บทที่ 7 ไล่ออก[รีไรท์]
จ้าวเหมิงลู่เหม่อไปพักหนึ่งหลังจากได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง
นางพูดด้วยความลำบากใจว่า “พื้นที่ในแหวนมิติของข้ามันไม่สามารถเก็บสัตว์อสูรที่ใหญ่ขนาดนี้ได้หรอก หรือไม่ข้าก็ทำได้แค่ต้องตัดเอาแต่เฉพาะส่วนที่มีราคาสูงของมันไปก็เท่านั้น”
หลิงตู้ฉิงมองนางด้วยความประหลาดใจแล้วพูดว่า “นี่เจ้าบ่มเพาะไปถึงขอบเขตประสานทะเลปรานแล้ว แต่นี่เจ้ายังไม่รู้วิธีใช้วิชาประทับตราย่อส่วน เพื่อย่อขนาดสิ่งของได้อีกงั้นเหรอ?”
จ้าวเหมิงลู่ส่ายหัว นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก แล้วคิดในใจว่าวิชาแบบไหนกันที่จะทำให้สิ่งของขนาดใหญ่ย่อลงได้?
หลิงตู้ฉิงแปลกใจ “นี่มันไม่ใช่ทักษะที่ทุกคนจะต้องรู้งั้นหรือ? ทำไมที่สถาบันของเจ้ายังไม่สอนวิธีนี้อีกล่ะ มา ๆ เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเอง นี่ถ้าหากไม่ใช่ว่าระดับของข้าต่ำเกินไปจนใช้วิชานี่ไม่ได้ด้วยตนเองไม่อย่างนั้นข้าคงจะเอาอสูรเกราะเหล็กกลับไปด้วยตัวเองแล้ว”
หลังจากพูดเสร็จก็สอนจ้าวเหมิงลู่ถึงวิธีใช้วิชาประทับตราย่อส่วน
พอมาถึงตอนนี้จ้าวเหมิงลู่เริ่มสติแตก เริ่มคิดว่านี่มันวิชาบ้าบออะไรกัน ทำไมวิชาที่มันวิเศษมากขนาดนี้นางถึงไม่เคยได้ยิน
“เจ้าเรียนรู้แล้วหรือยัง” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นมา จ้าวเหมิงลู่ได้แต่ส่ายหัว นางไม่เคยเห็นวิชาแบบนี้มาก่อนเลย แล้วนางจะมีปัญญาเรียนรู้มันในเวลาอันสั้นได้อย่างไร
“เจ้านี่มันบื้อจริง ๆ” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว จากนั้นก็พูดต่อ “เอาล่ะ ฟังให้ดี ๆ นะ ข้าจะสอนเจ้าอีกแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ถ้าเจ้ายังไม่สามารถเรียนรู้ได้ภายในอีก 3 ครั้ง เจ้า…เจ้าต้องแยกชิ้นส่วนของอสูรเกราะเหล็กนี่เองแล้วค่อยเอามันไปขาย”
จ้าวเหมิงลู่ไม่กล้าที่จะเสียสมาธิอีกต่อไป นางรีบเพ่งสมาธิไปกับการเรียนรู้เพียงอย่างเดี๋ยว แล้วหลังจากที่นางตั้งใจจึงสามารถเรียนรู้ได้สำเร็จภายในการสอนครั้งที่สอง
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ามั่นใจแล้ว เจ้ามาลองดู” หลิงตู้ฉิงพูด จ้าวเหมิงลู่เดินไปยังอสูรเกราะเหล็กที่นอนหงายท้องอยู่ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับผลลัพท์ของวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา จากนั้นนางจึงเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางตามที่หลิงตู้ฉิงได้สอนส่งไปยังศพของอสูรเกราะเหล็ก
นางสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่ไหลออกจากร่างของนางอย่างบ้าคลั่ง และในเวลานั้นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านางก็ค่อย ๆ ย่อส่วนลง หลังจากที่นางใช้พลังวิญญาณไปครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่นางมี อสูรเกราะเหล็กที่อยู่ตรงหน้าของนางขนาดก็เหลือเพียงแค่ความยาวของหนึ่งแขนนาง
เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ยังคงอยู่บวกกับที่นางฝืนใช้พลังวิญญาณออกไปจึงทำให้นางไอออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่นางก็ไม่ได้สนใจในอาการบาดเจ็บนี้
“ง่ายแค่นี้เลยหรือ?” จ้าวเหมิงลู่พูดอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ข้าไม่เห็นว่ามันวิเศษตรงไหน” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างระอา
ในแดนเทพ แม้แต่เด็กแบเบาะยังรู้วิธีใช้วิชาตราประทับนี้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจ้าวเหมิงลู่จะต้องตื่นเต้น
“ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเท่าไหร่เจ้าก็สามารถย่อส่วนสิ่งของได้มากเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเจ้าสามารถใช้วิชานี้ได้แต่สิ่งของที่ไม่มีชีวิตเท่านั้น ถ้าเจ้าอยากจะย่อส่วนสิ่งมีชีวิตมันจะต้องใช้ทักษะอื่นซึ่งไม่ใช่วิชานี้” หลิงตู้ฉิงกล่าวเตือน
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ขอบเขตหลอมรวมลมปราณที่สามารถสังหารสัตว์อสูรที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปรานได้ แล้วยังสามารถสอนวิชาลึกลับให้กับนางได้อีกเพื่อเงินแค่กว่าหมื่นเหรียญทอง สวรรค์! นี่มันช่าง…นางจ้องไปยังชายลึกลับผู้นี้แล้วคำถามมากมายก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของนาง
เมื่อหลิงตู้ฉิงและจ้าวเหมิงลู่ออกมาจากส่วนลึกของป่าสัตว์เวทย์ พวกเขาก็ได้เห็นกลุ่มของหยานจุนสงและศิษย์ของเขาที่ยังไม่ได้จากไปไหนอยู่ตรงส่วนพื้นที่รอบนอก
หลังจากเห็นหลิงตู้ชิงพาหญิงสาวนางหนึ่งกลับมา เหลียงซู่ไบ๋ก็พูดเยาะเย้ยขึ้น “ท่านปรมาจารย์ ท่านได้สังหารอสูรเกราะเหล็กไปแล้วหรือยังเล่า?”
หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจ เพียงแต่พยักหน้าให้กับหยานจุนสงเท่านั้น ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปในทิศทางออกจากป่าสัตว์เวทย์
เมื่อจ้าวเหมิงลู่เห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าหากว่าพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อทำการทดสอบสังหารอสูรเกราะเหล็กพวกเจ้าก็กลับไปได้แล้ว มันได้ตายไปแล้ว” จากนั้นนางก็วิ่งตามหลิงตู้ฉิงไป
เหลี่ยงซู่ไบ๋เยาะเย้ยว่า “อย่างกับข้าจะเชื่อพวกเจ้าอย่างนั้นแหละ”
“ข้าเกรงว่าเรื่องที่นางพูดจะเป็นเรื่องจริง” หยานจุนสงขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ “ข้าสังเกตเห็นได้จากสัญลักษณ์บนเสื้อของนาง นางเป็นศิษย์ของสถาบันราชวงศ์ ซึ่งสถาบันนี้นิยมที่จะส่งศิษย์ของสถาบันเข้ามาทำการทดสอบในป่าแห่งนี้ เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรากลับเข้าไปดูกันก่อน ถ้าหากอสูรเกราะเหล็กได้ตายไปแล้วจริง ๆ พวกเจ้าก็ทำการทดสอบเดิมกันต่อได้เลย ด้วยการสังหารหมาป่าวายุ 100 ตัว แล้วค่อยกลับไปที่สถาบันเพื่อจบการทดสอบ”
หลังจากได้ยินชื่อสถาบันราชวงศ์ เหลียงซู่ไบ๋ที่ตั้งใจจะเยาะเย้ยก็รีบหุบปากลงทันทีและมีสีหน้าที่หวาดกลัว
อีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงยิ่งเดินก็ยิ่งไวขึ้นทำให้จ้าวเหมิงลู่วิ่งตามไม่ทันถึงแม้ว่านางจะวิ่งสุดแรงแล้วก็ตาม
“รอด้วย!”
นางรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ในฐานะที่นางซึ่งเป็นถึงนักศึกษาของสถาบันราชวงศ์ ในด้านความสำเร็จของการบ่มเพาะนั้นนับได้ว่าก้าวล้ำไปกว่าบุคคลอื่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เหตุใดนางกลับรู้สึกว่าไม่สามารถเทียบได้กับชายตรงหน้าที่อยู่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณเท่านั้นได้กัน
ถ้าหากในด้านความแข็งแกร่ง นางจะสู้ไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่แม้แต่วิชาตัวเบานางก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับชายผู้นี้อีกหรือ?
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่าลูก ๆ ของเขา ต่างเฝ้ารอการกลับไปของเขา แม้กระทั่งพ่อบ้านก็ยังรอให้เขากลับไปแก้ไขสถานะการณ์ของตระกูล แต่หญิงสาวนางนี้ ความเร็วของนางนั้นช้าเป็นอย่างมาก อย่างน้อยต้องใช้เวลา 3-5 วันในการกลับไปถึง
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์ของหลิงตู้ฉิง จ้าวเหมิงลู่จึงรีบพูด “ก็ตอนนี้ข้ายังบาดเจ็บอยู่จึงไม่สามารถวิ่งให้เร็วกว่านี้ได้”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าบาดเจ็บอยู่หรือไม่ แต่ประเด็นมันอยู่ที่วิชาตัวเบาของเจ้ามันช่างอ่อนแอเกินไป และยิ่งด้วยสติปัญญาของเจ้า ข้าคงไม่สามารถสอนทักษะให้เจ้าได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นข้าจะแบกเจ้าไปเอง”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงก็ได้จับแขนของจ้าวเหมิงลู่และเปิดใช้งานวิชาตัวเบา ‘สะบั้นวายุ’ และพุ่งตรงไปยังเมืองฟีนิกซ์ทันที
ระหว่างที่จ้าวเหมิงลู่ถูกลากไปยังเมืองฟีนิกซ์ นางนึกในใจว่านางก็เป็นคนที่มั่นใจในรูปร่างและหน้าตา แต่ทำไมหลิงตู้ฉิงถึงไม่สนใจในตัวนางเลย แถมยิ่งไปกว่านั้นยังมาดูถูกนางด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตามนางก็ต้องยอมรับว่าจริง ๆ แล้วการที่นางถูกลากไปเช่นนี้นั้นไวกว่าที่จะต้องให้นางมาวิ่งตามด้วยตัวนางเองเป็นอย่างมาก
และภายในวันเดียวกันนั้นเองทั้งสองก็ได้เดินทางมาถึงเมืองฟีนิกซ์
เมื่อถึงเมืองฟีนิกซ์ หลิงตู้ฉิงก็ได้ผ่อนฝีเท้าลงเนื่องจากไม่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงบนถนนในเมืองได้
“ข้ากลับมาแล้ว!”
เมื่อเขามาถึงประตูเรือนและเห็นภาพที่อยู่ในเรือนเขาถึงกับผงะแล้วตะโกนลั่นอย่างมีความสุข “เยี่ยมมาก พวกเจ้าทุกคนกลับมาแล้ว!”
นอกเหนือจาก หลิงยู่ชานและหลิงไช่หยุนแล้ว บุตรคนที่สองหลิงว่านถิง บุตรคนที่สามหลิงเทียนหยุน บุตรคนที่สี่หลิงว่านจุน บุตรที่ห้าหลิงฟ่างหัว บุตรคนที่หกหลิงยี่เทียน ต่างอยู่กันพร้อมหน้า
“เอ๊ะ แล้วพวกเจ้าไม่ได้กำลังอยู่ในชั้นเรียนเตรียมพื้นฐานของสถาบันหงส์อยู่งั้นเหรอ? ทำไมถึงกลับมากันหมดไวขนาดนี้” หลิงตู้ฉิงถามพลางลูบหัวลูก ๆ ของเขาอย่างเอ็นดู
เด็กส่วนใหญ่จะมีการตื่นรู้ของพรสวรรค์เมื่อพวกเขาอายุประมาณ 7 ปี เมื่อพลังภายในของพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาถึงจะสามารถทำการฝึกบำเพ็ญเพียรได้ จากนั้นพวกเขาต้องการทำการสมัครเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าไปยังสถาบันต่าง ๆ เพื่อทำการฝึกฝน ยกตัวอย่างเช่น หลิงยู่ชาน ที่ต้องเข้ารับการทดสอบของสถาบันฟินิกซ์
แต่ก่อนที่จะถึงอายุ 7 ปี ภารกิจหลักของพวกเด็ก ๆ คือการผ่านหัวข้อการฝึกฝนพื้นฐานเบื้องต้นก่อนเข้ารับการทดสอบเพื่อรีดเค้นปลุกพรสวรรค์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากที่เข้าสู่สภาวะตื่นรู้เสร็จสิ้น
ในบรรดาเด็ก ๆ ของตระกูลหลิงตอนนี้นอกจากหลิงยู่ชานแล้ว จะมีก็แค่หลิงว่านถิงและหลิงเทียนหยุนที่น่าจะสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้เช่นกัน
แต่ด้วยเหตุผลที่เด็กสองคนยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองในตอนนี้จึงยังฝึกฝนตัวเองอยู่ และด้วยอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือในตอนนี้หลิงตู้ฉิงเองไม่มีเงินมากพอจะให้บรรดาลูก ๆ ของเขาเข้ารับการทดสอบพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่นหลิงยู่ชานกว่าจะมีโอกาสได้ไปทดสอบก็มีอายุปาเข้าไป 9 ขวบแล้ว
หลิงตู้ฉิงรู้สึกสงสัยว่าทำไมลูก ๆ ของเขาถึงได้กลับมาเรือนก่อนกำหนด
และในเวลานี้สีหน้าของบรรดาลูก ๆ ก็เริ่มย่ำแย่
“เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”
พ่อบ้านโม่หยูถังได้เดินออกมาพร้อมกับทำหน้ามุ่ย “นายท่าน ลูก ๆ ของท่านถูกไล่ออก”
“อะไรนะ ใครมันกล้าไล่ลูกข้าออกจากสถานฝึกฝน!” หลิงตู้ฉิงโกรธหัวแทบระเบิด
โม่หยูถังพูดอย่างแผ่วเบา “จะเป็นใครเสียอีกล่ะ ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ไปทำร้ายร่างกายบุตรชายของผู้นำตระกูลเจิ้น และคนผู้นั้นก็มีเบื้องหลังที่มีอิทธิพลมากในเมืองฟีนิกซ์ เขาเลยเล่นงานท่านผ่านทางลูก ๆ ของท่าน โดยใช้อิทธิพลไล่ลูกของนายท่านออก”
หลิงตู้ฉิงโมโหเป็นอย่างมาก “ไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่ข้าด่าพวกมันว่าเป็นเศษขยะ!”
“ลูก ๆ ของข้า พวกเจ้าไม่ต้องเศร้าใจไป พวกเจ้าออกจากสถาบันสับปะรังเคนี้ก็ดีแล้ว ไม่เป็นไร ต่อไปนี้พ่อจะสอนทุกอย่างให้พวกเจ้าเอง พ่อรับประกันได้ว่าพ่อสอนดีกว่าพวกกากเดนนั่นมากกว่าเป็นหมื่นเท่า และเมื่อถึงเวลา พวกเจ้าก็จะได้กลับไปจัดการบดขยี้พวกขยะนั่น พวกเจ้าเข้าใจที่พ่อพูดไหม?”
ถึงแม้เด็ก ๆ จะรู้สึกเศร้าใจ แต่ด้วยการนำของหลิงยู่ชาน เด็กทุกคนก็รีบวิ่งเข้ามาโอบกอดหลิงตู้ฉิง และในขณะนั้นระดับพลังปราณของหลิงตู้ฉิงก็ค่อย ๆ พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากระดับ 5 ไปจนถึงระดับ 7 !!