บทที่ 68 ขอทานชรา[รีไรท์]
หลังจากถึงคฤหาสน์ตระกูลมี่แล้ว มี่ไลได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับมี่ตั้วตั้วฟัง
หลังจากมี่ตั้วตั้วได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบเขาก็ถอนหายใจ เมื่อมี่ตั้วตั้ววิเคราะห์จากเรื่องราวที่ได้ฟังแล้ว เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาและหลิงตู้ฉิงน่าจะยังไม่มีผลกระทบอะไรมากมายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่เขาก็ได้ย้ำเตือนมี่ยี่ถงไปอีกรอบว่าต่อไปนี้ห้ามมี่ยี่ถงไปก่อกวนที่เรือนหลิงอีกเป็นอันขาด
เมื่อมี่ยี่ถงได้ยินคำสั่งของมี่ตั้วตั้วแล้วเขาทำได้แต่พยักหน้ารับปากด้วยอารมณ์ไม่พอใจ พร้อมกับกล่าวถามเหตุผลว่าทำไมพ่อของเขาถึงส่งพี่สาวของเขาไปเป็นบ่าวรับใช้ให้กับเรือนหลิง ซึ่งมี่ตั้วตั้วไม่สนใจที่จะอธิบายเหตุผล และไล่มี่ยี่ถงกลับไปพักผ่อน
หลังจากไล่มี่ยี่ถงไปแล้ว มี่ตั้วตั้วส่งยิ้มให้กับมี่ไล “เป็นอย่างไรบ้างลูกสาวของพ่อ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับหลิงตู้ฉิงคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
มี่ไลเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้จึงกระแทกเสียงตอบ “ท่านพ่อ ทำไมดูเหมือนท่านจะรีบร้อนให้ข้าได้เสียกับหลิงตู้ฉิงนัก?”
มี่ตั้วตั้วเอ่ยตอบด้วยอาการไม่สบอารมณ์ “หากเจ้าไม่ใช้โอกาสในตอนนี้ที่เขายังโสดมัดใจเขาให้ได้ ในอนาคตต่อไปหากเขาเจอผู้หญิงที่ชอบแล้ว ตัวเจ้าเองนั่นแหละที่ต้องมานั่งเสียดายโอกาส อีกอย่างเจ้าเองก็รู้ดีว่าหลิงตู้ฉิงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับสามีในอนาคตของเจ้า หากเจ้าจะแต่งงานกับใครสักคนเขาเองก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือไง?”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” มี่ไลเริ่มไม่อยากจะคุยเกี่ยวกับเรื่องประเด็นนี้แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพ่อ แล้วเรื่องโอสถกำเนิดรากฐานล่ะไปถึงไหนแล้ว?”
เมื่อมี่ไลถามถึงเรื่องโอสถกำเนิดรากฐานมี่ตั้วตั้วก็รู้สึกเบิกบานหัวใจ
“ตอนนี้พวกเรากำลังกว้านซื้อสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถกำเนิดรากฐานอยู่ และตอนนี้อาจารย์หวงก็สามารถหลอมมันขึ้นมาด้วยตัวเองได้แล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์ของหอการค้าเราไม่ดีสักเท่าไหร่ เรากำลังโดนกดดันจากหอการค้าอื่น ๆ อย่างหนักหน่วง เป็นไปได้ว่าหากยังถูกกดดันแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หอการค้าเราอาจจะล้มละลายได้!”
ในตอนที่มี่ตั้วตั้วพูดคำว่าล้มละลายใบหน้าของเขายังแสดงสีหน้ายิ้มแย้มไม่เหมือนกับคนทุกข์ใจเท่าไหร่
เหตุผลนั่นก็เป็นเพราะจริง ๆ แล้วหอการค้าของเขาไม่มีวันล้มละลายจริง ๆ แน่นอน เขามีสูตรโอสถกำเนิดรากฐานอยู่ในมือ ด้วยสูตรยาสูตรนี้เพียงสูตรเดียวอนาคตของตระกูลเขาจะต้องรุ่งเรืองจนไร้ขีดจำกัดแน่นอน
เมื่อมี่ไลเห็นสีหน้าของพ่อนาง นางจึงคลายกังวล “ท่านพ่อแล้วแผนต่อไปของท่านคืออะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ของมี่ไล สีหน้าของมี่ตั้วตั้วก็เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ด้วยสูตรโอสถกำเนิดรากฐาน แน่นอนว่าตระกูลเราจะต้องทำกำไรได้มหาศาล แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่อยู่สองประการที่เราจะต้องจัดการ”
“ประการแรก เราต้องแก้ปัญหาภายในหอการค้าของเราให้เร็วที่สุด ในตอนนี้พ่อกำลังจับตามองคนของเราในหอการค้าที่น่าจะเป็นหนอนให้กับตระกูลอื่นอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่หอการค้าของเรากำลังอยู่ในช่วงวิกฤต พ่อเชื่อว่าอีกไม่นานหนอนพวกนั้นจะต้องค่อย ๆ เผยตัวออกมาแน่นอน จากนั้นพ่อจะทำการกำจัดพวกมันให้หมดในทีเดียวเพื่อทำให้รากฐานของหอการค้าเรามั่นคงขึ้นในอนาคต”
“ประการที่สอง ปัญหาความแข็งแกร่งของตระกูลเราจัดว่ายังอ่อนแออยู่หากเทียบกับตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ตระกูลของเราไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราเลยแม้แต่คนเดียว ปัญหานี้ในตอนแรก พ่อได้วางแผนไว้ว่าพ่อจะใช้โอสถดาราประสานที่ปรมาจารย์หลิงหลอมขึ้นมา ทำให้พ่อทะลวงขึ้นไปยังขอบเขตรวมแสงดารา”
“แต่หลังจากที่พ่อได้ขอคำชี้แนะการบ่มเพาะจากปรมาจารย์หลิงแล้วพ่อจึงได้เข้าใจว่าการทะลวงขอบเขตรวมแสงดารานั้นไม่ง่ายอย่างที่พ่อคิด พ่อจำเป็นต้องบ่มเพาะระดับขอบเขตประสานทะเลปราณไปจนถึงระดับที่สิบสองก่อนพ่อถึงจะสามารถทะลวงไปยังขอบเขตรวมแสงดาราได้”
“ซึ่งขั้นตอนนี้พ่อจะต้องใช้เวลาเก็บตัวบ่มเพาะอยู่พักใหญ่ ฉะนั้นแผนในการเปิดตัวโอสถกำเนิดรากฐานเข้าสู่ตลาด จะต้องเลื่อนไปจนถึงช่วงเวลาที่พ่อเลื่อนระดับไปถึงระดับสิบสองก่อนแล้วทะลวงขอบเขตไปยังรวมแสงดารา จากนั้นเราถึงจะสามารถเปิดตัวโอสถของเราได้”
“พ่อคาดว่าเวลาที่อาจจะเหมาะสมที่สุดน่าจะเป็นช่วงหลังปีใหม่”
เมื่อมี่ไลได้ฟังแผนการของพ่อนางจนจบ นางหยุดคิดอยู่พักใหญ่ “ข้าเห็นด้วยกับแผนการของท่านพ่อ แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าคิดว่าข้าจะกลับไปขอความคิดเห็นเรื่องนี้จากท่านหลิงไว้ด้วยอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะยังไง ท่านพ่อ ท่านต้องหาวัตถุดิบที่ท่านหลิงต้องการให้ครบโดยเร็วที่สุด นี่เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกที่เราต้องจัดการให้สมบูรณ์”
มี่ตั้วตั้วได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะคิกคัก “เรื่องสำคัญอันดับแรกก็คือเจ้าควรมีทายาทให้เขาสักคนมากกว่า”
“ท่านพ่อ ท่านเอาอีกแล้วนะ!” มี่ไลตะคอกเสียงใส่ “ข้าไม่สนใจท่านแล้ว ข้ากลับไปที่เรือนหลิงดีกว่า! ยังไงซะตอนนี้ข้าก็เป็นคนของตระกูลหลิงไม่ใช่คนของตระกูลมี่สักหน่อย!”
ตัดพ้อจบนางก็ลุกขึ้นและเดินออกจากเรือนไป
หลังจากเห็นมี่ไลจากไปแล้วมี่ตั้วตั้วได้เผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมาพร้อมกล่าวกับตัวเอง “ลูกข้า เจ้านี่มันไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าเจ้านั้นโชคดีแค่ไหน…”
ในระหว่างที่มี่ไลกำลังเดินทางกลับเรือนหลิง นางคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องที่พ่อของนางพยายามให้นางมัดใจหลิงตู้ฉิง “หากข้าได้เป็น…ของเขาแล้ว มันจะดีอย่างที่ท่านพ่อบอกหรือเปล่านะ…” นางพึมพำกับตัวเองจนในที่สุดนางได้มาถึงหน้าเรือนหลิง
และที่บริเวณหน้าประตู นางได้เห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกับอีกสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้คุ้มกันของเขา กำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่หน้าประตูเหมือนว่าจะอยากเข้าไปแต่ก็ไม่กล้าเข้า
เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าพวกท่านมาหาใครงั้นเหรอ?”
“ที่นี่ใช่เรือนของหลิงตู้ฉิงรึเปล่า?” ชายหนุ่มผู้นั้นถาม
“ถูกต้องแล้ว” มี่ไลพยักหน้า “แล้วพวกท่านเป็นใคร? พวกท่านมีธุระอะไรกับนายท่านของข้างั้นเหรอ?”
“ข้าเป็นญาติของเขา ข้าชื่อว่าหลิงฉิงเฟิง ข้าเดินทางมาจากเมืองหลวงเพื่อที่จะมาพบกับเขา ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ในเรือนหรือเปล่า?” หลิงฉิงเฟิงยิ้ม
เมื่อมี่ไลได้ยินนางก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ เกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้ “เช่นนั้นท่านโปรดรอสักครู่ ข้าขอเข้าไปรายงานให้นายท่านได้ทราบก่อน”
มี่ไลรู้สึกแปลกใจมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องญาติของหลิงตู้ฉิงมาก่อนว่าเขามีญาติอยู่ที่เมืองหลวง นางเข้าใจว่านอกจากลูก ๆ บุญธรรมและพ่อแม่ที่จากไปของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีญาติคนอื่นอีก
นางรีบเดินไปหาหลิงตู้ฉิงที่กำลังเล่นหมากรุกเซียนกับลูก ๆ ของเขาอยู่ “นายท่าน มีชายสามคนยืนรอท่านอยู่หน้าเรือน หนึ่งในนั้นแจ้งว่าเป็นญาติของท่าน เขาแจ้งว่าเขาต้องการพบท่าน ท่านจะให้ข้าพาเขาเข้ามาไหม?”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว “ญาติงั้นเหรอ?”
เขาเองก็ไม่เคยได้ยินว่าตัวเองมีญาติเหมือนกัน แล้วคนที่อ้างว่าเป็นญาติของเขาคนนี้เป็นใครกัน?
“ไปบอกให้พวกเขาเข้ามาได้”
มี่ไลได้ยินคำสั่งเช่นนั้นจึงเดินกลับไปที่ประตูเรือนแล้วเชิญหลิงฉิงเฟิงเข้ามาด้านใน
อันที่จริงหลิงฉิงเฟิงเองก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขามีญาติอยู่ที่เมืองฟินิกซ์ด้วย
หากไม่มีเหตุการณ์ที่เจิ้นฟูเห่าบุกไปที่คฤหาสน์หลิง หลิงเจิ้งสงคงไม่มีวันเล่าเรื่องลุงของเขาอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรนอกสมรสของหลิงเจิ้งสงให้เขาฟัง ทำให้เขาพอทราบประวัติคร่าว ๆ ของลุงของเขาคนนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นประวัติที่หลิงเจิ้งสงแต่งขึ้นมา
หลิงฉิงเฟิงเมื่อเข้ามาถึงในลาน เขาก็เห็นเหล่าเด็ก ๆ มากมายที่บางคนก็เหมือนกำลังฝึกฝนวิชาอยู่ บางคนก็เหมือนกับกำลังเล่นของเล่นแปลก ๆ เช่นเดินเข้าออกประตูแปลก ๆ ไปมา มองกวาดไปเขาจึงเห็นหลิงตู้ฉิงที่กำลังนั่งเล่นหมากรุกกับเด็กอีกสองคน
หลิงตู้ฉิงที่กำลังนั่งเล่นหมากรุกกับลูกของเขาไม่แม้แต่จะหันมามองหลิงฉิงเฟิงที่เดินเข้ามายืนอยู่กลางลาน จะมีก็แต่มี่ไลที่เดินยกเก้าอี้มาให้หลิงฉิงเฟิงนั่ง
บรรดาผู้คุ้มกันสองคนที่มากับหลิงฉิงเฟิงเมื่อเห็นภาพที่หลิงฉิงเฟิงทถูกเมินเฉยพวกเขาจึงเริ่มขมวดคิ้วไม่พอใจ
หลังจากหลิงตู้ฉิงเล่นจนจบกระดานเขาเอ่ยกับหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียน “พวกเจ้าสองคนเล่นกันไปก่อน”
เมื่อพูดกับลูกของเขาเสร็จ หลิงตู้ฉิงหันมาทางหลิงฉิงเฟิง “ข้าไม่เคยได้ยินพ่อแม่ของข้าพูดว่าเรามีญาติคนอื่นมาก่อน ข้าขอถามหน่อยว่าเจ้าเป็นญาติทางฝั่งไหน?”
หลิงฉิงเฟิงยิ้มและตอบ “พวกเรามีปู่คนเดียวกัน ปู่ของเราคือแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรจันทราหลิงเจิ้งสง ส่วนพ่อของเจ้าคือบุตรนอกสมรสของท่านปู่เรา”
เมื่อมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยได้ยินถึงต้นตระกูลของหลิงตู้ฉิงพวกนางก็ทำตาโต แต่สำหรับพวกเด็ก ๆ นั้นข่าวนี้ไม่มีผลกระทบใด ๆ กับพวกเขาเลย พวกเขาไม่สนใจว่าหลิงตู้ฉิงจะมีญาติกี่คน สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือพวกเขามีหลิงตู้ฉิงเป็นพ่อของพวกเขาก็พอแล้ว
เมื่อหลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็ส่ายหัว “ข้าต้องการหยดเลือดของเจ้าเพื่อยืนยัน!”
หลิงฉิงเฟิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มของเขาก็เริ่มจางลง แต่เขาก็ยังส่งหยดเลือดไปให้หลิงตู้ฉิง
เมื่อหลิงตู้ฉิงได้รับหยดเลือดมาแล้ว เขาก็เริ่มใช้วิชาลับเพื่อตรวจสอบที่มาของสายเลือดว่าตรงกันกับของเขาหรือไม่
“เจ้าไม่ใช่ญาติของข้า” หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเราไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเจ้าถึงมาอ้างว่าเป็นญาติของข้า แต่ข้าก็ขี้เกียจที่จะถือสาหาความ เอาล่ะพวกเจ้ากลับไปได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิงตู้ฉิง มี่ไลเดินออกหน้ามาทันทีพร้อมกับชี้ไปที่ประตู “พวกท่านเชิญ!”
ตอนนี้หลิงฉิงเฟิงตกตะลึงทันที
ไม่ใช่ว่าท่านปู่บอกว่าหลิงตุ้ฉิงเป็นบุตรของลูกนอกสมรสไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น?
แล้วทำไมด้วยเลือดเพียงแค่หยดเดียว หลิงตู้ฉิงถึงมั่นใจว่าพวกเขาไม่ใช่ญาติกันล่ะ?
ต่อให้ใช้เลือดในการตรวจสอบ วิธีนี้มันก็ใช้ได้ผลแต่เฉพาะลูกหลานที่สืบเชื้อสายตรงมาจากพ่อแม่เดียวกันเท่านั้น แล้วนี่พวกเขาเป็นแค่ญาติห่าง ๆ กัน แล้วหลิงตู้ฉิงจะมามั่นใจได้ยังไง?
แต่เมื่อหลิงฉิงเฟิงเห็นท่าทางจริงจังของหลิงตู้ฉิงแล้วเขาจึงรีบแก้ตัว “รอเดี๋ยว ข้าคิดว่านี่มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอนให้ข้าได้อธิบายก่อน!”
“มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดแน่นอน ได้โปรดจากไปเสีย!” มี่ไลกล่าวอย่างไร้เยื่อใย
ผู้คุ้มกันสองคนที่มากับหลิงฉิงเฟิงเริ่มจะทนไม่ไหว “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงได้กล้าออกคำสั่งกับนายน้อยของเราแบบนี้!?”
“องครักษ์!” หลิงตู้ฉิงที่กำลังนั่งอยู่ใกล้กระดานหมาก เขาได้ยกตัวหมาก องครักษ์ ขึ้นมาจากกระดาน และกระแทกมันลงไปบนกระดานอีกครั้ง ทันใดนั้นหลิงฉิงเฟิงและผู้คุ้มกันอีกสองคนที่ยืนอยู่กลางลานได้รู้สึกว่าเหมือนกับมีพลังอะไรบางอย่างก่อตัวอยู่ที่ใต้เท้าของพวกเขา จากนั้นพลังนั้นได้ปะทุขึ้น ส่งผลให้ทั้งหลิงฉิงเฟิงและผู้คุ้มกันลอยละลิ่วออกไปนอกเรือนหลิงตกไปบนถนนที่อยู่ไม่ไกลจากเรือน
หลิงฉิงเฟิงที่พยายามคลานขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเศษฝุ่น เขามองไปยังเรือนหลิงที่อยู่ไม่ไกลด้วยอารมณ์โมโหปนหวาดหวั่น
นี่เขาโดนอะไรเข้าไปถึงได้กระเด็นลอยละลิ่วออกมาถึงตรงนี้ ทำไมเข้าถึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย?
พวกเขาสามคนเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่กลับไม่สามารถต่อต้านพลังวิญญาณเมื่อกี้ได้เลย
เรือนหลิงนี่มันจะแปลกเกินไปแล้ว!
“นายน้อย พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี?” ผู้คุ้มกันทั้งสองคนถามหลิงฉิงเฟิงด้วยอาการตื่นตระหนก เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้พวกเขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“พวกเราไปหาโรงแรมพักกันก่อน แล้วจากนั้นเราค่อยหาข้อมูลเพิ่มเติม และที่สำคัญพวกเราต้องสืบเรื่องที่เขามีปัญหาขัดแย้งกับตระกูลเจิ้นด้วยว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่” เมื่อหลิงฉิงเฟิงกล่าวเสร็จเขาก็นำผู้คุ้มกันของเขาเดินจากไป
ในเวลาเดียวกับที่หลิงฉิงเฟิงและผู้คุ้มกันทั้งสองเดินจากไป ขอทานชราผู้หนึ่งได้เดินมาที่หน้าเรือนหลิงและเคาะประตู
มี่ไลที่กำลังโมโหพวกหลิงฉิงเฟิงที่พูดไม่รู้เรื่อง ได้เดินมาเปิดประตู “ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้เจ้าไป….อะ อ้าว ท่านผู้เฒ่า ข้าขอโทษ ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
ขอทานชราเฒ่าส่งสายตาอ้อนวอน “คุณหนู…ได้โปรดให้ข้าเข้าไปข้างในด้วยเถอะ ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว…”
มี่ไลได้ยินเช่นนั้นจึงหยิบเหรียญทองจำนวนหนึ่งขึ้นมาและยื่นให้ “ท่านผู้เฒ่า รับเงินนี้ไป และรีบเอาไปซื้อของกินเถอะ”
“แต่ว่าคุณหนู ถ้าหากข้าใช้ทองที่ท่านให้จนหมด ต่อไปข้าก็ต้องหิวอีกน่ะสิ ได้โปรดรับข้าเข้าไปอยู่ด้วยเถอะ” ตอนนี้ขอทานเฒ่าเริ่มหลั่งน้ำตา
“คุณหนู ข้าได้ยินจากคนแถวนี้มาว่า เจ้านายที่เรือนนี้เป็นคนจิตใจดีงามอันดับหนึ่ง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก…คุณหนูได้โปรดพาข้าไปหาเขาหน่อย เขาต้องอนุญาตให้ข้าอยู่ด้วยแน่นอน…”
“แต่…ว่า นายท่านของข้า เขา….” ในเวลาเดียวกับที่มี่ไลกำลังจะหาคำพูดปฎิเสธนางได้ยินเสียงหลิงตู้ฉิงจากในเรือนดังขึ้น
“ให้เขาเข้ามา…”
เมื่อนางได้ยินคำอนุญาตของหลิงตู้ฉิง นางจึงพยักหน้าและช่วยพยุงขอทานชราเข้าไปในเรือน….