บทที่ 67 ญาติจากเมืองหลวง[รีไรท์]
“ท่านพ่อ เอาเงินค่าจ้างของข้ามา!” เมื่อหูเสี่ยวฮุยถึงบ้าน เขาแบมือตะโกนทวงเงินพ่อของเขาทันที “ข้าทำตามที่ท่านบอกแล้ว ตอนนี้ท่านต้องทำตามสัญญาที่ท่านบอกว่าจะให้เงินกับข้านะ!”
“เจ้าพูดถึงเงินอะไร? ข้าบอกให้เจ้าไปทำเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้ เจ้ายังกล้าคิดทวงเงินกับข้าอีกเหรอ?” หูหมิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
หูเสี่ยวฮุยตอบด้วยอารมณ์โมโห “ท่านพ่อ! ท่านต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับข้าสิ! ไม่งั้นข้าจะไปฟ้องทุกคนเลยว่าท่านหลอกใช้ข้า!”
“เชิญเลย เชิญเจ้าไปฟ้องเพื่อน ๆในสถาบันของเจ้าได้เลย ไม่มีใครเขาเชื่อเจ้าหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า” หูหมิงเมื่อเห็นลูกของตัวเองโมโหกระฟัดกระเฟียดเขาก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู “อ๋อใช่ แล้วปีนี้เจ้าจะลงเป็นตัวแทนสถาบันไปประลองที่งานเทศกาลบูชาเพลิงหรือเปล่า?”
หูเสี่ยวฮุยถอนหายใจ “ข้าจะไปเป็นตัวแทนได้ยังไงกันเล่า…ระดับบ่มเพาะของข้าต่ำแค่นี้ ข้าจะเอาโอกาสที่ไหนไปเข้าประลอง”
“เจ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริง ๆ แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้ามาขอเงินข้างั้นเรอะ!” พูดจบหูหมิงก็ตบไปที่หัวหูเสี่ยวฮุยด้วยอารมณ์โมโห
เมื่อพูดจบแล้ว หูหมิงจึงรีบไปหาหยิงหวูเจี้ยงเพื่อรายงานความคืบหน้าของแผนการ
เมื่อได้ยินรายงานความคืบหน้า หยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงมองหน้ากันด้วยอารมณ์เบิกบาน “ในที่สุดเราก็สุมไฟแค้นให้กับเด็กพวกนั้นจนสำเร็จ ตอนนี้เราก็เหลือแต่รอว่าหลิงตู้ฉิงจะยอมให้ลูกของเขาออกมารับคำท้าประลองหรือไม่ก็เท่านั้น”
เฮ่อเจี้ยนปิงคิดอยู่สักพักจากนั้นจึงแสดงความคิดเห็นเสริม “ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเจ้าไม่ส่งคนไปยุแหย่พ่อแม่พวกเด็ก ๆ ด้วยล่ะ ยังไงซะคำพูดของหลิงตู้ฉิงในวันนั้นมันก็ทำให้บรรดาพ่อแม่ของพวกเด็ก ๆ ที่ได้เข้าสถาบันขุ่นเคืองด้วยไม่ใช่หรือไง หากมีทั้งลูก ทั้งพ่อแม่ พากันไปท้าตีที่หน้าเรือนหลิงแล้วล่ะก็ ข้าเชื่อว่าโอกาสที่แผนการนี้จะสำเร็จมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ”
ตอนนี้เฮ่อเจี้ยนปิงไม่สนแล้วว่าจะต้องใช้วิธีอะไรในการดึงตัวลูกของหลิงตู้ฉิงมาประลอง สิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้คือข้อมูลของบรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงเพื่อไปรายงานให้กับอาจารย์เขาเท่านั้น
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยงวางแผนกัน หลิงตู้ฉิงผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็กำลังสอนหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนเล่นหมากรุกเซียน
เขาใช้เวลาสอนเพียงไม่นานเด็กทั้งสองก็เริ่มพอเข้าใจกฎกติกาการเล่น
ส่วนสำหรับเด็กคนอื่น ๆ หลิงตู้ฉิงตอนนี้แทบไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการฝึกฝนของพวกเขาเลย เนื่องจากหลิงตู้ฉิงได้บอกแนวทางในการฝึกฝนให้กับพวกเขาไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ก็เหลือแค่เพียงคอยเวลาที่พวกเขาจะบรรลุ
เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบสุข ได้เพียง 2 วัน…
2 วันต่อมา เสียงโวยวายเริ่มดังมาจากหน้าทางเข้าประตูเรือนหลิง เสียงดังไปได้สักพักก็ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูเรือนดังลั่นมาจากด้านนอก
หลิงว่านจุนในตอนนี้กำลังนั่งเล่นหมากกับหลิงเทียนหยุนและหลิงตู้ฉิง มองหันซ้ายหันขวาไม่เจอใครว่างไปเปิดประตูเลย จึงได้ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยตนเอง
พอเขาเปิดประตูเรือนออก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กกลุ่มใหญ่ที่มาจากสถาบันหงส์เพลิง
“อ้าวเป็นพวกเจ้าเองเหรอ? มาถึงที่นี่มีอะไรกัน?” หลิงว่านจุนรู้จักหน้าตาของบางคนที่มาวันนี้เนื่องจากเขาก็เคยเรียนอยู่ในชั้นเรียนพื้นฐานของสถาบันหงส์เพลิงมาก่อน
“หลิงยู่ช่านอยู่ที่ไหน?” เด็กชายที่มากับกลุ่มถามขึ้น
หลิงว่านจุนหันหลังกลับและตะโกนเรียกพี่ของเขาทันที “พี่ใหญ่ พวกเขามาหาท่านแน่ะ!”
หลังจากตะโกนเรียกหลิงยู่ชานเสร็จ หลิงว่านจุนก็ไม่สนใจกับกลุ่มคนด้านนอกอีก เขารีบวิ่งกลับไปนั่งเล่นหมากรุกเซียนกับหลิงยี่เทียนต่อ
หลิงยู่ชานที่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกได้หยุดสู้กับซ่งเหวินเถาทันที จากนั้นเขาเหลือบมองไปยังประตูที่เปิดอ้าค้างไว้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกที่มาเยือนคือใคร
เขาจึงเดินไปยังประตู เมื่อถึงแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเจ้ามีอะไร?”
หลังจากผ่านการฝึกฝนของหลิงตู้ฉิงมาเดือนกว่า หลิงยู่ชานตอนนี้ไม่ใช่เด็กใจร้อนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หวงหลิงซานที่ยืนอยู่ไม่ไกล ได้ตะโกนตอบขึ้น “พวกเรามาที่นี่เพื่อส่งสาส์นท้าประลองให้เจ้า”
หลิงยู่ชานถามด้วยความงุนงง “สาส์นท้าประลองอะไร?”
“พวกเราขอท้าให้เจ้าเข้าร่วมการประลองในเทศกาลบูชาเพลิงที่จะจัดขึ้น!” มี่ยี่ถงตะโกนแทรกขึ้นทันที
“ก็พ่อของเจ้าพูดเองว่าจะพาเจ้ากลับมาสอนด้วยตัวเองให้เก่งกว่าพวกข้า แล้วนี่ก็ได้โอกาสพอดีที่กำลังจะมีการจัดประลองใหญ่ขึ้น พวกข้ามาท้าเจ้าเพื่อที่จะได้พิสูจน์ว่าพ่อเจ้าและเจ้ากับพวกข้าใครกันแน่ที่ควรเรียกว่าขยะ” เด็กผู้ชายที่มาในกลุ่มตะโกนขึ้น
หลิงยู่ชานยิ้มที่มุมปาก “ไม่ล่ะ ข้าไม่สนใจการประลองไร้สาระนั่นหรอก”
ตอนนี้เป้าหมายของเขาคือการบรรลุขอบเขตควบแน่นลมปราณ เขาไม่มีเวลามาสนใจกับพวกเด็กอ่อนหัดเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว
หวงหลิงซานเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงตะโกนท้าทาย “อย่ามาอ้างเลย ที่เจ้าไม่ไปเพราะว่าเจ้ากลัวแพ้ใช่ไหมล่ะ?”
“เจ้าต้องกลัวแพ้แน่ ๆ เลย ที่แท้เจ้ามันก็แค่ขยะ!” มี่ยี่ถงพูดล้อเลียน แต่หลังจากที่เขาพูดเสร็จก็มีเม็ดถั่วบินลอยเข้ามาที่กลางหน้าผากเขาพอดี
“ไอ้เจ้าน้องบ้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่ แล้วเจ้ากล้าพูดบ้าบอยั่วยุอะไรคนอื่นเขาแบบนี้?” มี่ไลผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาเห็นน้องตัวเองกำลังพูดยั่วยุหลิงยู่ชานก็จ้องเขม็งไปที่น้องชายของตัวเองด้วยสายตาอาฆาต
“ท่านพี่ ทะ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” มี่ยี่ถงมองนางด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ทำไม! ทำไมเจ้าไม่ตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่สถาบัน เจ้ายืนหุบปากอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ เลยนะ เจ้าเข้าใจไหม!?” มี่ไลโมโหเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ทั้งนางและพ่อของนางต่างพยายามเอาใจคนในเรือนหลิงอย่างสุดชีวิต แต่แล้วจู่ ๆ น้องชายที่ไม่เอาไหนของนางกลับมายั่วยุลูกชายคนโตของหลิงตู้ฉิงซะอย่างนั้น
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงได้เดินเข้ามาที่หน้าประตูเขามองหน้าเหล่าเด็ก ๆ ที่มาเยือนและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามาท้าประลองยู่ชานงั้นเหรอ?”
หวงหลิงซานตะโกนอย่างไม่พอใจ “ใช่! พวกข้ามาท้าเขาให้ไปประลองกันในงานเทศกาลบูชาเพลิง!”
หวงหลิงซานยังคงจำได้ว่าหลิงตู้ฉิงผู้นี้เคยสบประมาทนางว่าเป็นขยะในตอนทดสอบเข้าสถาบัน
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปถามหลิงยู่ชาน “เจ้าตัดสินใจว่ายังไง?”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องการที่จะไป มันไร้สาระ!” หลิงยู่ชานส่ายหัว
หลิงตู้ฉิงคิดอยู่สักพักจึงพูดขึ้น “แต่พ่อคิดว่าเจ้าควรจะไปนะ ถ้าพ่อจำไม่ผิดรู้สึกว่าการประลองของเทศกาลนี้จะมีแต่เด็ก ๆ หัวกะทิจากสถาบันอื่น ๆ เข้าร่วมอยู่มากมาย เจ้าควรจะไปหาประสบการณ์การประลองกับผู้คนใหม่ ๆ เยอะ ๆ เผื่อว่าในอนาคตจะได้มีคนรู้จักเจ้ามากขึ้น”
พวกเด็กที่มาท้าหลิงยู่ชานเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงพวกเขาโมโหจนควันออกหู ที่หลิงตู้ฉิงพูดมันเหมือนกับว่าไม่เห็นสาส์นท้าประลองของพวกเขาอยู่ในสายตาเลย หลิงตู้ฉิงกลับพูดไปถึงการประลองกับพวกเด็กหัวกะทิจากสถาบันอื่นซะแล้ว
หวงหลิงซานที่ในตอนนี้กำลังโกรธควันหูจึงตะโกนท้าขึ้นอีกครั้ง “เจ้าจะรับคำท้าของพวกข้าไหม? ถ้าเจ้าไม่กล้า เจ้ามันก็เป็นแค่ไอ้เต่าหดหัว!”
หลิงยู่ชานเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเขาจึงตอบรับ “ข้าไปก็ได้!”
บรรดาเด็กที่มาท้า เมื่อพวกเขาเห็นหลิงยู่ช่านรับคำท้าแล้ว พวกเขายังจ้องเขม็งมาที่หลิงตู้ฉิงอย่างขุ่นเคืองอยู่
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจพลางกล่าวขอโทษ “เห้อ… เอาล่ะ ๆ ยังไงซะวันนั้นก็เป็นข้าเองที่พลั้งปากไปด้วยความโมโห ยังไงข้าก็ต้องขอโทษกับพวกเจ้าทุกคนด้วยแล้วกัน แต่ยังไงซะพวกเจ้าเองก่อนถึงวันงานประลองพวกเจ้าต้องขยันฝึกให้หนักซะนะ ไม่งั้นพวกเจ้าไม่มีวันที่จะเอาชนะยู่ชานของข้าได้หรอก…”
พวกเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับท่อนแรกของประโยคที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยขอโทษ แต่พอพวกเขาได้ฟังจนจบประโยคทั้งหมดรอยยิ้มของพวกเขาก็แข็งค้างไป…
หลิงตู้ฉิงที่พูดจนจบประโยคแล้วก็ไม่สนใจพวกเขาอีกก็ได้เดินกลับเข้าเรือนไป
หลังจากที่เด็ก ๆ สถาบันหงส์เพลิงกลับไป แต่ยังเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังยืนอยู่
เด็กคนนั้นคือ มี่ยี่ถงเหตุผลที่เขากลับไม่ได้นั่นก็เพราะพี่สาวของเขา!
หลังจากที่มี่ไลรั้งตัวมี่ยี่ถงไว้นางจึงรีบเดินมาหาหลิงตู้ฉิงเพื่ออธิบาย “นายท่าน ข้าต้องขออภัยด้วยที่ปล่อยให้น้องชายของข้ามาก่อเรื่องที่นี่ ข้าขออนุญาตพาน้องชายกลับไปที่ตระกูลเพื่อให้ท่านพ่อสั่งสอนเขาก่อน แล้วข้าจะรีบกลับมา”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าหนึ่งครั้งเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาอนุญาต
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงพยักหน้า มี่ไลรีบเดินเข้าไปหามี่ยี่ถงแล้วลากน้องของนางกลับตระกูลมี่ทันที
หลังจากลากมี่ยี่ถงออกมาจากเรือนหลิงเรียบร้อย มี่ไลก็เริ่มตะคอกด่าน้องของนางอีกชุด “ไอ้บ้าคนไหนมันสั่งให้เจ้ามาที่นี่!?”
มี่ยี่ถงที่ข้องใจในตัวพี่สาวเขามากจึงเถียงกลับทันควัน “ท่านพี่ ท่านก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพ่อของไอ้หลิงยู่ชานมันเป็นคนด่าพวกเราก่อน ฉะนั้นทำไมข้าถึงจะพาพวกมาหาเรื่องมันไม่ได้ และท่านพี่ ข้าไม่ว่าอะไรหรอกนะหากท่านจะไม่ช่วยข้า แต่นี่ท่านกลับไปออกตัวพูดแทนพวกมัน แถมท่านยังไปเรียกพ่อของไอ้หลิงยู่ชานว่า ‘นายท่าน’ อีก ถ้าท่านพ่อรู้เรื่องนี้ล่ะก็ ท่านเตรียมตัวโดนตีได้เลย!”
มี่ไลหัวเราะเยาะเย้ย “ที่ข้าต้องเขาว่า นายท่าน ก็เป็นเพราะพ่อของเราเนี่ยแหละที่ส่งให้ข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ของเขา!”
“เป็นไปไม่ได้!” มี่ยี่ถงร้องเสียงหลง
“ท่านพี่ ท่านต้องโกหกข้าอยู่แน่ ๆ ใช่ไหม?” มี่ยี่ถงแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“หึ หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไปถามท่านพ่อด้วยตัวเองสิ!” มี่ไลกระแทกเสียงตอบกลับ