บทที่ 61 ว่าววิเศษ[รีไรท์]
หลิงตู้ฉิงและโม่หยูถังนำทุกคนในตระกูลหลิงเดินออกจากเมืองฟีนิกซ์ด้วยกันอย่างรวดเร็ว
วันนี้เป็นวันแห่งความสุขที่พวกเขาจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังรวมถึงมี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ย บรรดาบ่าวรับใช้และผู้คุ้มกัน
มี่ไลเป็นคนเดียวที่ท่าทางดูเหมือนแตกต่างกับทุกคน เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ได้นอนหลับมาหลายวันแล้ว
หลังจากที่นางหล่อเลี้ยงต้นไผ่เซียนสวรรค์ได้สำเร็จ นางจึงสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่นางตื่น นางจึงเริ่มนึกถึงความทรงจำคร่าว ๆ ก่อนที่นางจะสลบไป นางจำได้ว่านางวิ่งไปหาหลิงตู้ฉิง ตอนนั้นนางรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ทำงานที่เขามอบหมายให้ได้สำเร็จ แล้วหลังจากนั้นนางจำได้ว่าเขาวิ่งมาพยุงตัวนางและภาพก็ตัดไป
ในตอนที่นางตื่นนางรู้สึกตะลึง “หากว่าข้าสลบไป…เช่นนั้นก็ต้องเป็นเขา…ที่พาข้ามายังห้องนอน” ในตอนนั้นนางรีบเปิดผ้าห่มขึ้นทันทีตรวจสอบเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้ายังเป็นชุดเดิมนางก็โล่งใจปนผิดหวังนิดหน่อย หลังจากนางตื่นได้เพียงครู่เดียว ก็มีเสียงหลิงตู้ฉิงเคาะประตูจากด้านนอกเรียกนางให้เตรียมตัวออกไปข้างนอกกับพวกเขา…
ตัดมาที่ ปัจจุบันกันต่อ…
หลังจากที่มี่ไลรำลึกถึงเรื่องเมื่อวานเสร็จ นางมองไปยังแผ่นหลังของหลิงตู้ฉิงที่เดินนำอยู่ นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่มี่ตั้วตั้วบอกให้นางกระชับความสัมพันธ์กับหลิงตู้ฉิงให้มากที่สุด
นางรู้สึกว่าความคิดพ่อของนางนั้นค่อนข้างน่าอับอาย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายสักเท่าไหร่หรอกมั้ง?
เมื่อนางคิดได้ นางจึงเร่งฝีเท้าเดินตีคู่ไปกับหลิงตู้ฉิง และกระซิบเอ่ยกับเขาว่า “นายท่าน ข้าจะขอติดตามท่านต่อไปได้ไหม?”
“ไม่มีปัญหา” หลิงตู้ฉิงว่า “ข้าต้องขอบใจเจ้าสำหรับการดูแลต้นไผ่เซียนสวรรค์ เจ้าสามารถอยู่เคียงข้างข้าได้เสมอ ในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้รางวัลสำหรับความพยามอย่างหนักในการหล่อเลี้ยงต้นไผ่เซียนสวรรค์ของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง มี่ไลรู้สึกตื่นเต้น นางกัดริมฝีปากของนางและมองไปยังใบหน้าของหลิงตู้ฉิงในขณะที่ตัวสั่น
ในความคิดของนาง ตั้งแต่นางเกิดมานางไม่เคยต้องทำงานหนักเช่นไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ถึงขนาดมีบางครั้งนางคิดอยากจะหนีกลับบ้าน แต่เมื่อนางได้ยินสิ่งที่หลิงตู้ฉิงพูดเมื่อครู่นางจึงเริ่มรู้สึกว่าความพยายามของนางนั้นไม่เสียเปล่าเลย
อย่างไรก็ตาม หลิงตู้ฉิงที่ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย เขาแค่พูดว่า “ไม่กี่วันมานี้ เจ้าไม่ได้พักเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเจ้าต้องพักผ่อนเยอะ ๆ เข้านอนแต่หัววัน ร่างกายของเจ้าจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”
หลังจากพูดเสร็จหลิงตู้ฉิงตบไปที่หลังของมี่ไลเบา ๆ เช่นเดียวกับที่เขาเคยเกลี้ยกล่อมเด็ก ๆ ที่นอนไม่หลับ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงหัวใจของนางเริ่มพองโต ตอนนี้ในหัวของนางเริ่มมีความสับสน นางรู้สึกมีความสุขโดยบอกไม่ถูกกับเพียงคำพูดธรรมดา ๆ ของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงที่กำลังเดินอยู่มองหญิงสาวที่เดินข้างเขาอย่างแปลกประหลาด เขาสัมผัสได้ถึงพลังทางอารมณ์ นี่คือพลังทางอารมณ์อีกอย่างหนึ่งงั้นหรือ?
มี่ไลผู้ซึ่งเดินเคียงข้างไปกับหลิงตู้ฉิงมองดูเขาเป็นครั้งคราว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มของหญิงสาวที่มีความสุข จนคนอื่น ๆ เห็นกิริยาและสีหน้าของมี่ไลได้ชัดเจน
ในทางตรงกันข้าม หลิงตู้ฉิงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของอารมณ์มากนัก
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะพัฒนาเต๋าตู้ฉิงได้สำเร็จแต่มันก็เป็นเพียงทฤษฎีคร่าว ๆ ของอารมณ์เท่านั้น มันไม่ได้หมายถึงว่าเขาจะเข้าใจแก่นแท้ของอารมณ์ต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง แต่แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็สนุกกับมันเพราะตอนนี้ระดับบ่มเพาะของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกแล้ว
หลิวเฟ่ยเฟ่ยที่กำลังมองดูพวกเขาสองคนเริ่มคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่เมื่อวานตอนหลิงตู้ฉิงพามี่ไลกลับไปที่ห้องจะมีอะไรเกิดขึ้น?
ขณะที่ทุกคนเดินมาได้เป็นเวลาสักพัก พวกเขาก็ออกจากประตูด้านทิศใต้ของเมืองฟีนิกซ์และมาถึงบริเวณที่ราบทุ่งหญ้าว่างเปล่า ดวงอาทิตย์ในวันนี้ดีมาก ท้องฟ้าดูสดใสไม่มีเมฆและสายลมเบากำลังพัดโกรก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาว แต่เมืองฟีนิกซ์อยู่ในเขตร้อนชื้น ดังนั้นฤดูหนาวของที่นี่อากาศจึงไม่เย็นมากนัก
นอกจากหลิงตู้ฉิงและครอบครัวของเขายังมีคนอื่นอยู่บริเวณใกล้เคียง
“ไปที่ที่ไกลกว่านี้ ที่ที่มีคนน้อยกว่านี้หน่อย” หลิงตู้ฉิงเอ่ยกับทุกคน
หลิงว่านถิงมองไปยังหลิงตู้ฉิงและถามว่า “ท่านพ่อ ข้าจะฝึกเล่นว่าวได้จริงหรือ?”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างจริงจังว่า “แน่นอน การเล่นว่าวนี้สำคัญมากสำหรับเจ้า เจ้าต้องฝึกเล่นมันให้ชำนาญ”
“ข้าสัญญาว่าข้าจะตั้งใจเล่นมัน!” หลิงว่านถิงพูดอย่างจริงจัง
หลิงไช่หยุนถามขึ้นเช่นกัน “ท่านพ่อ ท่านให้พี่สองเล่นว่าวคนเดียวเองเหรอ แล้วระหว่างนั้นพวกเราจะทำอะไรดี?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “เราก็แค่มองพี่สองของเจ้าเล่นว่าวของนาง”
“นายน้อยทุกท่าน ข้าได้นำเครื่องปิ้งย่างมาด้วย ระหว่างที่คุณหนูรองกำลังเล่นว่าวเราก็สามารถเพลิดเพลินกับการกินอาหารเลิศรสได้” โม่หยูถังหัวเราะ
“ปู่โม่ ดีที่สุดเลย!” หลิงไช่หยุนพูดอย่างมีความสุข
หลิงตู้ฉิง หยุดเดินหลังจากที่เห็นว่าบริเวณรอบ ๆ ไม่มีคนอื่นแล้วนอกจากกลุ่มของเขา
“ว่านถิง ถึงเวลาที่เจ้าต้องเริ่มบ่มเพาะแล้ว รีบมาเอาว่าวไปสิ” หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างมีเลศนัยและหยิบว่าวออกมาจากแหวนมิติยื่นให้หลิงว่านถิง
หลิงว่านถิงที่กำลังมีความสุข นางไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มของหลิงตู้ฉิงเลยว่ามันแปลกไป อันที่จริงหากนางสังเกตดี ๆ รอยยิ้มของหลิงตู้ฉิงตอนนี้มันเหมือนกับรอยยิ้มตอนที่หลิงตู้ฉิงแสดงออกมาตอนที่ต้มยาให้พี่ใหญ่ของนางหรือแม้กระทั่งตอนน้องเล็กของนางโดนจับกดน้ำ!!
หน้าตาของหลิงว่านถิงตอนนี้สนุกสนานเบิกบานเป็นอย่างมาก เมื่อได้รับว่าวมาแล้ว นางลูบคลำมันอย่างมีความสุขและวิ่งไกลออกเพื่อที่จะเล่นมัน
ส่วนคนตระกูลหลิง คนอื่น ๆ ก็กำลังสนุกสนานกับการเริ่มตั้งวงเตรียมทำบาร์บีคิวกินกันอย่างเพลิดเพลิน
พวกเด็ก ๆ ทุกคนต่างก็ไม่ได้สนใจที่จะเล่นว่าวสักเท่าไหร่ พวกเขาล้วนคิดว่า ‘ก็แค่วิ่งเล่นว่าวไปมา แค่นั้นมีอะไรให้น่าสนใจกัน มันไม่สำคัญเท่ากับมื้อพิเศษที่กำลังจะเตรียมตรงหน้านี้หรอก’
ขณะนี้จึงมีเพียงหลิงว่านถิงเท่านั้นที่รู้สึกมีความสุขที่จะได้เล่นว่าว ระว่างที่นางเล่น นางค้นพบว่าสายป่านของว่าวค่อนข้างสั้นเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น และมันก็หนาไปหน่อย ความหนาของมันขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือและมีห่วงสำหรับมือจับอยู่ส่วนท้าย
หลิงว่านถิงคิดว่าการควบคุมสายป่านว่าวเส้นใหญ่ขนาดนี้มันค่อนข้างยากไปสักหน่อย แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ นางเริ่มกระตุกห่วงที่จับและใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมว่าว
แต่ด้วยแรงลมที่อ่อนโยน ว่าวที่ไม่น่าจะลอยขึ้นได้ง่าย ๆ ก็เริ่มลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงขึ้นและสูงขึ้น…
และด้วยพลังของว่าวที่มีมากจนเกินไป หลิงว่านถิงที่กำลังจับสายป่านว่าวอยู่ก็ถูกยกลอยขึ้นโดยไม่ยินยอม
นางอยากปล่อยสายป่านว่าวแทบใจจะขาด แต่สายป่านของว่าวนั้นราวกับว่ามีชีวิตมันมัดมือของหลิงว่านถิงไว้แน่นจนนางไม่สามารถหลุดจากมันได้
ว่าวเองก็ดูราวกับว่ามันมีจิตสำนึก มันยิ่งลอยสูงขึ้นไปอีกบนท้องฟ้าในพริบตาเดียวก็ลอยจนห่างพื้นดินราว ๆ 7-8 เมตร
หลิงว่านถิงตะโกนแหกปากด้วยความกลัว “ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!!”
หลิงตู้ฉิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วตะโกนว่า “นี่มันแย่มาก! ว่านถิงลูกโง่รึไงทำไมไม่ปล่อยเชือกไป?”
ขณะที่หลิงตู้ฉิงจบประโยคว่าวในอากาศก็ลอยวนเป็นวงกลม ส่งผลให้สายป่านรัดตัวนางไว้ทั้งตัวอย่างแน่นหนา
ครั้งนี้ถึงแม้ว่าสายป่านที่มัดมือจะคลายออก หลิงว่านถิงก็ไม่สามารถที่จะหลุดไปจากว่าวได้แน่นอน
“ท่านพ่อ ช่วยด้วยยย!!!” หลิงว่านถิงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ ว่า “พ่อบินไม่ได้ พ่อช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ว่านถิงเจ้าจงคิดหาวิธีทำให้ว่าวบินลงมาให้ได้! พยายามเข้านะ ทุกคนรอเจ้ากลับมากินบาร์บีคิวอยู่!”
“ช่วยด้วยยยยย…อ๊า!!!” เสียงของหลิงว่านถิงเบาลงไปเรื่อย ๆ ว่าวได้ลอยขึ้นไปหลาย 10 เมตรแล้ว จนท้ายที่สุดก็มองเห็นนางได้เพียงแค่จุดดำเล็ก ๆ บนฟ้า
หลิงไช่หยุนและหลิงยู่ชานมองดูหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแปลก ๆ
หลิงฟ่างหัวกลอกตาและพูดว่า “ท่านพ่อ พี่รองคงกลัวมากแน่ ๆ ตอนนี้…”
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “นางบอกเองว่าต้องการฝึกฝนใช่รึเปล่าล่ะ?”
“นายท่าน เราควรตามคนมาช่วยคุณหนูรองหรือไม่? สูงขนาดนั้น…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนูรองมันคงไม่ดีแน่” มี่ไลพูดอย่างเร่งรีบ
หลิงตู้ฉิงโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เดี๋ยวนางก็กลับมา”
อย่างไรก็ตาม การเล่นว่าวของหลิงว่านถิงแน่นอนว่าเกี่ยวกับการปลุกร่างกายวิถีนภาครามของนางเอง หลิงต้องการให้หลิงว่านถิงขึ้นไปอยู่บนฟ้า เพื่อดูดซับพลังแห่งนภา…