บทที่ 370 โทษของการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรปีศาจ
หลังจากผ่านเหตุการณ์ศึกวิญญาณปีศาจ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหยูหลันก็รู้สึกได้ว่าเมืองหยูหลันดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
แม้ว่าที่ผ่านมาทุกคนจะมีงานยุ่ง แต่ก็มีความรู้สึกเครียดอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นกลับหายไป
แต่ก็ยังมีคนกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังคงรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับต่ำ ๆ ซึ่งพวกเขาต่างก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น
ส่วนบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับที่สูงขึ้นมา พวกเขาต่างก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเกี่ยวกับวิญญาณปีศาจรวมไปถึงยังมีเหตุการณ์ที่เหล่าขุมกำลังใหญ่ขัดแย้งกันเองอีกต่างหาก ซึ่งบรรดาหมู่คนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นก็แทบไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะแต่ละคนก็กลัวว่าพวกเขาอาจจะซวยได้ถ้าเกิดปากโป้งเรื่องบางเรื่องที่สำนักใหญ่บางสำนักต้องเสียหน้าจนแทบจะมุดแผ่นดินหนี
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ความจริงที่เกิดในคืนนั้น
2 เดือนถัดมา ผู้คนกว่า 4,000 คนของหุบเขาบุปผาอนันต์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งการปรากฎตัวของพวกนางครั้งนี้คือการเดินทางกลับไปยังหุบเขาบุปผาอนันต์
พวกนางทุกคนต่างย้อนนึกถึงช่วงเวลาในอดีตที่พวกนางทั้ง 4,000 คนได้ยกพลเข้ามาในเมืองหยูหลันด้วยความกลัวว่าพวกตนจะไม่มีชีวิตรอดจากไป แต่ในตอนนี้เมื่อพวกนางกำลังกลับไปที่สำนักของพวกนาง ความรู้สึกของพวกนางนั้นมันช่างแตกต่างกับตอนที่พวกนางมาที่นี่กันอย่างลิบลับ เนื่องจากตอนนี้พวกนางทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้รับส่วนแบ่งจากหลิงตู้ฉิงมามากมาย แถมยังได้ผู้หนุนหลังใหม่คือหอการค้าเชื่อมสวรรค์อีกต่างหาก ซึ่งมันทำให้พวกนางแน่ใจว่าในอนาคตสำนักของพวกนางจะต้องรุ่งเรืองมากกว่าสำนักใด ๆ ในบริเวณรอบเมืองหยูหลันแน่นอน
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ยังคงเกิดขึ้นระหว่างทางกลับ
เนื่องจากในตอนนี้หุบเขาบุปผาอนันต์ของนางกลับถูกคนแปลกหน้าครอบครองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากการหายไปเป็นเวลานานของพวกนาง
แต่ปัญหาที่ว่าก็ถูกคลี่คลายลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของซือเสี่ยวฮุย ที่โจมตีเหล่าผู้คนที่ยึดครองหุบเขาบุปผาอนันต์โดยพลกาลอย่างเฉียบขาด
แต่ยังเป็นความโชคดีของเหล่าผู้คนแปลกหน้าที่ยึดครองหุบเขาบุปผาอนันต์ เนื่องจากที่ซือเสี่ยวฮุยได้ฝึกฝนวิชาวัชระสงบจิตมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว นางจึงไม่สังหารพวกเขาแม้แต่คนเดียว นางทำเพียงแค่โจมตีพวกเขาแค่ให้บาดเจ็บสะบักสะบอมเพื่อขับไล่พวกเขาเพียงเท่านั้น ส่งผลให้หุบเขาบุปผาอนันต์ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามความสงบมันก็ไม่ได้อยู่นานนัก
เพียงครึ่งเดือนผ่านไปก็มีกลุ่มคนหน้าใหม่เข้าโจมตีหุบเขาบุปผาอนันต์อีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของผู้โจมตีในรอบใหม่นั้นนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญขึ้นไปทั้งนั้น
เมื่อเผชิญกับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญที่ระดับสูงเช่นนี้ ซือเสี่ยวฮุยก็ลงมือสังหารเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทันที ส่วนบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่มากันอยู่ 2 คนก็ถูกลำแสงสีทองที่พุ่งออกมาจากภายในเมืองหยูหลันหลังที่ห่างออกไปกว่าหลายร้อยกิโลเมตรสังหารลงอย่างง่ายดาย
และจากนั้นหุบเขาบุปผาอนันต์ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้คนต่างก็เข้าใจแล้วว่าหุบเขาบุปผาอนันต์นั้นมีตัวตนที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่ ซึ่งนับแต่นั้นมามันก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรผลีผลามกับหุบเขาบุปผาอนันต์อีกต่อไป
ในขณะที่เหตุการณ์ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะเงียบสงบอย่างแท้จริง เรือนของหลิงตู้ฉิงก็ได้รับแขกหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
ในตอนนี้ เฟิงหมานเทียน ได้มาถึงเรือนของหลิงตู้ฉิงพร้อมกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง
เมื่อได้พบกับหลิงตู้ฉิง เฟิงหมานเทียนก็แนะนำเขาว่า “ท่านหลิงนี่คือนายน้อยของตระกูลเรา นายน้อยของข้ามีนามว่า หนิงฮ่าว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้านำสิ่งที่ข้าต้องการมาด้วยรึเปล่า?”
เฟิงหมานเทียนยิ้มและพยักหน้า “ใช่ ข้าเอามาด้วย!”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันกลับไปมองหนิงฮ่าว โดยบอกใบ้หนิงฮ่าวว่าให้ส่งวัสดุที่จะแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับหลิงตู้ฉิง
แต่สิ่งที่เขาเห็นเมื่อหันกลับไปคือ หนิงฮ่าวกำลังจ้องมองเสี่ยวเยว่เฟิงและน้องสาวของนาง
เฟิงหมานเทียนลอบถอนหายใจ และพูดขึ้นเพื่อเตือนเขา “นายน้อยโปรดมอบ เมล็ดพันธุ์ร่มต้านสวรรค์และวัสดุระดับสวรรค์ 10 ชิ้น ให้กับท่านหลิงด้วย”
เมื่อได้รับการเตือน หนิงฮ่าวจึงโยนแหวนมิติที่เตรียมไว้แล้วให้หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “นี่คือวัสดุที่พ่อของข้าให้เตรียมมาแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์สำหรับการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ โปรดท่านลองตรวจสอบดูก่อน”
หลิงตู้ฉิงรับแหวนมิติมาอย่างใจเย็นและหยิบวัสดุทั้งหมดออกมา จากนั้นเขาเริ่มตรวจสอบพวกมันอย่างละเอียดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมล็ดพันธุ์ร่มต้านสวรรค์ ที่พึ่งได้รับมาอย่างรอบคอบ
เมื่อเห็นการกระทำของหลิงตู้ฉิง หนิงฮ่าวก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านไม่ต้องกังวลหรอก เมล็ดพันธุ์ร่มต้านสวรรค์นี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก ข้ารับประกันว่ามันสามารถนำไปเพาะเลี้ยงได้แน่นอน แถมยังสามารถนำมันไปเป็นส่วนประกอบในการสร้างอาวุธระดับจักรพรรดิได้อีกต่างหาก”
หลิงตู้ฉิงเก็บวัสดุทั้งหมดและพูดกับหนิงฮ่าว “นับจากนี้เจ้าจงอยู่ที่นี่เพื่อรอเวลาเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับร่วมกับเรา เฟิง เมื่อเจ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็อย่าลืมแจ้งกฎการอยู่อาศัยที่นี่ให้กับเขาด้วย”
“เข้าใจแล้ว นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพยักหน้า
“ตอนนี้เจ้าจงตามข้ามาก่อน!” หลิงตู้ฉิงบอกกับเสี่ยวเยว่เฟิง
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและพูดกับเฟิงหมานเทียน “ท่านลุงเฟิง โปรดรอสักครู่ นายท่านมีเรื่องจะปรึกษากับข้า”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ!” เฟิงหมานเทียนหัวเราะ
หนิงฮ่าวมองไปที่หลังของเสี่ยวเยว่เฟิงและขมวดคิ้ว จากนั้นเขาเดินไปหาเสี่ยวหลิงเฟิงและถามว่า “หลิงเฟิง ข้าได้ยินมาว่าพี่สาวของเจ้าขัดแย้งกับลุงเหริ่นงั้นเหรอ? อันที่จริงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ข้าคิดว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่ลองปรับความเข้าใจกับเขาดี ๆ ดูอีกครั้งหนึ่งล่ะ?”
เสี่ยวหลิงเฟิงพูดอย่างกังวล “ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียดเท่าไหร่ ดังนั้นข้าคงต้องขอปรึกษากับท่านพี่ของข้าดูก่อน”
เนื่องจากสถานะและตำแหน่งของหนิงฮ่าวสูงส่งกว่าของนางมาก ดังนั้นนางจึงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับหนิงฮ่าว
หนิงฮ่าวพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง “อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แค่กลับมาก็พอ พ่อของข้าและข้าต้องการความช่วยเหลือจากพี่สาวของเจ้า ดังนั้นเราจะให้ความสำคัญกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อพวกเจ้ากลับมาข้ารับรองว่าจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าได้”
เสี่ยวหลิงเฟิงโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าคงต้องขอปรึกษากับพี่สาวของข้าก่อน”
นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสายตาที่หนิงฮ่าวมองนาง อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นนางจึงใช้พี่สาวของนางเป็นเกราะกำบัง
นอกจากนี้ไม่ว่าจะยังไงนางก็ยังคงต้องปรึกษาพี่สาวของนางในเรื่องนี้อยู่ดี
“เอาล่ะงั้นก็ไม่เป็นไร ข้าจะคุยกับพี่สาวของเจ้าเองก็แล้วกัน!” หนิงฮ่าวพยักหน้า
ในเวลานี้หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงและถามขึ้น “เจ้าถูกคนของภูเขาฟีนิกซ์ไล่มาอย่างไร?”
หลิงตู้ฉิงไม่เคยถามคำถามนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องถามคำถามนี้ขึ้นมา
เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงถามคำถามนี้ขึ้น เสี่ยวเยว่เฟิงก็ตอบด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “นายท่าน พวกเราแค่เป็นผู้ติดตามตระกูลหนิงออกมาด้วยเพียงเท่านั้น พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถ้าตามที่ข้าเคยได้ยินที่หนิงเฟิงพูด เขาเคยบอกว่าสายเลือดของตระกูลเขาทำให้ตระกูลหานขุ่นเคือง และด้วยเส้นสายของตระกูลหานที่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งมากกว่า ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีออกจากพื้นที่เขตภูเขาฟีนิกซ์ และจากนั้นภูเขาฟีนิกซ์ก็ได้ประกาศต่อโลกภายนอกว่าพวกเราทุกคนได้ทรยศต่อภูเขาฟีนิกซ์”
“คนทรยศ?” หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้ว “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงถูกให้ร้ายจนกลายเป็นคนทรยศ?”
“สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์อสูรปีศาจ!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดเบา ๆ “ภูเขาฟีนิกซ์ของเราและเผ่าอสูรปีศาจเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกัน โทษของการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรปีศาจนั้นร้ายแรงมาก ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนของภูเขาฟีนิกซ์ต่างก็ไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้นแน่นอน ดังนั้นข้าคิดว่านี่มันอาจเป็นกับดักที่ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลหานเพื่อสังหารพวกเราให้หมดทุกคน”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “มันอาจจะไม่ใช่กับดัก!”
สีหน้าของเสี่ยวเยว่เฟิงเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที “นายท่าน นี่ท่านหมายความว่ายังไง!?”