บทที่ 383 ชีวิตของพวกเจ้าแลกกับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
ขณะนี้ สีหน้าของเทียนหยูเฮงก็ค่อนข้างอ่อนแรงเพราะหลังจากที่เขาได้รับข่าวเขาก็รีบนำเทียนเก๋อออกเดินทางจากสันเขาทรราชทันที
พวกเขาค้นหามาหลายปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่พบกุญแจสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากหลานชายของเขาต้องการที่จะเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ วิธีเดียวที่ทำได้คือการแย่งชิงจากผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงนำคนของเขามาที่ทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอย่างรีบร้อน
ตามความคิดของเขา ถ้าใครไม่ให้กุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแก่เขา เขาจะฆ่าคนผู้นั้นทันทีและสิทธิ์การเข้าย่อมจะตกเป็นของเขา เขารู้ว่าตัวเองทำได้ เพราะเขาคือผู้ที่มาจากสันเขาทรราช แถมเขายังมีอาวุธววิเศษระดับจักรพรรดิอยู่ในมือและยังมีสายเลือดทรราชอยู่ในกาย
“ถ้าเจ้ากล้าก็ลองดู!” กู่ตงฉิงถือโองการจักรพรรดิ 2 แผ่นอยู่ในมือ ในขณะที่เย่หยูหลันเองก็หยิบโองการจักรพรรดิ 2 แผ่นมาไว้ในมือของนางเช่นกัน
พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ตัวว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องร่วมมือกันออกหน้า
ถึงแม้ว่าเย่หยูหลันจะยังไม่เห็นเย่ชิงเฉิงยังไม่ปรากฏกาย แต่ในเมื่อตอนนี้หานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิงที่เป็นคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเข้าไป นางจึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องพวกเขาเช่นกัน
ในเวลานี้ สีอี้เฉิง ตวนจู้และคนอื่น ๆ ก็ได้ก้าวเข้าสู่ทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแล้วเช่นกัน ซึ่งพวกเขาเองก็ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มแสงสีขาว
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหยูเฮง สีเป่ยเซียะก็ไม่รอช้าหยิบเอาโองการจักรพรรดิมาถือไว้ในมือซ้ายและมีดเทพสังหารอยู่ในมือขวา นางจ้องไปที่เทียนหยูเฮงด้วยสายตาจริงจังและพูดว่า “ถ้าเจ้ากล้าที่จะเคลื่อนไหว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ทางด้านของคนรับใช้ของปิงยู่หลางก็จ้องไปที่เทียนหยูเฮงเช่นกันและพูดว่า “ตำหนักเทพเหมันต์ของข้าไม่เคยเกรงกลัวสันเขาทรราชของเจ้า!”
ลั่วหยุนจ้องไปที่เทียนหยูเฮง และหยิบอาวุธระดับจักรพรรดิของเขามาถือไว้ในมือ จากนั้นเขาตะโกนไปทางเทียนหยูเฮงด้วยสีหน้าเย้ยหยันและพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากตายก็เข้ามา อย่าลืมว่าข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเรื่องก่อนหน้านี้!”
จากนั้นจู่ ๆ ชายชราผู้หนึ่งก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้าและเผยให้เห็นอาวุธระดับจักรพรรดิในมือ เขาเหลือบมองไปที่เทียนหยูเฮงและพูดกับสีเป่ยเซียะ “นายหญิง มันก็แค่อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ ใช่ว่าพวกเราสำนักเบญจธาตุจะไม่มีมันซะเมื่อไหร่ โปรดรับอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิชิ้นนี้เอาไว้ด้วย!”
สีเป่ยเซียะเก็บโองการจักรพรรดิของนางและจ้องไปที่เทียนหยูเฮง
หนึ่งในพวกเขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน แถมยังมีผู้ถือโองการจักรพรรดิอีก 7 คนเผชิญหน้ากับเทียนหยูเฮง
ตราบใดที่เทียนหยูเฮงกล้าโจมตี พวกเขาก็จะตอบโต้ด้วยกัน
แน่นอนว่าถ้าเทียนหยูเฮงไม่ลงมือ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะฆ่าเขา
เนื่องจากถ้าพวกเขาสังหารเทียนหยูเฮงโดยที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ มันจะกลายเป็นชนวนเหตุทำให้เกิดสงครามระหว่างขุมกำลังมหาอำนาจแน่นอน แต่ถ้าหากเทียนหยูเฮงลงมือก่อน พวกเขาก็ยินดีที่จะรับกับผลที่ตามมา
เมื่อเห้นสถานการณ์เช่นนี้ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างอ้าปากค้างพวกเขาหลายคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
แม้ว่าเขาจะเผชิญกับเหล่าคนจากขุมกำลังมหาอำนาจมากมาย แต่เทียนหยูเฮงก็ไม่มีท่าทีว่าจะถอยใด ๆ เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทุกท่าน วันนี้ข้าได้นำกระดูกศักดิ์สิทธิ์และอาวุธจักรพรรดิติดตัวมาด้วยเพื่อขอแลกกับสิทธิ์ในการเข้า 1 สิทธิ์!”
“หลานชายของข้า เทียนเก๋อนั้นมีสายเลือดทรราชไหลเวียนอยู่ในร่างกายและถ้าหากเขาสามารถบรรลุขอบเขตขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ได้ก่อนที่จะทะลวงขอบเขตไปเป็นขอบเขตนภา เขาจะกลายเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักเรา ดังนั้นข้าขอความเห็นใจ โปรดพวกท่านช่วยเหลือหลานชายของข้าด้วย!”
“ข้าสามารถรับประกันได้ว่าตราบใดที่ท่านขายสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของพวกท่านให้ข้า สันเขาทรราชของเราจะถือว่าเป็นหนี้บุญคุณมหาศาล ในอนาคตเราจะทำทุกอย่างเพื่อท่านอย่างแน่นอน”
สีเป่ยเซียะยิ้มและตอบกลับทันที “มันก็แค่กระดูกศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ใช่ของหายากอะไรสำหรับสำนักเบญจธาตุของข้า!”
คนรับใช้ของตำหนักเทพเหมันต์ก็พูดเช่นกันว่า “แม้ว่าตำหนักเทพเหมันต์ของข้าจะไม่ร่ำรวยเท่าสันเขาทรราชของเจ้า แต่พวกข้าก็ไม่ได้ขาดแคลนอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ!”
ลั่วหยุนยิ้มและไม่พูดอะไร
เมื่อเทียบกับหอการค้าเชื่อมสวรรค์ ของเหล่านั้นที่เทียนหยูเฮงเสนอมามันถือว่าไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ!
เทียนหยูเฮงมองไปยังเหล่าผู้คนที่ไม่ยินยอมถอยให้กับเขาและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกท่านแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าพวกท่านจะไม่ไว้หน้าสันเขาทรราชของข้าอย่างแน่นอน?”
สีเป่ยเซียะหัวเราะเยาะและไม่พูดอะไรสักคำ
ลั่วหยุนยืนนิ่งเผยสีหน้าเยาะเย้ยและไม่พูดอะไรเช่นกัน กับอีแค่คนที่อยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยอาศัยเงาของสำนักตัวเองเพื่อข่มขู่ผู้อื่น กับคนเช่นนี้มันไม่มีค่าพอที่เขาจะต้องไว้หน้าอะไรเลยแม้แต่น้อย
เทียนหยูเฮงเห็นปฏิกิริยาของฝูงชนที่หัวเราะเยาะเขา เขาจึงหยิบเหรียญหยกออกมาและหยดเลือดลงไปบนมัน จากนั้นเขาโยนเหรียญหยกขึ้นไปบนอากาศและโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า “ท่านบรรพบุรุษ โปรดช่วยข้าที!”
เมื่อเห็นการกระทำของเทียนหยูเฮง สีหน้าสีเป่ยเซียะก็เปลี่ยนไป ในฐานะคนที่มาจากสำนักเบญจธาตุ นางจึงรู้ว่าการกระทำของเทียนหยูเฮงหมายถึงอะไร
ดังนั้นเมื่อนางเห็นการกระทำของเทียนหยูเฮง นางจึงรีบเขวี้ยงมีดเทพสังหารที่อยู่ในมือนางออกไปที่เหรียญหยกทันที
ที่นางเลือกใช้มีดเทพสังหารนั่นก็เพราะการเปิดใช้งานอาวุธระดับจักรพรรดิหรือเปิดใช้งานโองการจักรพรรดิ มันก็ไม่เร็วท่านการใช้มีดเทพสังหาร
ตราบใดที่นางสามารถทำลายเหรียญหยกได้ นางก็มั่นใจว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะยังคงอยู่ในการควบคุม
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีดเทพสังหารที่รวดเร็วปานสายฟ้าพุ่งไปปะทะที่เหรียญหยก เหรียญหยกก็สว่างวาบขึ้นและทำให้มีดเทพสังหารแข็งค้างทันทีและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ในเวลาเดียวกัน เหรียญหยกที่เรืองแสงขึ้นก็มีเงาจาง ๆ ของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
“มีดเทพสังหาร เจ้าคือคนที่มาจากสำนักเบญจธาตุ?” ร่างที่เลือนรางถามขึ้น
ร่างเงาในตอนนี้เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกคนเห็นได้ว่าร่างนั้นคือชายชราที่ศีรษะเต็มไปด้วยผมสีขาว แต่มีดวงตาที่สว่างไสวราวกับดวงดาว ซึ่งแม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นเพียงร่างเงาแต่มันก็ไม่ทำให้ดวงตาที่เปล่งประกายของเขาขุ่นมัวลงไปได้เลย
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของชายชราที่เป็นร่างเงาผู้นี้ สีเป่ยเซียะโค้งคำนับและพูดว่า “ใช่แล้ว ผู้น้อยมาจากสำนักเบญจธาตุ!”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็ไม่พูดอีกต่อไป
นี่เป็นเพราะนางรู้ว่าบุคคลเช่นนี้น่ากลัวเพียงใดแม้ว่าจะเป็นเพียงร่างเงา แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะต่อต้านได้ต่อให้นางจะใช้อาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิในมือก็ตาม
เมื่อได้รับคำตอบของสีเป่ยเซียะ ร่างนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่ลั่วหยุน
ลั่วหยุนเป็นฝ่ายเริ่มพูดว่า “ผู้ดูแลหอการค้าเชื่อมสวรรค์อาณาเขตนภา ตำหนักเทพโชคลาภ ลั่วหยุน คารวะผู้อาวุโส!”
อันที่จริงก่อนหน้านี้เขารู้ดีว่าสถานการณ์มันจะต้องเลยเถิดแน่นอน ซึ่งเขาเองก็ต้องการที่จะเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขาเองก็ไม่สามารถลงมือได้ทันเวลา
ร่างนั้นหันหน้าไปทางลั่วหยุนและพยักหน้าเล็กน้อย “เนื่องจากเจ้าเป็นคนจากตำหนักเทพโชคลาภ งั้นก็ดี เราต้องการหนึ่งในสิทธ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ! และราคาที่จะใช้แลกเปลี่ยนก็คือ 17 ชีวิตและอาวุธระดับจักรพรรดิ 2 ชิ้น”
อาวุธระดับจักรพรรดิทั้งสองเป็นอาวุธระดับจักรพรรดิในมือของลั่วหยุน และอาวุธระดับจักรพรรดิในมือของสีเป่ยเซียะ ส่วน 17 ชีวิตนั้นก็คือ จำนวนของชีวิตพวกเขาทั้งหมดรวมกัน
อย่างไรก็ตาม ลั่วหยุนและคนอื่น ๆ ต่างก็สับสนเล็กน้อย ชายชราผู้นี้ที่พวกเขาเผชิญอยู่ไม่ได้นับผู้คนและอาวุธระดับจักรพรรดิที่อยู่ในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาหรือว่าอะไร?
ทุกคนนิ่งเงียบเพราะเมื่อต้องเผชิญกับตัวตนเช่นนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางที่จะจัดการกับมันได้
พวกเขาต้องยอมจริง ๆ งั้นหรือ?
ผู้คนที่เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นยังคงอยู่ในขั้นตอนการเข้า ดังนั้นพวกเขาจะตกลงกันได้อย่างไร? ต้องเรียกกลุ่มคนที่กำลังเข้าไปให้ออกมางั้นเหรอ?
ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่นพลางถอนหายใจกับตัวเอง ถ้าเขายังคงมีร่างกายอยู่และด้วยพรสวรรค์ของเขา ในช่วงหมื่นกว่าปีที่ผ่านมาเขาควรจะก้าวไปถึงระดับของร่างเงาที่อยู่ตรงหน้าแล้วใช่ไหม? หรือต่อให้เขายังมีระดับไม่ถึงกับคนที่อยู่ตรงหน้า ถ้าหากเขายังคงมีร่างกายอยู่ เขาก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรกับแค่ร่างเงานี้แม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เขาจะต้องคุยกับหลิงตู้ฉิงเพื่อเรียนรู้วิธีใช้ดวงวิญญาณของเขาในการฝึกฝน
เมื่อเขานึกถึงหลิงตู้ฉิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆา
ไม่ใช่ว่าตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้ควรจะถูกจัดการโดยตัวตนที่พิสดารอีกตัวตนหนึ่งที่อยู่ในค่ายกลนั้นไม่ใช่เหรอ?
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลยจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และมันดูเหมือนว่าร่างเงานี้ก็จะไม่เห็นถึงการดำรงอยู่ของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาเช่นกัน
ทันใดนั้นลั่วหยุนก็นึกถึงยันต์เคลือบหยกที่หลิงตู้ฉิงมอบให้เขาที่มีรูปกระบี่อยู่ด้านใน
มันจะทำให้เขารับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันได้หรือไม่? มันน่าจะทำได้ใช่ไหม?
ถ้ามันไม่ได้ทรงอำนาจมากกว่าเขา แล้วหลิงตู้ฉิงจะมอบมันให้กับเขาทำไมจริงไหม?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วหยุนพูดอย่างประหม่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านจะขัดข้องอะไรไหม หากข้าจะขอลองใช้สักหนึ่งกระบวนท่ากับท่านเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านสักครั้ง และถ้าหากข้าไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลย ข้าจะยอมมอบ 1 สิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับท่านแน่นอน”