและชายเลยงั้นเหรอ?”
สีเป่ยเซียะที่ได้ยินเช่นนี้กลับรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ไอ้คนบ้านี่กำลังล้อนางเล่นอยู่งั้นเหรอ?
ไอ้คนหน้าไม่อายคนนี้สามารถพูดเช่นนี้กับนางโดยใช่สีหน้าจริงจังขนาดนี้ได้ยังไง?
นางสบถด่าในใจอยู่หลายครั้งก่อนที่จะพูดว่า “ช่างมัน! ข้าไม่อยากจะรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว ข้าขอตัว!”
Related