บทที่ 359 ร่างที่แท้จริงของวิญญาณปีศาจ
เมื่อร่างของวิญญาณปีศาจขยายออกจนสมบูรณ์ ทุกคนก็ได้เห็นรูปลักษณ์แท้จริงที่แปลกประหลาดของมัน ซึ่งภาพที่เห็นมันแทบจะทำให้หัวใจของทุกคนแทบจะหยุดเต้น
เดิมทีในตอนแรกรูปร่างของวิญญาณปีศาจนั้นดูคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่ตอนนี้มันดูไม่เหมือนมีอะไรเกี่ยวข้องกับมนุษย์เลย
รูปลักษณ์ของมันในตอนนี้กลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวสูงราว 30 เมตร มันมีหัวถึงเก้าหัว สามหัวเป็นหัวมนุษย์ แต่ถึงแม้ว่าทั้งสามหัวนั้นจะมีรูปลักษณ์เป็นศีรษะมนุษย์ แต่สภาพของมันแต่ละหัวกลับไม่สมบูรณ์ราวกับว่ามีใครเคยใช้อาวุธสับหัวเหล่านี้จนแหว่งหายไปครึ่งบ้าง แหว่งไป 1 ใน 3 ส่วนบ้าง ส่วนบรรดาหัวที่เหลืออยู่หัวหนึ่งคือหัวของวัว หัวหนึ่งเป็นหัวของงู อีกหัวเป็นอีกา หนึ่งหัวเป็นช้าง หัวหนึ่งเป็นของโกเลมหินและอีกหัวเป็นเหมือนกับพุ่มไม้ขนาดยักษ์ แต่มีดวงตาสองดวงอยู่ด้านใน
นอกจากที่มันจะมี 9 หัวที่แปลกประหลาดแล้วยังมี 18 ขา และ 18 แขน
ร่างที่แปลกประหลาดและน่าสยดสยองตนนี้คือร่างที่แท้จริงของวิญญาณปีศาจ
ในเวลานี้ผู้คนจากสันเขาทรราชและสำนักน้อยใหญ่อื่น ๆ เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้พวกเขาต่างพากันสูดหายใจลึก
“มันคือวิญญาณปีศาจ!” เทียนหยูเฮงอุทานขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “วิญญาณปีศาจระดับนี้การโจมตีปกติธรรมดาไม่สามารถจัดการกับมันได้แน่นอน สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือผนึกมันไว้ตลอดกาลเท่านั้น ทุกคนจงเตรียมตัวออกจากที่นี่ทันที!”
หนานกงซ่งหยวน แห่งตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ถอนหายใจเช่นกัน “วิญญาณปีศาจตนนี้แข็งแกร่งเกินไป ต่อให้เราจะใช้พลังธาตุแสงของเรามันก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก ทุกคน! เตรียมพร้อมออกจากที่นี่!”
ในใจของหนานกงซ่งหยวนเริ่มวิตกกังวล และต้องการไปจากที่นี่พร้อมกับผู้คนของเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาติดอยู่ใน ‘ปราการจักรกลสวรรค์’ เขาคงจะพาคนของเขาออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เห็นวิญญาณปีศาจเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันแล้ว
ท่ามกลางเหล่าผู้คนที่กำลังตื่นตระหนก อาจพูดได้ว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่สนใจกับความน่ากลัวของวิญญาณปีศาจ
หนึ่งในนั้นคือ ลั่วหยุน เพราะเขาเคยเห็นวิญญาณปีศาจมานานแล้ว และอีกคนหนึ่งคือหลิงตู้ฉิง เนื่องจากหลิงตู้ฉิงรู้อยู่แล้วว่าวิญญาณปีศาจมีลักษณะเป็นอย่างไร ขณะนี้ไม่เพียงสีหน้าหลิงตู้ฉิงจะไม่มีอาการตื่นตระหนก แต่เขากลับแสดงสีหน้ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“จิตวิญญาณปีศาจที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ หากได้รับการชำระจนเหลือแต่พลังวิญญาณบริสุทธิ์สักหน่อย ยู่ชานกับเหมิงลู่จะต้องดีใจมากแน่นอน!” หลิงตู้ฉิงพึมพำกับตัวเอง
“ด้วยพลังวิญญาณที่มากมายขนาดนี้ ต่อให้ข้าจะแบ่งมันกับคนอื่นและเหลือเก็บไว้กับตัวเองแค่เพียงครึ่งเดียว มันก็คงจะเพียงพอที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณของยู่ชานและเหมิงลู่ได้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว”
“และเมื่อจิตวิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น เส้นทางการบ่มเพาะในอนาคตของพวกเขาก็จะราบรื่นขึ้นตามมา แถมพวกเขายังสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้นและการทักษะการควบคุมกฎของสวรรค์และโลกก็จะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเป็นอย่างมาก”
ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงยังคงคำนวณผลประโยชน์ที่เขาจะได้จากวิญญาณปีศาจ
ในตอนนี้เมื่อวิญญาณปีศาจได้ค้นพบวิธีหลีกเลี่ยงการโจมตีของอสูรกลืนวิญญาณแล้ว มันจึงเผยร่างอันแท้จริงของมันพร้อมกับส่งเสียงคำรามปลดปล่อยคลื่นพลังปีศาจที่เต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งความแค้นและการสังหาร กวาดไปยังทิศทางที่คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ยืนอยู่
แต่ก่อนที่คลื่นพลังเจตจำนงปีศาจนี้จะไปถึงตัวเหล่าผู้คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ มันกลับแผ่ไปปกคลุมบรรดาคนของอารามนวดารา สำนักอักขระวิญญาณและผู้คนที่อยู่ใกล้พวกเขาด้วยเช่นกัน ส่งผลให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับต่ำกว่านักบุญที่หนีไม่ทันถูกดูดพลังวิญญาณไปจนหมด จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
เก๋อหงเฟยและกู๋เซินหมิงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดเมื่อพวกเขาเห็นศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ใต้ขอบเขตนักบุญถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
“สวรรค์! นี่ข้าเพิ่งทำอะไรลงไป! ข้าปล่อยมันออกมาได้ยังไง? ข้าไปช่วยมันให้ออกมาได้ยังไง!?” กู๋เซินหมิงตะโกนร่ำร้องพลางแหงนมองฟ้า
ในขณะเดียวกัน เก๋อหงเฟยก็มองไปยังภาพอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย ตอนนี้วิญญาณปีศาจลงมือฆ่าล้างเหล่าศิษย์ทั้งระดับบนและระดับล่างไปจนแทบหมดสำนักเช่นนี้ ในอนาคตสำนักของเขาจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร?
พวกเขาทั้งหมดได้แต่รู้สึกเสียใจจนแทบเจียนตาย จากที่พวกเขาคิดว่าจะได้พบกับผู้สนับสนุนอันแข็งแกร่ง แต่มันกลับกลายเป็นพวกเขาได้ปลดปล่อยตัวหายนะออกมาแทน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเก๋อหงเฟย เขามองไปที่หนิวฮ่าวตงที่กำลังส่งสายตาอาฆาตมายังเขา โดยที่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรกับสหายเก่าผู้นี้สักคำ
เขารู้ตัวดีว่าเขาผิดเต็ม ๆ สำหรับเรื่องนี้ที่เขาเป็นผู้ลากหนิวฮ่าวตงมาเผชิญกับหายนะเช่นนี้ ตอนนี้เขาจึงไม่รู้จะสรรหาคำใด ๆ มาแก้กับความผิดที่เขาได้ก่อให้กับทั้งตัวเองและสหายเก่าของเขาผู้นี้
นั่นเป็นเพราะอารามนภากระจ่างของหนิวฮ่าวตงก็เสียหายอย่างหนักเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเผชิญกับความสูญเสียขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร เนื่องจากพวกเขาทุกคนต่างกลัวว่าหากพวกเขาพูดอะไรออกไป วิญญาณปีศาจอาจไม่พอใจและฆ่าล้างพวกเขาต่อจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ในเวลานี้ในใจของพวกเขาต่างก็อยากที่จะเห็นหลิงตู้ฉิง ลั่วหยุนและผู้คนฝั่งตรงข้าม คิดหาวิธีฆ่าวิญญาณปีศาจนี้ให้ได้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับวิญญาณปีศาจที่ถือครองเจตจำนงแห่งความแค้นและการสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ ตัวของลั่วหยุนเองก็ไม่มีแผนใด ๆ ถ้าเขามีหนทางก่อนหน้านี้เขาก็คงไม่จำเป็นต้องเสียสละร่างกายของตัวเองเพื่อปิดผนึกวิญญาณปีศาจเอาไว้หรอก
“ท่านมีวิธีจัดการกับมันจริง ๆ ใช่ไหม?” ลั่วหยุนถามหลิงตู้ฉิง “ถ้าเราปล่อยให้มันใช้เจตจำนงแห่งความแค้นและการสังหารของมันไปเรื่อย ๆ คนของหุบเขาบุปผาอนันต์จะต้องถูกกำจัดจนหมดไปด้วยแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงตอบ “ข้าพูดกับเจ้าไปแล้ว เจ้ามีหน้าที่ห่วงแค่เรื่องการป้องกันการโจมตีทางกายภาพของมันเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
หลังจากสิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิง กลุ่มสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่บริเวณสระหยูหลัน พร้อมกับการปรากฎตัวขึ้นของสัตว์ประหลาดอีกตัว
“นายท่าน ข้ามาแล้ว!” โม่เอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ในตอนนี้นางได้ใช้งานยันต์เคลือบหยกที่มีรูปวัวอัสนีวาดอยู่ด้านในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งวัวอัสนีที่ปรากฏตัวขึ้นก็มีระดับพลังอยู่ที่ระดับเหนือล้ำเช่นเดียวกับระดับการบ่มเพาะของนางที่เป็นผู้อัญเชิญมันออกมา
ในขณะเดียวกับที่วัวอัสนีปรากฏตัวขึ้น กลุ่มสายฟ้าอันรุนแรงก็เริ่มแผ่ขยายออกกลายเป็นทะเลสายฟ้าขั้นกลางอยู่ระหว่างบรรดาคนของหุบเขาบุปผาอนันต์และคลื่นพลังเจตจำนงของวิญญาณปีศาจ ส่งผลให้คลื่นพลังเจตจำนงที่อัดแน่นไปด้วยความแค้นและการสังหารสลายหายกลายเป็นควันทันทีเมื่อปะทะดับทะเลสายฟ้า
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “โม่เอ๋อ เจ้าสอนบทเรียนให้มันหน่อย จงทรมานมันให้มันรู้ว่าอย่าได้มากำแหงกับเรา”
“ได้เลยนายท่าน!” โม่เอ๋อหัวเราะ จากนั้นนางก็ควบคุมวัวอัสนีทันที
ด้วยการควบคุมของโม่เอ๋อ วัวอัสนีก็หยุดลอยอยู่กลางอากาศและปลดปล่อยสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากร่างของมันให้พุ่งเข้าหาวิญญาณปีศาจ
เดิมทีวิญญาณปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหยินที่กำเนิดมาจากความชั่วร้าย และเมื่อมันต้องมาเจอกับวัวอัสนีที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้า ซึ่งพลังสายฟ้านี้ก็เป็นที่รู้กันดีว่ามันคือของแสลงสำหรับบรรดาปีศาจอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าปะทะใส่ร่างของวิญญาณปีศาจ ควันสีดำก็ปรากฏขึ้นทั่วทุกบริเวณของร่างกายของมันที่ต้องกับสายฟ้า ซึ่งทำให้วิญญาณปีศาจกรีดร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่นางโม่เอ๋อ เจ้าทำได้เยี่ยมมาก! ข้าสัญญาว่าหลังจากนี้ข้าจะตอบแทนเจ้าให้อย่างงาม!” ลั่วหยุนหัวเราะเสียงดัง
ตราบใดที่วิญญาณปีศาจต้องทุกข์ทรมาน ตราบใดที่วิญญาณปีศาจไม่มีความสุข ลั่วหยุนย่อมมีความสุข
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสายฟ้าของวัวอัสนีจะสามารถทำร้ายวิญญาณปีศาจได้ แต่ระดับพลังของมันยังต่ำเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่สามารถสังหารวิญญาณปีศาจลงได้ มันทำได้แค่เพียงสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเพียงเท่านั้น
เนื่องจากไม่ว่าจะอย่างไรวิญญาณปีศาจตนนี้ก็อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิที่แท้จริง!
วิญญาณปีศาจที่กำลังส่งเสียงร้องโหยหวน ขณะนี้มันเริ่มเปล่งอำนาจของเจตจำนงของมันให้อยู่ในระดับสูงสุดเพื่อป้องกันสายฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากวัวอัสนีอย่างสุดฤทธิ์
“ได้! ในเมื่อพวกเจ้าอยากรนหาที่ตายนัก งั้นข้าก็จะสังหารพวกเจ้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ให้หมด!” วิญญาณปีศาจคำราม
หลังจากวิญญาณปีศาจพูดจบ หัวของมันทั้งเก้าหัวก็เริ่มสวดมนต์พร้อมกับมือทั้งสิบแปดของมันก็ทำมุทราขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ส่งผลให้จู่ ๆ ตัวอักษรโบราญสีดำทมิฬนับร้อยเริ่มพลั่งพรูออกมาจากปากทั้งเก้าของมันและพุ่งเข้าหาพวกของหลิงตู้ฉิง โม่เอ๋อ และเหล่าคนของหุบเขาบุปผาอนันต์ทันที
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ สีหน้าของลั่วหยุนก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบโบกอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิในมืออย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีอักขระสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขา ซึ่งมันก็คือวิชาที่มีชื่อเสียงของเขา “วิชาพิรุณวายุแปดทิศ”
แต่ด้วยประเด็นที่ตอนนี้เขาเหลือเพียงแค่ดวงจิตเท่านั้น ทุกครั้งที่เขาใช้วิชาของตนเองมันจะส่งผลให้วิญญาณของเขาต้องเสียหายอย่างหนัก
อย่างไรก็ตามในเวลานี้เขาไม่ได้สนใจความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาในภายหลังอีกต่อไป ตอนนี้เขารู้แค่ว่าเขาต้องฆ่าปีศาจวิญญาณให้ได้
และมันไม่ใช่แค่การฆ่ามันเท่านั้น แต่นี่มันยังหมายถึงการชำระแค้นที่เขาเฝ้ารอมานานแสนนาน!