บทที่ 400 เปลี่ยนชื่อหวงซี
หวงซีมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงง นางรู้สึกได้ถึงเจตจำนงแห่งการสังหารที่คุ้มคลั่งจากร่างของหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันทำให้นางอดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว
คนที่ตั้งชื่อให้นางนั้นเป็นเป็นถึงบรรพจารย์ที่สุดแสนจะแข็งแกร่งของภูเขาฟีนิกซ์ เขากล้าพูดได้อย่างไรว่าจะฆ่าคนที่ตั้งชื่อให้นาง ด้วยระดับการบ่มเพาะขอบเขตประสานทะเลปราณ?
อย่างไรก็ตาม หากดูจากท่าทีของเขาแล้วนางเองก็แน่ใจว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
นอกจากนี้ สำหรับคนที่มีความสามารถถึงขนาดทะลวงกำแพงแบ่งโลกขอบเขตและผนึกนางไว้ได้โดยใช้พลังแห่งกฎในสถานที่อย่างเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ นางไม่เคยได้ยินคนที่มีความสามารถเช่นนี้มาก่อน
ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถจริง นางก็ยังรับไม่ได้ เหตุใดบุคคลนี้จึงบังคับให้นางเปลี่ยนชื่อ?
ทำไมนางถึงไม่สมควรถูกเรียกว่า หวงซี?
นางเริ่มคิดหนัก
ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่านางเคยได้อ่านข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งต้องห้ามในภูเขาฟีนิกซ์ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมนางถึงเคยได้อ่านข้อมูลลับสุดยอดแบบนี้นั้น เนื่องจากในฐานะที่นางเป็นองค์หญิงน้อย นางจึงมีโอกาสแอบอ่านข้อมูลนี้
ซึ่งในเนื้อหาของข้อมูลต้องห้ามนี้ บุคคลที่ชื่อหวงซีก็ได้ถูกบันทึกไว้ในนั้นอยู่เช่นกัน
แต่แล้วในช่วงเวลาที่นางเพิ่งจะเปิดอ่านหน้าแรก นางก็ถูกจับได้โดยผู้อาวุโสของนางซะก่อน ซึ่งจากนั้นนางก็ถูกพาตัวออกไปทันที
และหลังจากนั้นแม้ว่านางจะมีฐานะเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงสุดในรอบหมื่นปีและเป็นคนที่ทุกคนในภูเขาฟีนิกซ์เอาอกเอาใจมากที่สุด นางก็ถูกต้องโทษโดยการต้องหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกผิดเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่นางถูกลงโทษและไม่มีใครกล้าออกหน้าแทนนาง
จากนั้นนางก็ไม่กล้าแอบดูข้อมูลต้องห้ามนั้นอีกเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของหลิงตู้ฉิงในวันนี้ และพฤติกรรมแปลก ๆ ของเขา นางอาจจะลืมเหตุการณ์นี้ไปตลอดกาล
แม้ว่านางจะไม่รู้รายละเอียด แต่นางก็รู้อย่างชัดเจนว่านางมีชื่อเดียวกันกับใครบางคนในภูเขาฟีนิกซ์
ซึ่งมันอาจเป็นเพราะเหตุนี้ทำให้บุคคลที่ดูคล้ายกับปีศาจร้ายที่อยู่ตรงหน้านาง จึงจับตัวนางไว้และบอกให้นางเปลี่ยนชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมเขายังย้ำเตือนกับนางว่านางไม่คู่ควรกับชื่อนั้น
หลังจากเงียบไปนาน นางก็เงยหน้าขึ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “ข้ารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับชื่อของข้า แต่ข้าไม่รู้เหตุผลเบื้องหลังของมัน ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าไม่คู่ควรกับชื่อนั้น ถ้าเจ้าบอกเหตุผลกับข้า ข้ายินดีที่จะเปลี่ยนชื่อของข้าโดยที่ข้าจะไม่ปริปากบ่นออกมาแม้แต่ครึ่งคำ”
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เจ้าจะอายุครบ 200 ปีในปีนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุคคลที่เจ้านำชื่อของนางมาใช้ตอนที่นางอายุ 200 ปีนั้นอยู่ในขอบเขตไหน? นางอยู่ในขอบเขตสวรรค์สามัญเข้าไปแล้ว! โดยที่รากฐานการบ่มเพาะของนางก็เหมือนกันกับเจ้าทุกอย่าง นางใช้รากฐานขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ในการทะลวงขอบเขต!”
“ดังนั้นการที่เจ้ามีอายุครบ 200 ปี แล้วเพิ่งบ่มเพาะมาจนถึงแค่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 14 แล้วผู้คนมากมายต่างเยินยอว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปี นี่มันเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี! แล้วจากนั้นเจ้าคงไม่มีทางจินตนาการได้หรอกว่านางกลายเป็นตัวตนระดับไหนในท้ายที่สุด!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเคยเห็นข้อมูลมาก่อน แต่สำหรับสิ่งที่เจ้ารู้นอกเหนือจากคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ ข้ารู้ทุกอย่าง ดังนั้นเจ้าจงคิดให้ดีว่าเจ้าทำสิ่งใดไปบ้าง เจ้ามีสิทธิ์สมควรอะไรถึงได้รับชื่อนั้น? นอกเหนือจากฐานะองค์หญิงน้อยที่ทุกคนยินยอหรืออัจฉริยะที่ปรากฏตัวในรอบหมื่นปี เจ้ามันก็ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าตัวตนที่ทุกคนอุปโลกน์ขึ้น”
หวงซีก้มหัวลงช้า ๆ โดยไม่ตอบกลับแม้แต่คำเดียว
หลิงตู้ฉิงพูดต่อไปอย่างเย็นชา “แม้ว่าเจ้าจะได้รับการถ่ายทอดคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์มา แต่เนื้อหาที่เจ้าได้รับการถ่ายทอดมามันก็ไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ เจ้ารู้เรื่องนี้รึเปล่า? เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองรู้จักคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ งั้นเหรอ?”
เมื่อนางได้ฟังมาถึงตรงจุดนี้ มันก็ราวกับว่านางมีความมั่นใจขึ้นมา หวงซีเงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า “ข้าเข้าใจคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์…”
ก่อนที่นางจะพูดจบนางก็หุบปากลง เพราะนางสังเกตเห็นว่าร่างของหลิงตู้ฉิงถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงฟีนิกซ์และมีเงาของฟีนิกซ์ปรากฏอยู่ด้านหลังของหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันทำให้นางไม่สามารถเอ่ยอะไรต่อไปได้อีก
นี่เป็นเพราะคนตรงหน้านางได้ฝึกฝนคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์จนถึงระดับภาพเสมือนแล้ว ซึ่งมันคือสัญลักษณ์บ่งบอกว่าคนผู้นี้ได้ฝึกฝนคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางจึงรีบโค้งคำนับลงต่อหน้าหลิงตู้ฉิงอย่างเคารพโดยไม่กล้าพูดอะไร
ตอนนี้นางเข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้ว นางได้พบกับบรรพจารย์ที่แท้จริงของภูเขาฟีนิกซ์ ซึ่งมันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่ได้ฆ่านาง สิ่งที่เขาต้องการก็มีเพียงแค่สอนบทเรียนให้นางเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มันยังมีสิ่งหนึ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือ ถ้าเขาฝึกฝนคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ได้จนถึงระดับภาพเสมือนแล้วเหตุใดเขาถึงไม่เผยร่างที่แท้จริงของฟีนิกซ์ให้นางเห็นไปซะเลย?
หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาพร้อมกับสลายภาพร่างฟีนิกซ์บนร่างกายออกไป จากนั้นเมื่อเขามองไปที่หวงซีที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แววตาของเขาก็ปรากฎร่องรอยแห่งความโดดเดี่ยวอยู่ในนั้น เนื่องจากเขาได้นึกถึงบางสิ่งในอดีตขึ้นมา
ทางด้านเย่ชิงเฉิง อี้ลั่วเอ๋อและหลิงเทียนหยุนต่างก็ตกตะลึง
เป็นไปได้ไหมว่าสามี/นายท่าน/พ่อของพวกเขาเป็นบรรพจารย์ของภูเขาฟีนิกซ์?
เนื่องจากว่าวิชาที่หลิงตู้ฉิงสำแดงออกมาเมื่อครู่มันจะมีแค่เพียงแค่คนของภูเขาฟีนิกซ์ที่ใช้เวลานานนับไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะสามารถฝึกจนถึงระดับนี้ได้
หลังจากโค้งคำนับเป็นเวลานาน หวงซีก็เงยหน้าขึ้นและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามได้ไหมว่าในอนาคตข้าจะใช้ชื่อว่าอะไร?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หวงซีและพูดช้า ๆ “จากนี้ไปเจ้าชื่อ หวงเซียะ!”
“รับทราบ!” หวงเซียะพยักหน้า
เมื่อหวงเซียะพยักหน้า มันก็เหมือนมีบางอย่างหายไปจากร่างกายของนาง
ไม่มีใครเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่หลิงตู้ฉิงก็สามารถรู้สึกได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพูดกับหวงเซียะ “เงยหน้าขึ้น!”
เมื่อได้ยินคำสั่ง หวงเซียะเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่อฟัง แต่นางก็ยังไม่กล้าสบตากับเขาอยู่ดี
หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ปลดโซ่อัคคีที่พันธนาการหวงเซียะออกทีละเส้น ๆ จนหายไปทั้งหมด และเมื่อโซ่อัคคีทั้งหมดหายไป หวงเซียะก็กลับมารู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างอักขระเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและห้วงจิตสำนึกของนาง ซึ่งถ้านางต้องการที่จะถอนตัวออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับในตอนนี้ นางก็สามารถที่จะทำลายอักขระและออกไปได้ในทันที
แต่นางได้คิดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางจะยังไม่ออกไปข้างนอกเด็ดขาด
แม้ว่านางจะได้รับการสอนบทเรียนอย่างรุนแรง แต่การได้พบกับบรรพจารย์ของภูเขาฟีนิกซ์นั้นนับได้ว่าเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นางคิดว่าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะมอบให้นางได้
เมื่อปลดโซ่อัคคีทั้งหมดออกเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สนใจหวงเซียะต่ออีก เขาหันกลับมาและพูดกับเย่ชิงเฉิง “ข้าได้วัสดุทั้งหมดสำหรับให้เจ้าสร้างสมบัติแห่งชะตาชีวิตของเจ้าแล้ว ตอนนี้เราจะไปที่ดาวจันทราเพื่อสร้างสมบัตินั้นให้กับเจ้ากัน”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงจึงบินนำออกไปยังดาวจันทราทันที
เมื่อหวงเซียะเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่สนใจนาง นางจึงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงจึงบินเข้ามาที่ด้านข้างของหวงเซียะ และหัวเราะ “ข้าขอทำความเข้าใจกับเจ้าก่อน เป็นสามีของข้าที่เป็นคนบอกให้ข้าตีเจ้า! ถ้าหากเจ้ายังผูกใจเจ็บเจ้าสามารถไปเอาคืนกับเขาได้ นอกจากนั้น ที่เขาไม่ได้สอนบทเรียนให้กับเจ้าด้วยตัวเองมันก็เป็นเพราะเขามีความรู้สึกห่วงใยเจ้าอยู่ แต่เขาแค่แสดงออกไม่เก่งสักเท่าไหร่ ถ้าให้ข้าแนะนำเจ้าควรติดตามพวกเรามา ข้าแน่ใจว่าเขาคือคนที่รู้จักเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับดีกว่าทุกคน”
เมื่อพูดจบ เย่ชิงเฉิงก็เอื้อมมือไปดึงแขนหวงเซียะพานางบินตามหลิงตู้ฉิงไป
ขณะนี้ทุกคนจึงติดตามหลิงตู้ฉิงไปยังดาวจันทรา ซึ่งเป็นดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับดาวสุริยะ ซึ่งในโลกขอบเขตรวมแสงดาราของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับถือได้ว่าเป็นดาวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ส่วนความแตกต่างระหว่างดาวสุริยะและดาวจันทราก็คือรอบ ๆ ดาวจันทราจะมีหมอกสีเทาปกคลุมอยู่และภายในหมอกนั้นก็คือผลึกน้ำแข็ง “ชิงเฉิง ตามข้าเข้าไปข้างใน ส่วนคนอื่น ๆ รอข้าอยู่ข้างนอก” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่ง หลังจากนั้นเขาก็ดึงเย่ชิงเฉิงเข้าสู่ดาวจันทรา
แม้ว่าจะมีผลึกน้ำแข็งอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่เย่ชิงเฉิงก็รู้สึกสบายใจเมื่อนางลงสู่พื้นผิวของดาวจันทรา
“สามีนี่มันเกี่ยวข้องกับที่ข้าได้ฝึกฝนวิชามหาจันทราศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า?” เยว่ชิงเฉิงถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง เอาล่ะเจ้าสามารถฝึกฝนวิชามหาจันทราศักดิ์สิทธิ์ได้ที่นี่จนกว่าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะปิด ตอนนี้จงเอาหินจันทราศักดิ์สิทธิ์และหยกวิญญาณแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้ามีมาให้ข้า ข้าจะปรับแต่งพวกมันให้กับเจ้า”