บทที่ 374 คำพูดโอ้อวดที่เกิดขีดจำกัด
หากผู้ใดมีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ คนผู้นั้นย่อมได้รับการยกย่องให้เป็นผู้สืบทอดของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์
และด้วยฐานะของการเป็นผู้สืบทอดของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นั้นจะได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดีทั้งด้านการคุ้มครองความปลอดภัยและทรัพยากรการบ่มเพาะทั้งหมดก็จะถูก ‘เท’ มาให้คนผู้นั้นจนล้นเหลือ
ด้วยตัวตนระดับสูงเช่นนี้ หากไม่นับรวมหลิงตู้ฉิงเข้าไปด้วยแล้ว ตัวตนระดับนี้ไม่มีทางที่จะก้าวเข้ามาเหยียบอาณาเขตนภาที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้แน่นอน เนื่องจากหากผู้ใดที่มีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์และเมื่อในอนาคตร่างของเขาได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นเซียนจรัสแสง คนผู้นั้นย่อมจะไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าผู้ที่มีรากฐานการบ่มเพาะที่มาจากขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 เลยแม้แต่น้อย
การมีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ แต่มีพลังแห่งความมืดอยู่ด้วย นี่มันเป็นเหมือน ‘หยกที่สวยงามแต่มีตำหนิ’ มันเหมือนกับหญิงสาวที่มีความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ มีรูปร่างและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แต่มันน่าเสียดายที่มีปานขนาดใหญ่บนใบหน้าของนาง
ด้วยเหตุนี้ หนานกงหลิงจึงไม่ได้รับความสนใจใด ๆ จากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์และถูกส่งให้มา ‘ติดแหงก’ อยู่ที่อาณาเขตนภาแทน
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก หนานกงซ่งหยวนก็กลับมาหาหลิงตู้ฉิงพร้อมกับหนานกงหลิงที่ดูผอมและอ่อนแอ
“นี่คือหลานชายของข้าชื่อ หนานกงหลิง!” หนานกงซ่งหยวนแนะนำ
หลังจากมองไปที่หนานกงหลิงสักพัก หลิงตู้ฉิงก็ยิ้มแปลก ๆ และพูดว่า “นี่เจ้าต้องการกำจัดพลังความมืดในร่างกายของเขาจริง ๆ งั้นหรือ?”
หนานกงซ่งหยวนพยักหน้าและพูดว่า “ท่านหลิงมีวิธีหรือไม่?”
หนานกงหลิงยังโค้งคำนับและพูดว่า “ผู้อาวุโสสามารถช่วยข้ากำจัดมันได้หรือไม่?”
ในช่วงเวลาการต่อสู้กับวิญญาณปีศาจ เขาเองก็มองเหตุการณ์อยู่จากด้านข้างด้วย มันจึงเป็นเรื่องปกติที่มุมมองของเขาต่อหลิงตู้ฉิงนั้นจะไม่นับว่าหลิงตู้ฉิงเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณธรรมดา ๆ แต่ด้วยอีกเหตุผลที่เขายังไม่ค่อยแน่ใจที่มาของหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงใช้คำเรียกไว้ก่อนว่าผู้อาวุโส
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยสีหน้าสนอกสนใจว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องคนที่ซื้อหอยแต่กลับโยนไข่มุกทิ้งไปรึเปล่า ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันก็เป็นเหมือนกับพวกเจ้าตอนนี้ที่คล้ายกับเป็นผู้ที่ซื้อหอย”
พอได้ยินเช่นนี้ หนานกงซ่งหยวนและหนานกงหลิงยิ่งรู้สึกงุนงง
“ท่านหลิงหมายความว่าอย่างไร?” หนานกงซ่งหยวนถามอย่างระมัดระวัง “หรือว่าร่างกายของหลิงเอ๋อวิเศษยิ่งกว่าการร่างศักดิ์สิทธิ์?”
“แน่นอน!” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้นท่านหลิงช่วยโปรดชี้แจงให้พวกเรากระจ่างด้วยเถอะ!” หนานกงซ่งหยวนรีบพูด
หนานกงหลิงก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างคาดหวัง
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างจริงจัง “ทำไมข้าต้องช่วยพวกเจ้า?”
หนานกงซ่งหยวนรีบหยิบวัสดุระดับสวรรค์ 2 ชิ้น และส่งมอบให้กับหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “หากท่านต้องการอะไรเพิ่มเติม โปรดอย่าลังเลที่จะบอกข้า!”
หลิงตู้ฉิงไม่ยอมรับวัสดุระดับสวรรค์ทั้งสอง แต่เขาเริ่มไตร่ตรอง
หลังจากนั้นไม่นานหลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นว่า “ข้าสามารถรับเขาเป็นศิษย์เพียงในนามของข้าได้ และชี้แนะวิธีการฝึกฝนให้กับเขา แต่พวกเจ้าต้องทำสัญญาในเงื่อนไขบางประการของข้า”
หนานกงซ่งหยวนและหนานกงหลิงต่างตกตะลึง
แม้ว่าพวกเขาจะเดาได้ว่าหลิงตู้ฉิงมีภูมิหลังอื่น ๆ อยู่ แต่การที่เขาจะทำให้ว่าที่ผู้สืบทอดตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นศิษย์ในนามของตัวเองนี่มันออกจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
แน่นอนว่าตั้งแต่แรกพวกเขาไม่เคยมีความคิดที่จะเอาหลิงตู้ฉิงมาเป็นอาจารย์!
ถึงแม้ว่าตอนนี้ หนานกงหลิงจะยังไม่ได้รับการใส่ใจจากสำนักมากนัก แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เป็นคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ เขาจะยอมรับคนนอกให้เป็นอาจารย์ของเขาง่าย ๆ ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ตกตะลึงของพวกเขา หลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นไปยังหนานกงหลิงว่า “ไม่ต้องการงั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะร่างของเจ้ามันค่อนข้างพิเศษ ข้าคงไม่มีทางเสนออะไรแบบนี้ให้กับเจ้าแน่นอน เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าต่อให้เป็นบรรพบุรุษของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศิษย์ของข้าเช่นเจ้าในตอนนี้ แต่แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็สามารถทำตามคำขอของปู่ของเจ้าและเปลี่ยนร่างของเจ้าให้กลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ได้ แต่ราคาที่เจ้าและปู่ของเจ้าจะต้องจ่ายให้ข้ามันจะไม่ใช่น้อย ๆ แน่นอน”
เขาเป็นถึงตัวตนที่เคยอยู่ในตำนานของผู้คนมากมาย ในอดีตต่อให้ผู้คนก้มกราบลงอ้อนวอนขอแค่เป็นข้ารับใช้ของเขา เขายังไม่แม้แต่จะสนใจหากเขาไม่ถูกชะตา
ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นคนที่มีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้ เขาจึงมีความรู้สึกเป็นสุขมาก เขาจึงอยากจะรับชายหนุ่มผู้นี้ให้เป็นศิษย์ในนามของเขา แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรชายหนุ่มผู้นี้กลับทำท่าดูเหมือนว่าจะไม่อยากเป็นศิษย์ของเขาซะงั้น
หนานกงซ่งหยวนพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิงเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง ตระกูลหนานกงของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นถือว่าโดดเด่นมาก ส่วนบรรพบุรุษของพวกเขาก็จัดได้ว่าเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในยุคของพวกเขา แล้วคนประเภทใดที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่สามารถกราบตัวเป็นศิษย์ได้?
อย่างไรก็ตาม หนานกงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็คุกเข่าต่อหน้าหลิงตู้ฉิงทันทีและพูดว่า “ศิษย์ขอกราบคารวะอาจารย์นับตั้งแต่นี้ โปรดท่านอาจารย์ชี้แนะศิษย์ผู้นี้ด้วย!”
เขาไม่มีทางเลือกอื่น
สถานการณ์ของเขาในตอนนี้มันย่ำแย่จนถึงขนาดที่เขาถูกตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ไล่ให้มาอยู่ที่อาณาเขตนภา เนื่องจากร่างกายที่แปลกประหลาดนี้มันทำให้เขาเปลี่ยนจากอัจฉริยะเป็นคนพิการ
เขาไม่สามารถฝึกฝนวิชาของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นเป็นเพราะเขามีพลังแห่งความมืดอยู่ในตัวเขา และทุกครั้งที่เขาเริ่มฝึกฝนเขาจะรู้สึกเจ็บปวดจนแทบอยากตาย
ในเมื่อตอนนี้มีคนที่สามารถช่วยเขาแก้ปัญหานี้ได้ มันจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาที่จะยอมรับอาจารย์สักคน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนานกงหลิงจะคุกเข่าลง แต่หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้ไปพยุงเขา แต่เขาจ้องไปที่หนานกงซ่งหยวนและพูดว่า “เจ้ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจแทนตระกูลหนานกงได้มากแค่ไหน? ข้าสามารถช่วยเจ้าเลี้ยงดูเขาได้ แต่ตระกูลหนานกงต้องเซ็นสัญญาส่วนหนึ่งกับข้า และส่วนที่เหลือข้าจะค่อย ๆ ขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีกที”
หนานกงซ่งหยวนขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านหลิง มีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับ “ก่อนที่จะพูดถึงเงื่อนไขของเรา ข้าต้องบอกอะไรกับเจ้าก่อน ข้าได้ยินมาว่าสำนักของเจ้าได้สืบเรื่องเกี่ยวกับความลับของทะเลชางหมาง และสำนักของเจ้าเองก็ให้อาณาจักรนภาจรัสแสง ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังของพวกเจ้าเองเฝ้าดูทางออกแห่งหนึ่งของทะเลชางหมาง เมื่อตอนที่ข้าเดินทางออกมาจากทะเลชางหมาง ลูกชายของข้าก็กำลังอยู่ในระหว่างการรวมทะเลชางหมาง ดังนั้นไม่ว่ามันจะเป็นความลับใด ๆ ที่อยู่ในทะเลชางหมาง พวกมันทั้งหมดจะต้องตกเป็นของข้าและลูกข้าแน่นอน ซึ่งต่อให้เจ้าจะไม่บอกมันกับข้าในตอนนี้ ข้าก็จะพบคำตอบเองไม่ช้าก็เร็ว”
หนานกงซ่งหยวนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเกิดในทะเลชางหมาง ส่วนลูกชายของท่านกำลังรวมทะเลชางหมาง?”
“ถูกต้อง! ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในทะเลชางหมางจะกลายเป็นของบุตรชายของข้า” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้จัดตั้งกลุ่มกองกำลังอะไรไว้ด้านในรึเปล่า แต่ถ้าเจ้าไม่รีบเตือนพวกของเจ้าโดยเร็วแล้วล่ะก็ พวกของเจ้าที่อยู่ด้านในนั้นทั้งหมดจะต้องถูกทำลาย เอาล่ะนี่คือเรื่องแรกที่ข้าต้องการจะบอก ส่วนเรื่องที่สองนั้นก็คือ อาณาจักรนภาจรัสแสงต้องหลีกทางให้กับลูกชายของข้า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะเหลือแค่เพียงทางเลือกเดียวคือต้องถูกขับไล่ให้จากไป”
หนานกงซ่งหยวนอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง
อาณาจักรนภาจรัสแสงเป็นหนึ่งในห้าอาณาจักรที่ที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตนภา และมันถูกสร้างขึ้นมาโดยจุดประสงค์เพื่อสืบเสาะหาความลับของทะเลชางหมางแถมมันยังถูกหนุนหลังด้วยตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเขาอีกต่างหาก แล้วหลิงตู้ฉิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะสามารถขับไล่อาณาจักรนภาจรัสแสงได้อย่างง่าย ๆ ?
หลิงตู้ฉิงเพิกเฉยต่อการแสดงออกของหนานกงซ่งหยวน เขามองไปที่หนานกงหลิ’และพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจากเจ้าเช่นกัน ถ้าเจ้ามาเป็นศิษย์ของข้าแล้วเจ้าจะต้องฟังคำสั่งของข้าและมีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าจะต้องปะทะกับตระกูลของเจ้าเอง หรือตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า”
“เจ้าสามารถเลือกที่จะช่วยพวกเขาได้ แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นคู่ต่อสู้ของข้าก็อย่าตำหนิข้าที่จะจัดการกับเจ้าหรือแม้แต่ตระกูลหนานกงของเจ้าอย่างไร้ปราณี ดังนั้นหากเจ้าต้องการเป็นศิษย์ของข้า แต่ไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี มันจะนำหายนะมาสู่ตระกูลของเจ้าเอง”
เมื่อเห็นว่าการโอ้อวดของหลิงตู้ฉิงเริ่มเกินขีดจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ หนานกงซ่งหยวนก็เริ่มหมดความอดทน เขาถามอย่างเย็นชา “ท่านช่วยบอกข้าเกี่ยวกับร่างกายของหลิงเอ๋อก่อนได้ไหม?”
หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “ลงชื่อในสัญญาก่อน ข้าถึงจะบอก!”
เมื่อเห็นท่าทางเป็นงานเป็นการของหลิงตู้ฉิง ความเหลืออดของหนานกงซ่งหยวนก็จางหายไป จากนั้นเมื่อเขาและหนานกงหลิงตรวจสอบว่าสัญญานี้เป็นเพียงเรื่องของการเก็บความลับของการสนทนา ดังนั้นพวกเขาจึงลงชื่อสัญญาโดยไม่โต้แย้งอะไร
“ตอนนี้ท่านหลิงคงสามารถบอกพวกเราได้แล้วจริงไหม?” หนานกงซ่งหยวนถามขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง