บทที่ 392 อำนาจของเพลงกระบี่และเงาลึกลับ
บนเวทีการต่อสู้หน้าบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต ในขณะนี้มีคนอยู่ราว 300 กว่าคน
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของตงฟางจุน ทุกคนก็ตื่นตัวอย่างเต็มที่
“ชิ้งงงงงงง…..”
ทุกคนต่างได้ยินเสียงเดียวกัน ซึ่งมันเป็นเสียงชักกระบี่ที่ก้องกังวาลเหนือเสียงการชักกระบี่ปกตินับร้อยเท่า และจากนั้นปราณกระบี่สีขาวราวกับหิมะก็ส่องสว่างแยงเข้าไปที่ดวงตาของทุกคน
ปราณกระบี่นี้ถูกปล่อยออกมาเป็นรูปวงแหวนขยายออกจากร่างซึ่งมีตงฟางจุนเหมือนกับเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งปราณกระบี่นี้กวาดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขาในระยะ 100 เมตรในชั่วพริบตา
หลังจากนั้นทุกคนก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็งจากการกระบวนท่าของตงฟางจุน พวกเขาทุกคนต่างมองไปที่เวทีด้วยความประหลาดใจ
ไม่มีใครขยับหลบหรือปัดป้องได้ทันเพราะลำแสงกระบี่เร็วเกินไป
แต่ผลล่ะ?
ขณะนี้มันเหมือนกับว่าไม่มีใครมีอาการบาดเจ็บหรืออาการผิดปกติอะไรเลยแม้แต่น้อย
ตงฟางจุนที่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกงุนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับวิชากระบี่อันไร้เทียมทานในตำนานที่เขาเคยได้ยินมากัน? เหตุใดจึงไม่มีผลอะไรเลย?
อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไปไม่เกินสามลมหายใจ ผู้คนที่ยืนอยู่ในระยะปราณกระบี่ที่มาจากสำนักต่าง ๆ ก็เริ่มหยิบโอสถช่วยชีวิตของตัวเองขึ้นมาโยนเข้าปากด้วยใบหน้าซีดเซียว จากนั้นพวกเขาทุกคนก็เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาจากบริเวณเอวของพวกเขาทีละน้อย จากนั้นทุกคนที่อยู่นอกระยะปราณกระบี่ก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
‘ผลัวะ!’ เสียงวัตถุบางอย่างตกลงกระทบพื้น และวัตถุนั้นก็คือศีรษะของคนแคระที่ล้มลงกับพื้นเสียชีวิตทันที
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียง “ผลัวะ ผลัวะ” อีกหลายเสียงเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีสมบัติวิญญาณของอีกหลายคนที่แตกสลายและร่วงลงสู่พื้น
ในที่สุดสิ่งนี้ก็ยืนยันการคาดเดาของทุกคน
ภายใต้อำนาจของเผยคมสะบั้น มนุษย์ที่มีความสูงปกติทุกคนที่อยู่ในระยะ 100 เมตรของตงฟางจุนจะถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อนที่เอวของพวกเขา โชคดีที่คนเหล่านี้ที่สามารถเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ พวกเขาทั้งหมดต่างมาจากตระกูลที่มีภูมิหลังที่เพียบพร้อมพวกเขาแต่ละคนจึงมีโอสถช่วยชีวิตที่แสนวิเศษพกไว้อยู่กับตัว ซึ่งภายใต้ผลของโอสถครอบจักรวาลที่รักษาได้ บาดแผลที่เอวจึงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรจนถึงตาย
ยกเว้นไม่กี่คนที่ถูกตัดหัวและหัวใจ เนื่องจากส่วนสูงของพวกเขาตามพันธุกรรมของเผ่าพันธ์พวกเขาเอง
แน่นอนว่าทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีที่ตงฟางจุนไม่ได้เล็งกระบี่ของเขาไปที่หัว ไม่เช่นนั้นตอนนี้มันคงจะมีศพนอนเกลื่อนไปทั่วอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เมื่อมองไปที่ฉากนี้ทุกคนก็ตกตะลึง นี่คือวิชากระบี่ที่เขย่าโลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อนงั้นหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ แม้แต่ตงฟางจุนเองก็ตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่านี่จะเป็นผลมาจากการออกกระบี่เพียงครั้งเดียวของเขา… มันช่างเป็นวิชากระบี่ที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง! เขายืนถือกระบี่ของเขาเอาไว้แน่นและคิดกับตัวเองอย่างเงียบ ๆ แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งและไร้ที่ติ แต่การใช้มันออกเพียงครั้งเดียวมันก็ทำให้ปราณกระบี่ในร่างกายของเขาถูกใช้ออกจนหมดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถึงแม้ว่าเขามีร่างกระบี่ แต่เขาก็ยังคงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการฟื้นปราณกระบี่ในร่างเพื่อให้ใช้มันได้อีกรอบ
“รู้หรือยังว่าตอนนี้ข้ามีพลังมากแค่ไหน?” ตงฟางจุนพูดขึ้น “เอาล่ะตอนนี้คงไม่มีใครขัดข้องแล้วใช่ไหม หากพวกข้าจะเป็นคนใช้บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตก่อน?”
คนส่วนใหญ่เงียบ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่แสดงสีหน้าไม่เต็มใจ โอกาสล้ำค่าเช่นนี้พวกเขาจะต้องปล่อยให้คนอื่นตัดหน้ามันไปง่าย ๆ แบบนี้จริง ๆ หรือ?
“เท่าที่ข้ารู้ จุดอ่อนของเผยคมสะบั้นนั้นก็คือมันใช้ปราณกระบี่ในร่างของผู้ใช้อย่างมหาศาล ซึ่งคนส่วนใหญ่จะใช้มันได้เพียงแค่ครั้งเดียวและจากนั้นก็ต้องรอเวลาอีกสักพักถึงจะใช้มันได้ใหม่ ข้าสงสัยว่าตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งพอที่จะใช้มันได้อย่างต่อเนื่องแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ?” มีใครบางคนถามขึ้น
ตงฟางจุนหัวเราะ “เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าสำเร็จร่างกระบี่ขั้นปลาย แต่ถ้าพวกเจ้าอยากจะลองดูอีกรอบก็ได้ ซึ่งคราวนี้ข้าจะไม่เล็งไปที่เอวของพวกเจ้าแล้วนะ เพราะข้าถือว่าพวกเจ้าทุกคนรนหาที่ตายเอง!” ตงฟางจุนพยายามใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวกลบเกลื่อนอาการอ่อนแอเอาไว้ เขาต้องการใช้ความเป็นปริศนาของ ‘เผยคมสะบั้น’ ในการข่มผู้คนเหล่านี้เอาไว้
หรือต่อให้เขาจะไม่สามารถขู่คนพวกนี้ได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังมีหลิงตู้ฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา!
ว่าแต่เผยคมสะบั้นที่หลิงตู้ฉิงใช้มันน่าจะแข็งแกร่งกว่าของเขาใช่ไหม? แล้วทำไมหลิงตู้ฉิงถึงไม่แก้ปัญหาพวกนี้ด้วยตัวเองล่ะ?
ตงฟางจุนรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับคำถามนี้
บางคนขยาดจนไม่กล้าขยับ
เนื่องจากพวกเขากลัวว่ารอบนี้ ตงฟางจุนจะไม่เล็งที่เอวแต่ลงไปที่ตำแหน่งที่อยู่สูงกว่า!
และที่สำคัญกระบี่นั้นมันรวดเร็วเกินไป หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ พวกเขาจะไม่มีทางทำลายอักขระในห้วงจิตสำนักได้ทันแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีคนบางคนที่ไม่เชื่อและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าอยากลองดู!”
เมื่อคนผู้นั้นพูดจบ เขาก็กำอาวุธวิญญาณในมือของเขาพุ่งเข้าหาตงฟางจุนทันที พร้อมกับอีกหลายคนที่พุ่งตามไปเช่นกัน
ตงฟางจุนยิ้มอย่างขมขื่น มันจบแล้ว เขากำลังจะถูกเปิดโปง…
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนเหล่านั้นพุ่งตัวเข้ามาได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ร่างเงาปริศนาก็โผล่ออกมาจากเงามืดของพวกเขาเอง จากนั้นร่างเงาที่ปรากฎขึ้นก็เหวี่ยงหมัดอัดเข้าใส่หน้าอกของพวกเขาและหายไปทันที
ส่งผลให้บรรดาผู้คนเหล่านั้นที่ถูกโจมตีเข้าไปที่หน้าอกตัวเองอย่างจังจนพวกเขารู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขาได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นที่เรียบร้อย พวกเขาจึงรีบทำลายอักขระในห้วงจิตสำนึกและออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับทันทีด้วยความกระวนกระวายหวังว่าจะสามารถกลับไปหาผู้อาวุโสของพวกเขาที่อยู่ข้างนอกได้ทัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทุกคนตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เกิดอะไรขึ้น?
มีเพียงคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงเท่านั้นที่สังเกตเห็นเงาเหล่านั้นโผล่ออกมาจากร่างของหลิงเทียนหยุน
เสี่ยวหลิงเฟิงและเซียวเหลียนมองไปที่หลิงเทียนหยุนด้วยสาตาแปลกประหลาด พวกนางรู้ว่ามันคือหลิงเทียนหยุนแน่นอน แต่สิ่งที่พวกนางไม่รู้ก็คือเขามีความสามารถเช่นนี้ได้ยังไง!
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงเอ่ยขึ้น “ไป! พวกเราเข้าไปในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตได้แล้ว!”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ไม่สนใจผู้คนที่อยู่รอบ ๆ และเดินไปที่บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต พร้อมกับคนของเขา
เมื่อเขาเดินมาถึงด้านข้างของตงฟางจุน เขาส่งยิ้มให้และพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมาก เข้าไปในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตด้วยกันกับพวกข้า!”
“ขอบคุณศิษย์พี่!” ตงฟางจุนรีบพูด แม้ว่าเขาจะไม่สามารถต่อสู้ด้วยกระบี่ของเขาได้อีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงเดินได้ดี ดังนั้นเขาจึงรีบเดินตามไปทันที
แต่ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะเดินเข้าไปในถ้ำบ่อน้ำ เขาหยุดลงและหันกลับมาพูดกับเหล่าผู้คนที่จ้องมองอยู่ว่า “พวกข้ามีกันเพียงไม่กี่คน ดังนั้นจงวางใจ พวกข้าจะไม่ใช้น้ำต้นกำเนิดชีวิตจนหมดอย่างแน่นอน แต่จงจำไว้หากใครกล้ารบกวนเราขณะที่ใช้มันอยู่ก็จงเตรียมตัวทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เลยก็แล้วกัน”
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดจบก็มีคนตะโกนสวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองทันที “ทำไมเราต้องฟังเจ้า เจ้าเป็นบ้าอะ อ๊ากก…”
ไม่ทันจบประโยค คนผู้นั้นก็ร้องเสียงหลงและจับที่หน้าอกของตนเองและล้มลงไปกับพื้น
เหตุประหลาดนี้ทำให้ทุกคนต่างยอมก้มหัวยอมรับชะตาอย่างโดยดี
ทันใดนั้นมีคนชี้ไปที่เงาของคนข้าง ๆ และร้องอุทานว่า “มีอะไรบางอย่างอยู่ในเงาของเจ้า!”
ชายคนนั้นตกใจและตะโกนอย่างกระวนกระวาย “ใครกล้าแฝงตัวเข้ามาในเงาของพวกเราตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะแฝงตัวได้ตลอดไป รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อคนจากตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชาของเขา กลุ่มแสงสีขาวสว่างจ้าก็ปรากฎขึ้นบนอากาศส่งผลให้ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีร่างเงาของใครบางคนอยู่ในเงาจริง ๆ
ภาพที่ปรากฏขึ้นเช่นนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจทันทีว่าเมื่อครู่คนผู้นั้นที่ตายอย่างเป็นปริศนานั้นตายได้อย่างไร
ใครจะไปป้องกันการโจมตีที่มาจากเงาของตัวเองได้กัน?
เมื่อหลิงเทียนหยุนเห็นว่าคนที่เหลือพบร่างเงาของตัวเองแล้ว เขาก็มองไปยังทุกคนด้วยสายตาเยาะเย้ย และจากนั้นเขาก็หันกลับไปเดินตามหลิงตู้ฉิง
ซึ่งภาพต่อมาที่ทุกคนเห็นก็คือมีเงาจำนวนมากพุ่งเข้าหลอมรวมกับร่างกายของหลิงเทียนหยุนที่กำลังเดินตามหลิงตู้ฉิงไป
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าขัดขวางหลิงตู้ฉิงและคนของเขาในการใช้น้ำต้นกำเนิดชีวิตอีกต่อไป ทุกคนต่างรู้สึกหนาวสั่นด้วยความกลัว
มีใครบางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “นั่นมันไม่ใช่วิชาร่างเงาปีศาจของสำนักเก้าเทพอสูรใช่ไหม? มีใครที่อยู่สำนักเก้าเทพอสูรบ้างไหม จงออกมาอธิบายเดี๋ยวนี้!”
“ข้ารู้ว่ามีคนจากสำนักเก้าเทพอสูรได้เข้ามา แต่พวกเขาทั้งหมดนั้นคงไม่ได้เข้ามาที่เขตแดนของขอบเขตประสานทะเลปราณแน่นอน” ใครบางคนตอบกลับ
“งั้นมีใครพอจะรู้บ้างไหมว่ามันคืออะไร?” ใครบางคนถามขึ้นอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครสามารถตอบได้ ทุกคนรู้ดีว่าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเป็นจุดรวมของเหล่าอัจฉริยะของมหาพิภพไร้จุดจบ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรอัจฉริยะที่มีความสามารถเช่นนี้ต่างไม่มีใครเคยพบเห็นหรือได้ยินมาก่อน!
สำหรับหลิงตู้ฉิงและคนของเขา ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับปัญหานี้เลย ขณะนี้พวกเขาได้เข้าไปในถ้ำที่ด้านในเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตเรียบร้อยแล้ว และกำลังเตรียมที่จะลงไปเติมเต็มความฝันของพวกเขา