บทที่ 358 ความพิสดารของอสูรกลืนวิญญาณ
ตามคำสั่งของหลิงตู้ฉิงทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว
พู่กันสีแดงยาว 3 ฟุตปรากฏในมือของลั่วหยุน
พู่กันนี้เป็นหนึ่งในสองอาวุธระดับจักรพรรดิที่ลั่วหยุนมี
จากนั้นลั่วหยุนก็โยนพู่กันของเขาลอยขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นพู่กันเองก็ดูเหมือนว่ามันจะมีชีวิตขึ้นมาทันทีโดยภาพที่ปรากฎขึ้นก็คือ มันบินวนไปวนมาเขียนอักขระต่าง ๆ ลงบนปราการจักรกลสวรรค์
ลั่วหยุนที่โยนพู่กันออกไปแล้วเขาก็แบ่งความสนใจส่วนใหญ่ของเขามุ่งไปที่วิญญาณปีศาจและน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความสนใจก็ไปอยู่ที่คนรอบข้าง เนื่องจากขณะนี้มีฝูงชนอยู่เป็นจำนวนมากที่ติดอยู่ในปราการจักรกลสวรรค์ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่อยู่ในที่นี่ที่ถูกครอบงำโดยวิญญาณปีศาจ
ในขณะเดียวกัน บรรดาศิษย์ของหุบเขาบุปผาอนันต์กว่า 4,000 คนก็ได้เดินออกมาจากมิติของมหาค่ายกลเรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มไปยืนตามตำแหน่งรอบ ๆ สระหยูหลันที่ถูกทำลายจนยับเยินตามที่เคยฝึกซ้อมมาก่อน
ตอนนี้พวกนางไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากจะเชื่อหลิงตู้ฉิงเท่านั้น ไม่งั้นชะตาก็คงไม่พ้นที่จะถูกซือเสี่ยวฮุย หรือวิญญาณปีศาจขอบเขตจักรพรรดิตนนั้นสังหารลงแน่นอน
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของศิษย์หุบเขาบุปผาอนันต์กว่า 4,000 คน สีหน้าของวิญญาณปีศาจก็เปลี่ยนไป
แม้ว่าก่อนหน้านี้ในช่วงที่มันยังอยู่ในผนึกป้องกัน มันก็ยังสามารถรับรู้สถานการณ์ของโลกภายนอกผ่านเมล็ดพันธุ์ปีศาจได้
มันจึงรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงในหุบเขาบุปผาอนันต์อย่างใหญ่หลวง
แม้ว่าในใจของมัน มันจะไม่เชื่อว่าเหล่าหญิงสาวที่อยู่ในหุบเขาบุปผาอนันต์จะสามารถฆ่ามันได้ แต่มันก็ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องฆ่าผู้หญิงพวกนี้ให้หมดให้ได้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น
สายตาของมันจ้องมองไปยังทิศทางที่เหล่าคนของหุบเขาบุปผาอนันต์ยืนอยู่อย่างดุเดือด ส่งผลให้จู่ ๆ บรรยากาศที่อยู่รอบ ๆ พวกนางก็เย็นลงอย่างรวดเร็วจนพื้นที่บริเวณรอบ ๆ เริ่มมีน้ำแข็งเกาะหนาและหิมะก็เริ่มตก
ทันทีที่สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้น ลั่วหยุนก็หยิบอาวุธระดับจักรพรรดิอีกชิ้นของเขาออกมาและวาดวงกลมขึ้นล้อมรอบพื้นที่ที่คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ยืนอยู่ ส่งผลให้เหล่าคนของหุบเขาบุปผาอนันต์รู้สึกว่าโลกของพวกนางถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกทันที
“เจ้ากลัวล่ะสิ?” ลั่วหยุนหัวเราะเยาะ “ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าเหตุผลที่ข้าปล่อยให้เจ้าออกมาได้นั่นก็คือข้าจะฆ่าเจ้า! วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะมาไม้ไหนก็ตาม วันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิตเจ้าแน่นอน!”
ใบหน้าของวิญญาณปีศาจมืดมน ทันใดนั้นกล้วยไม้หยกรอบตัวมันก็เปลี่ยนจากของจริงเป็นภาพมายา
จากนั้นกล้วยไม้มายาเหล่านี้ก็พุ่งเข้าหาผู้คนจากหุบเขาบุปผาอนันต์
“กฎของสวรรค์และโลกไม่สามารถยับยั้งทักษะนี้ของวิญญาณปีศาจได้อย่างสมบูรณ์ ท่านมีวิธีการจัดการกับมันบ้างไหม?” ลั่วหยุนรีบถามหลิงตู้ฉิง
ลั่วหยุนรู้เป็นอย่างดีว่ากล้วยไม้หยกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ปีศาจ และถ้าหากมันได้สัมผัสกับคนของหุบเขาบุปผาอนันต์เมื่อไหร่ คนผู้นั้นจะถูกวิญญาณปีศาจครอบงำทันที
และถ้าหากเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น คนของหุบเขาบุปผาอนันต์จะสามารถสำแดงอำนาจอย่างเต็มที่ได้อย่างไร?
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดขึ้น “ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว ต่อให้กล้วยไม้พวกนั้นจะมีกันกี่ดอกก็ตาม เอาล่ะเจ้าเองที่เป็นวิญญาณเช่นกัน จงซ่อนวิญญาณของตัวเองซะ ข้าจะให้อสูรกลืนวิญญาณจัดการกับพวกมัน!”
ลั่วหยุนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้างุนงง ‘อสูรกลืนวิญญาณคืออะไร?’
อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิง สัตว์ประหลาดปริศนาก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
สัตว์ประหลาดตัวนี้ดูคล้ายกับแมวแต่มันมีขนาดเล็กกว่าและมีตาที่แคบยาว รูม่านตาของมันเป็นสีดำสนิท แต่พวกมันกลับส่องแสงออกมาได้ถึงเจ็ดสี
ซึ่งแน่นอนว่ามันคืออสูรกลืนวิญญาณที่หลิงตู้ฉิงพูดถึง
สิ่งที่แตกต่างจากแมวมากที่สุดก็คือ มันมีเขาแหลมอยู่บนหัวของมัน ซึ่งสามารถปล่อยควันสีดำออกมาจากมันได้
ในขณะที่ควันสีดำได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากเขา ควันสีดำที่น่าพิศวงนั่นก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นภาพที่แปลกประหลาดที่สุดก็บังเกิดขึ้นให้ผู้คนที่ดูสถานการณ์อยู่ได้อ้าปากค้าง เนื่องจากเมื่อควันสีดำสัมผัสกับเมล็ดพันธุ์ปีศาจที่มาในรูปแบบกล้วยไม้หยก กล้วยไม้หยกมันก็กลายของแข็งทันทีและถูกแช่แข็งค้างอยู่บนท้องฟ้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
หลังจากนั้นอสูรกลืนวิญญาณก็กระโจนเข้าหาเมล็ดพันธุ์ปีศาจที่แข็งค้างทันทีราวกับว่ามันเห็นอาหารอันโอชะ และเริ่มที่จะกินพวกมันทีละดอกอย่างรวดเร็ว
“นั่นมันตัวบ้าบออะไรกัน!?” เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ วิญญาณปีศาจถึงกับคร่ำครวญออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมล็ดพันธุ์ปีศาจของมันถูกสร้างขึ้นจากพลังวิญญาณและเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของมันที่มีเจตจำนงปีศาจรวมอยู่ในนั้น ซึ่งโดยปกติแล้วต่อให้มันจะสร้างเมล็ดพันธุ์ปีศาจออกไปเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ มันก็สามารถควบคุมเมล็ดพันธุ์พวกนี้ได้ดั่งใจนึกได้ทุกเมื่อ
แต่ตอนนี้เมื่อเมล็ดพันธุ์ปีศาจสัมผัสกับควันสีดำนั่น มันก็ไม่สามารถควบคุมเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นได้อีกต่อไป แม้ว่ามันจะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเมล็ดพันธุ์ปีศาจ แต่มันก็ไม่สามารถถอนเศษเสี้ยววิญญาณออกมาหรือเคลื่อนไหวอะไรได้
ในเวลานี้ไม่ต้องพูดถึงวิญญาณปีศาจที่ยังคงตกตะลึง เพราะแม้แต่ลั่วหยุนก็รู้สึกเย็นวาบจนหนังหัวชา
เขามีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าในตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่สุดในชีวิตนับหมื่นปีของเขา การดำรงอยู่ของมันแทบจะทำให้เขาไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นที่จะวิ่งหนีได้
“น่ะ…นี่คืออสูรกลืนวิญญาณ…?” เขาพูดกับหลิงตู้ฉิงอย่างประหม่า “มะ…มันมาจากไหน? บะ…บอกมะ…มันว่าอย่าเข้ามาใกล้ข้าเด็ดขาด!”
“ใช่! มันคืออสูรกลืนวิญญาณ!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “มันคือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งดุจดั่งเทพเจ้าเมื่อต่อสู้กับวิญญาณทุกชนิด แต่มันก็มีจุดอ่อนเช่นกันหากมันเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีร่างกายหรือต่อให้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดามันก็ไม่สามารถทำอันตรายร้ายแรงให้ได้ ดังนั้นจงปกปิดวิญญาณของเจ้าซะ และระวังอย่าให้กลิ่นอายวิญญาณของเจ้าเล็ดรอดออกมาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นชะตาของเจ้าก็จะไม่ต่างอะไรจากเหล่าดอกกล้วยไม้พวกนั้น”
“นี่มันยังมีความยุติธรรมอยู่ไหม!” ลั่วหยุนอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึง
ในเวลาเดียวกับที่เขาอุทานด้วยอาการตกตะลึงปนหวาดกลัว ลั่วหยุนก็สร้างกำแพงด้วยอำนาจแห่งเจตจำนงของเขาขึ้นเพื่อแยกพื้นที่ที่เขาอยู่ออกจากโลกภายนอกทันที ส่งผลให้กลิ่นอายของวิญญาณเขาหายไปอย่างไร้ร่องลอยจนหมดจด
หลิงตู้ฉิงตอบกลับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ทำไมถึงจะไม่มีความยุติธรรม? ไม่ใช่ว่ามันไม่สามารถฆ่าคนธรรมดาได้ไม่ใช่เหรอ? และอีกอย่างไอ้เจ้านี่มันก็ต้องตายไปเพราะมีใครบางคนต้องการฆ่ามันเพราะพลังอันพิสดารของมันนี่แหละ”
หลังจากปกปิดกลิ่นอายของวิญญาณตัวเองเรียบร้อย ลั่วหยุนก็พูดด้วยสีหน้าคาดหวัง “ถ้างั้นมันน่าจะฆ่าวิญญาณปีศาจได้ใช่ไหม? ท่านช่วยบอกมันหน่อยได้ไหมว่าให้มันกินช้าลงสักหน่อย ข้าต้องการเห็นสภาพที่น่าสังเวชของวิญญาณปีศาจก่อนที่มันจะตาย”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่วิญญาณปีศาจและพูดขึ้น “เจ้าคิดผิดอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าวิญญาณปีศาจมันไม่ใช่ร่างวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ วิญญาณปีศาจคือความแค้น เศษวิญญาณที่หลงเหลือ พลังชั่วร้าย โลหิตที่โสมม… พลังทุกประเภทรวมถึงสถานที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น เนื่องจากมันไม่ใช่วิญญาณที่บริสุทธิ์ อสูรกลืนวิญญาณจึงไม่สามารถทำอะไรมันได้ ส่วนเมล็ดพันธุ์ปีศาจเหล่านี้ไม่ว่าจะมีเท่าไหร่ มันก็สามารถกินได้ทั้งหมด”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน วิญญาณปีศาจก็รู้ตัวแล้วว่ามันกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
เมล็ดพันธุ์ปีศาจเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากจิตวิญญาณของมัน ถ้าเมล็ดพันธุ์ปีศาจถูกสัตว์ประหลาดกินเช่นนี้ พลังวิญญาณของมันจะไม่เสียไปอย่างสูญเปล่างั้นหรือ?
ดังนั้นมันจึงรีบเรียกเมล็ดพันธุ์ปีศาจกลับมาทั้งหมด
แต่ในขณะที่มันเรียกเมล็ดพันธุ์ปีศาจกลับมา ควันสีดำประหลาดที่อสูรกลืนวิญญาณปลดปล่อยออกมาก็พุ่งตามมาหาตัวมันเช่นกัน ซึ่งภาพเช่นนี้ทำให้วิญญาณปีศาจตกใจเป็นอย่างมากและมันก็รีบใช้ทุกวิธี ความแค้นทุกประเภท พลังปีศาจ พลังวิญญาณตลอดจนกฎของโลกที่ถูกควบคุมโดยเจตจำนงปีศาจของมันเข้าถล่มควันสีดำ
แต่น่าแปลกที่ควันสีดำไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีใด ๆ ควันสีดำนั่นสามารถพุ่งผ่านทุกการโจมตีของมันและเข้าสู่ร่างของวิญญาณปีศาจอย่างง่ายดาย
วิญญาณปีศาจที่คิดว่ามันคงถึงวาระสุดท้ายแล้ว แต่เมื่อควันสีดำสัมผัสกับมัน มันกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แม้ว่าอสูรกลืนวิญญาณจะจ้องมองไปที่วิญญาณปีศาจด้วยดวงตาที่ส่องแสง แต่มันก็ไม่ได้เคลื่อนไหวทำอะไรต่อ
“ฮ่า ๆ ข้าเข้าใจแล้ว สัตว์ประหลาดนี้มุ่งเป้าไปที่วิญญาณเท่านั้น” วิญญาณปีศาจหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “คราวนี้ข้าจะไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ปีศาจอีกแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่สามารถทำอะไรนังผู้หญิงเหล่านั้นได้หรอก! พวกเจ้าจงเบิ่งตาดูอีกกลเม็ดของข้าให้ดี!”
ในขณะที่พูด ร่างของวิญญาณปีศาจก็ขยายตัวออก
เมื่อเก๋อหงเฟยและกู๋เซินหมิง ซึ่งแต่เดิมที่ปฏิบัติตัวกับวิญญาณปีศาจด้วยความเคารพ แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นร่างที่แท้จริงของวิญญาณปีศาจ ใจของพวกเขาก็ดิ่งลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
พวกเขารู้ได้ทันทีว่าตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว!
Related