บทที่ 369 พบกับตัวตนในตำนาน
ขณะที่อี้ลั่วเอ๋อกำลังจะถูกดูดเข้าไปในประตูสีดำทมิฬ ประตูทั้งบานก็พังทลายลงและผีเสื้อที่บินอยู่เต็มท้องฟ้าทั้งหมดก็หายไปเผยให้เห็นร่างของหลิงตู้ฉิง
อี้ลั่วเอ๋อ ซึ่งเมื่อครู่กำลังจะผ่านเข้าไปในประตูตอนนี้เมื่อประตูหายไปนางก็ได้ล่วงลงมาอยู่ในอ้อมแขนของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงโอบอี้ลั่วเอ๋อ ขณะที่เขาจ้องมองนางและพูดว่า “เจ้าต้องการเรียนรู้มันไหม?”
อี้ลั่วเอ๋อพยักหน้า ทันใดนั้นนางก็หยุดและมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความสับสน “เดี๋ยวนะ! นี่มันไม่ถูกต้อง มีเพียงบรรพบุรุษของข้าเท่านั้นที่รู้วิชานี้และไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้วิชานี้อีกหลังจากบรรพบุรุษของข้าตายไป นี่ท่านเรียนรู้มันมาได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับ “สาเหตุที่บรรพบุรุษของเจ้าสามารถสร้างวิชานี้ได้นั่นก็เป็นเพราะข้า ส่วนปีกเทพแห่งการทำลายล้างของเผ่าเจ้าก็เป็นข้าที่สร้างมันขึ้นมากับมือ ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วรึยังว่าข้ารู้วิชาของพวกเจ้าได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อี้ลั่วเอ๋อมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเหม่อลอย และทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงแทบเท้าของหลิงตู้ฉิง และร้องไห้ออกมา “ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นท่านนั่นเอง ท่านกลับมาหาพวกเราแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงพยุงอี้ลั่วเอ๋อ และพยักหน้า “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว!”
“หลายปีที่ท่านจากไป ชะตาของเผ่าภูตนางฟ้าของเราขมขื่นจริง ๆ!” อี้ลั่วเอ๋อคร่ำครวญ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากบรรพบุรุษของพวกเราจากไปด้วยอีกคน ผู้คนมากมายก็ยิ่งข่มเหงเผ่าภูตนางฟ้าของเรามากขึ้น”
“หากไม่ใช่เพราะ ปีกเทพแห่งการทำลายล้าง ที่ท่านและบรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ให้ เผ่าภูตินางฟ้าของเราป่านนี้ก็คงจะถูกใครบางคนทำลายล้างไปหมดแล้วก็ได้ ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว ข้าขอวิงวอนได้โปรดช่วยเผ่าภูตินางฟ้าของเราด้วย!”
“แน่นอน” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
อี้ลั่วเอ๋อไม่สามารถเก็บความสุขของนางได้และพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ลั่วเอ๋อ ขอเป็นตัวแทนเผ่าภูตินางฟ้าขอบคุณนายท่านก่อน!”
เมื่อพูดจบนางก็เดินถอยหลังไป 2-3 ก้าว จากนั้นนางจึงคุกเข่าลงคำนับหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ในอดีตบรรพบุรุษของเราได้ติดตามท่านและจารึกชื่อเสียงอันโด่งดังไว้ในมหาพิภพไร้จุดจบ วันนี้ข้าขอวิงวอนให้ท่านอนุญาตให้ลั่วเอ๋อได้เดินตามรอยเท้าบรรพบุรุษ โดยการได้ติดตามท่าน ข้าหวังว่านายท่านจะไม่ดูถูกระดับการบ่มเพาะอันต่ำต้อยของลั๋วเอ๋อ และรับลั่วเอ๋อ เข้าเป็นศิษย์เพื่อที่ในอนาคตลั๋วเอ๋อจะได้ร่วมต่อสู้เคียงข้างกับท่านในมหาพิภพไร้จุดจบจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่นี่มันดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของเจ้านั้นน่าจะมีใครบางคนจงใจสร้างเรื่องขึ้น ซึ่งมันน่าจะเป็นการชดเชยรูปแบบหนึ่ง”
“นายท่านหมายความว่าอย่างไร?” ลั๋วเอ๋องงงวย
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและไม่ได้ขยายความอะไรต่อ
ตอนนี้เขาค่อย ๆ เริ่มเข้าใจว่าการมาเยือนเมืองหยูหลันของเขาอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่เจ้าต้องลืมเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว” หลิงตู้ฉิงพูดกับอี้ลั่วเอ๋อ “สิ่งที่เจ้าต้องจำไว้ก็คือวิชาที่ข้าได้ถ่ายทอดให้เจ้าก็พอแล้ว”
ทันทีที่เขาพูดจบ อี้ลั่วเอ๋อก็ถูกขับออกจากห้วงแห่งความฝัน
เมื่ออี้ลั่วเอ๋อตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของหลิงตู้ฉิง นางจำคำพูดที่พวกเขาได้คุยกันไม่ได้อีกต่อไป นางจำได้เพียงว่าหลิงตู้ฉิงได้ถ่ายทอดสุดยอดวิชาของเผ่าภูตินางฟ้าของนางที่บรรพบุรุษของนางเคยได้ใช้
อย่างไรก็ตามแม้ว่านางจะลืมเนื้อหาของบทสนทนาทั้งหมด แต่นางก็รู้สึกได้ว่าหลิงตู้ฉิงนั้นมีความผูกพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนางและเผ่าภูตนางฟ้าของนางมาก
ส่วนจะใกล้ชิดสักแค่ไหนนั้นนางไม่แน่ใจ
แต่มันส่งผลให้แม้ว่าตอนนี้นางจะยังอยู่ในอ้อมแขนของหลิงตู้ฉิง แต่อี้ลั่วเอ๋อก็ไม่ได้ดูตื่นตระหนกอีกต่อไป นางกลับโอบแขนรอบคอของหลิงตู้ฉิงแทนและพูดว่า “ต้องขอบคุณนายท่านมากที่ถ่ายทอดวิชาที่สาบสูญมานานให้ข้า นับจากนี้ไป ลั๋วเอ๋อ จะอยู่เคียงข้างและคอยรับใช้นายท่านตลอดไป”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ เจ้าลุกออกไปได้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง อี้ลั่วเอ๋อก็ไม่ได้ลุกขึ้น แต่กลับเปลี่ยนเป็นท่าขึ้นคร่อมเขาแทนและพูดขึ้นด้วยสายตาหวานเยิ้มว่า “นายท่าน ท่านเคยลองกับภูตินางฟ้ามาก่อนรึเปล่า? ถ้าท่านไม่เคยลอง ข้าบอกท่านได้เลยว่าร่างกายของพวกเราเผ่าภูตินางฟ้านั้นสามารถให้ความสุขกับท่านได้มากกว่าหญิงสาวชาวมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ติดเลยเชียวล่ะ”
ตอนนี้ความรู้สึกในใจของนาง นางรู้สึกเพียงแค่ว่านางมีความเคารพต่อหลิงตู้ฉิงอย่างสุดใจ และถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำไมแต่ความรู้สึกนี้มันก็รุนแรงถึงขนาดทำให้นางหวังว่านางจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขาได้
หลิงตู้ฉิงยิ้มและถามว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่?”
อี้ลั่วเอ๋อหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ปีนี้ข้าอายุเกินร้อยปีแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงผลักอี้ลั่วเอ๋อ ออกจากอ้อมกอดของเขาทันที และพูดว่า “เจ้ายังเด็กเกินไป ไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง!”
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ภูตินางฟ้าที่เคยติดตามเขาในอดีตพูดในตอนนั้น
“นายท่าน ข้าอายุ 1,000 ปีแล้ว หากเทียบกันตามอายุขัยของมนุษย์ ข้าก็น่าจะอายุประมาณ 100 ปี”
ถ้าเขานำคำพูดของภูตินางฟ้าตนนั้นมาคำนวณอายุของภูตินางฟ้าที่อยู่ตรงหน้าเขา นางจะมีอายุเท่ากับ 10 ปีของมนุษย์เท่านั้น!
เขาจำได้ว่าถังชี่หยุนเคยสอนเอาไว้ว่า คนเราควรจะทำเรื่องอย่างว่ากันได้ก็ต่อเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเท่านั้น ดังนั้น…ภูตินางฟ้าอายุร้อยปีก็ไม่ควรถูกแตะต้อง!
เด็กเกินไป?
นางก้มหัวลงเพื่อมองหน้าอกของนาง… ร่างกายอันผอมบางของภูตินางฟ้าเทียบไม่ได้กับมนุษย์แน่นอน…ถ้างั้นนางควรจะทำยังไงดี?
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจสิ่งที่อี้ลั่วเอ๋อ คิดและพูดขึ้นต่อ “อันที่จริงข้าต้องการหาผู้ที่ใช้สิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแทนข้ามาตลอด แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ใครคนไหนดี ดังนั้นในเมื่อข้าได้พบกับเจ้าแล้ว ข้าจะมอบหน้าที่ให้เจ้าเป็นคนใช้สิทธิ์ของข้าแทนก็แล้วกัน”
“นายท่านยังมีสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเหลืออยู่อีกงั้นเหรอ?” ดวงตาของอี้ลั่วเอ๋อสว่างขึ้นพร้อมกับเริ่มมีความคาดหวังบางอย่างในใจ
ภายในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับมีอะไรที่ทำให้ร่างกายของข้าใหญ่ขึ้นได้ไหมนะ? หากร่างกายของข้าใหญ่ขึ้นแล้วนายท่านจะสนใจข้ามากขึ้นกว่าเดิมรึเปล่า?
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเจ้าอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 10 เท่านั้น ดังนั้นเจ้าต้องฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อถึงเวลาข้าจะให้เจ้าเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกับเย่ชิงเฉิง ภรรยาของข้า”
“นอกจากนี้เจ้าห้ามเปิดเผยวิชาที่ข้าเพิ่งถ่ายทอดให้เจ้า เว้นแต่ว่าจำเป็นจริง ๆ ไม่เช่นนั้นมันจะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมามากมาย ซึ่งปัญหาที่ตามมาเราอาจจะไม่สามารถจัดการกับมันได้ในตอนนี้”
อี้ลั่วเอ๋อพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วนายท่าน!”
“จงไปตั้งใจฝึกฝนได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
อี้ลั่วเอ๋อหยิบผลึกวิญญาณและจ้องไปที่หลังของหลิงตู้ฉิง ขณะที่เขาจากไปพลางคิดขึ้นในใจ
‘นี่ในระหว่างที่เขาใช้วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์กับข้า เขาใช้มนต์สะกดอะไรกับข้ารึเปล่า? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ข้าได้หลงลืมไป? แต่ในเมื่อดูไปแล้วเขาคงไม่ทำร้ายข้าแน่นอน ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่เขาคงไม่ปฏิเสธข้าแน่นอน และที่สำคัญที่สุดคือเขายังถ่ายทอดวิชาที่หายสาบสูญไปของบรรพบุรุษของข้าให้ด้วย ว่าแต่ทำไมกันนะ? เขาเป็นใครกันทำไมข้าถึงอยากจะมอบตัวเองให้กับเขามากขนาดนี้ แถมข้าอุตส่าห์ทอดสะพานให้ขนาดนั้นแล้วแต่เขากลับไม่สนใจ นี่มันช่างน่าอายจริง ๆ … แต่ก็ช่างมันไปก่อนเถอะ ตอนนี้ข้าต้องฝึกฝนผีเสื้อยมโลกให้สำเร็จเร็วที่สุด ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันใหม่หลังจากกลับออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก็แล้วกัน!’
เมื่อครุ่นคิดในใจจนจบ นางก็ดูดซับผลึกวิญญาณทั้งสองและระดับการบ่มเพาะของนางก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิง หลังจากที่เขาออกมาจากห้องของอี้ลั่วเอ๋อ เขาก็ลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งและนั่งเอนหลังจ้องมองไปบนท้องฟ้าราวกับว่าเขากำลังสนทนากับบางสิ่งที่อยู่เหนือหมู่เมฆขึ้นไป ซึ่งสิ่งที่แอบอยู่ด้านหลังของหมู่เมฆบนท้องฟ้าก็คือดวงจันทร์สีเงินดวงโตที่ตัวราวกับเหมือนว่ามันไม่ต้องการให้ใครเห็นการคงอยู่ของมัน
Related