บทที่ 70 เพลงหมัดสังหารเทพ[รีไรท์]
เมื่อมี่ไลเข้าไปยังในห้องของหลิงตู้ฉิงแล้ว นางเห็นว่าหลิงตู้ฉิงได้นอนหลับตาอยู่บนเตียงเรียบร้อย
เมื่อนางเห็นเช่นนั้นนางจึงค่อย ๆ เดินไปที่เตียงและค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนด้านข้างของหลิงตู้ฉิง
ในฝั่งของทางด้านหลิงตู้ฉิงนั้นไม่มีการตอบรับใด ๆ จากการที่มี่ไลเข้ามาในห้องและนอนลงข้าง ๆ เขายังนอนหลับตา ร่างกายไร้ความเคลื่อนไหว จังหวะลมหายใจเข้าออกยังสม่ำเมอไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อมี่ไลเห็นท่านอนของหลิงตู้ฉิงแล้วนางก็รู้สึกสงสัยในตัวเองอย่างมาก คืนนี้นางได้เตรียมตัวอย่างดีเยี่ยม นางอาบน้ำจนหอมฉุย ชุดที่นางใส่นั้นไม่ว่าชายใดได้เห็นเป็นต้องอดใจไม่ไหวแน่นอน
ตอนนี้ยิ่งคิดนางก็ยิ่งเสียความมั่นใจในตัวเอง
นางเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย
อันที่จริงแล้วมี่ไลนั้นไม่รู้เลยว่าหลิงตู้ฉิงนั้นไม่เคยเข้าใจความหมายที่นางต้องการมานอนกับเขาเลยว่าเพราะอะไร
มี่ไลตอนนี้เริ่มทนไม่ไหว นางไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเริ่มเอาขาอันเปลือยเปล่าของนางถูเข้ากับขาของหลิงตู้ฉิงเบา ๆ เพื่อหวังว่าหลิงตู้ฉิงจะเริ่มออกอาการอะไรบ้าง แต่ผลสุดท้ายที่นางได้รับคือ…
“เจ้าขยับตัวไปทางอื่นได้ไหม ข้ากำลังนอนอยู่” หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยความหงุดหงิดเล็ก ๆ
มี่ไลได้ยินเช่นนั้นจึงกลั้นใจถาม “นายท่าน ท่านไม่ชอบข้าหรือ?”
“ข้าชอบสิ” หลิงตู้ฉิงลืมตา “เจ้าช่วยข้าจัดการสิ่งต่าง ๆ ในเรือนไว้ตั้งมากมาย ทำไมข้าถึงจะไม่ชอบเจ้า?”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมตอนนี้…ท่านถึงไม่ต้องการข้า…” น้ำเสียงมี่ไลเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ
“ข้าต้องการเจ้าสิ ก็ไม่ใช่ว่าข้าอนุญาตให้เจ้ามาอาศัยในเรือนแล้วไม่ใช่หรือยังไง?” หลิงตู้ฉิงตอนนี้เริ่มสงสัยว่าทำไมตอนนี้มี่ไลถึงได้ถามคำถามอะไรแปลก ๆ พวกนี้กับเขา
“นี่มัน…เห้อ…นายท่าน ข้า…ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายถึงว่าหากข้าต้องการให้ลูก ๆ ของท่านเรียกข้าว่า ‘แม่’ ท่านจะตกลงไหม?” ตอนนี้มี่ไลเริ่มเหนื่อยใจกับความทึ่มทื่อของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้ม “ถ้าเจ้าต้องการมาเป็นแม่ของลูก ๆ ข้า ตอนนี้เจ้าคงช้าไปแล้วมีคนจะมาเป็นแม่ให้กับลูกของข้าแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมี่ไลถึงกับใจหายวาบ ดูเหมือนว่าในตอนนี้นางได้พลาดตำแหน่งภรรยาหลวงไปเสียแล้ว นี่นางช้ากว่าหลิวเฟ่ยเฟ่ยไปหนึ่งก้าวงั้นหรือ!
“เช่นนั้นข้าให้พวกเด็ก ๆ เรียกข้าท่านน้าได้ไหม” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม
ในเมื่อนางเป็นภรรยาหลวงไม่ได้ขอให้นางเป็นภรรยาน้อยได้ก็ยังดี!
“ถ้าหากพวกเขายินยอมข้าก็ไม่ขัดข้องอะไร” หลิงตู้ฉิงตอบอย่างเรียบเฉย
มี่ไลได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ ในตอนนี้นางคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพยายามเอาอกเอาใจลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงไปก่อน ส่วนเรื่องของนางกับหลิงตู้ฉิง นางคิดว่าอย่างน้อย ๆ นางก็ได้สารภาพอะไรออกไปบ้างแล้ว ซึ่งหลิงตู้ฉิงเองก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไร ซึ่งทำให้นางค่อนข้างโล่งใจมาได้เปราะหนึ่ง
เมื่อนางเริ่มสบายใจแล้วนางจึงเอาหัวของนางมาซุกไว้ที่ข้างแขนของหลิงตู้ฉิงแล้วผล็อยหลับไป
อย่างไรก็ตาม ในคืนอันเงียบสงบที่ผู้คนส่วนใหญ่นอนหลับ กลับมีคนบางกลุ่มที่ร้อนรนจนนอนหลับไม่ได้
“นายน้อย นายท่านได้ส่งคำสั่งมาแล้ว ท่านอนุญาตให้เราสามารถโจมตีได้ทุกเมื่อที่เราพร้อม” จี้ชิงหยวนที่เพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงได้รีบมารายงานกับเจิ้นป่าเจ่าทันที
เมื่อเจิ้นป่าเจ่าได้ยินเช่นนั้นเขาพูดด้วยความอาฆาตแค้น “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ตอนนี้เรายังโจมตีพวกมันที่เรือนหลิงไม่ได้ ที่เรือนนั่นมีอะไรบางอย่างที่ประหลาดมากเกินไป และเราก็ยังไม่รู้จำนวนที่แน่นอนของผู้เชี่ยวชาญที่คอยช่วยเหลือหลิงตู้ฉิง ตอนนี้พวกเราได้คงต้องรอหาโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะวางแผนฆ่ามัน”
“คุณชายใหญ่ ที่เมืองฟินิกซ์นี้เราก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายเหมือนกัน เราจะเข้าไปฆ่ามันตอนนี้ไม่ได้เลยจริง ๆ หรือ?” จี้ชิงหยวนถามขึ้น
เจิ้นป่าเจ่าคิดได้สักพักจึงเอ่ยตอบ “ไม่ได้ เราต้องวางแผนให้รอบคอบ เราจะเข้าไปหามันตอนนี้เลยไม่ได้ ข้อมูลต่าง ๆ ของมันยังเป็นปริศนาหาคำอธิบายไม่ได้”
“หรือไม่…เราต้องวางแผนล่อมันออกมา หลิงตู้ฉิงมันรักลูกของมันมากใช่ไหม? จี้ชิงหยวนเจ้ารีบส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวลูก ๆ ของมัน หากว่าได้โอกาสเมื่อไหร่ให้สังหารลูกของมันทันที ส่วนสำหรับหลิงตู้ฉิง เราต้องรอให้ผู้อาวุโสหวูฝ่าด่านให้สำเร็จก่อน จากนั้นเราค่อยไปฆ่ามันทีหลัง”
จี้ชิงหยวนเมื่อได้ยินคำสั่ง เขาจึงพยักหน้าและรีบออกไปทันที
เจิ้นป่าเจ่าเมื่อเห้นว่าจี้ชิงหยวนได้ออกไปแล้ว เข้าจึงเดินไปยังเรือนอีกหลังที่อยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์เขา
เมื่อไปถึงหน้าประตู เจิ้นป่าเจ่าได้เปิดประตูอย่างแผ่วเบาแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านใน
ด้านในเรือนหลังนี้เป็นที่อยู่ของชายชราผู้หนึ่ง ชายชราผู้นี้นั่งขัดสมาธิอยู่กลางเรือนโดยไม่ไหวติง
“ท่านผู้อาวุโสหวู ท่านต้องการอะไรเพิ่มไหมสำหรับการทะลวงขอบเขต?” เจิ้นป่าเจ่าเอ่ยถามกับชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางเรือน
ชายชราที่นั่งอยู่ได้ค่อย ๆ เปิดตาขึ้น และกล่าวตอบอย่างเชื่องช้า “ไม่จำเป็น ตอนนี้ข้าเหลือเพียงต้องใช้เวลาอีกประมาณไม่เกิน 1 เดือน ข้าถึงจะสามารถทะลวงไปยังขอบเขตรวมแสงดาราได้”
“เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับท่านด้วย ที่ท่านจะได้ขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุด” เจิ้นป่าเจ่าเยินยออย่างมีความสุข
ชายชราเมื่อได้ยินคำเยินยอก็ยิ้มและตอบ “ข้าก็แค่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดาราเท่านั้น ข้าไม่ได้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีป หากจะนับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้ข้าต้องทะลวงไปถึงขอบเขตนภาเสียก่อน เอาล่ะที่เจ้ามาหาข้า เจ้ามีเรื่องที่ต้องการจะให้ข้าช่วยใช่ไหม?”
เจิ้นป่าเจ่าหัวเราะ “ข้าไม่อาจหลบสายตาของท่านผู้อาวุโสหวูได้เลยจริง ๆ ใช่แล้วท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ข้ามีศัตรูอยู่ผู้หนึ่ง ศัตรูผู้นี้น่าจะได้รับการปกป้องจากยอดฝีมือนิรนามที่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใคร และข้าก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ ข้าจึงมาขอร้องท่าน เมื่อท่านทะลวงขอบเขตได้สำเร็จแล้ว ข้าอยากจะวานท่านให้ไปช่วยข้าสังหารศัตรูผู้นี้ให้ข้าที”
“ไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาตระกูลเจิ้นของเจ้าดูแลข้ามาเป็นอย่างดี เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะสะสางให้เอง ตอนนี้หากเจ้าไม่มีเรื่องอื่นอีกก็ออกไปก่อน ข้าต้องการบ่มเพาะอย่างสงบ…” ชายชราเมื่อกล่าวเสร็จก็หลับตาลง
“เช่นนั้น ข้าขออวยพรผู้อาวุโสหวูทะลวงขอบเขตโดยไว ข้าขอตัวก่อน” เจิ้นป่าเจ่ากล่าวลาเสร็จจึงเดินออกมาจากเรือนหลังนั้น เขามองไปยังทิศตำแหน่งที่ตั้งของเรือนหลิง และเผยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมออกมา
วันเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปอีกวัน…
ในเช้านี้ ณ ลานกลางเรือนหลิง ดูคึกคักเป็นพิเศษ
หลังจากจบชั้นเรียนของถังชี่หยุน หลิงตู้ฉิงได้เรียกทุกคนในเรือนให้มารวมตัวกัน
เมื่อทุกคนได้มากันพร้อมหน้าแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงเริ่มแจกจ่ายโอสถเสริมแกร่งร่างกายและโอสถหลอมกระดูกให้กับทุกคนยกเว้นลูก ๆ ของเขา เขาแจกให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้คุ้มกัน บ่าวรับใช้ กงหยู รวมไปถึงโม่หยูถังที่ถึงแม้ตอนนี้จะยังใช้ไม่ได้แต่หลิงตู้ฉิงก็มอบให้เขาเก็บไว้ก่อนเพื่อใช้ในภายหลัง
และคนที่ประหลาดใจที่สุดที่ได้รับโอสถคือ ซ่งเหวินเถา ตัวเขาเองไม่คาดคิดว่าจะได้รับผลพลอยได้เช่นนี้ เนื่องจากฐานะของตัวเองที่ได้มาอยู่ในเรือนหลิงนี้ก็เปรียบเสมือนเป็นเชลย
ตอนนี้เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเปลี่ยนความคิดว่าการได้มาบุกยังเรือนหลิงในอดีตนั้นเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันกลับเป็นโชคดีต่างหากที่เขาได้มาบุกที่นี่
เมื่อทุกคนได้รับโอสถกันเรียบร้อยแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันออกไปกลับห้องใครห้องมันเพื่อเริ่มบ่มเพาะด้วยโอสถที่เขาแจกให้ทันที
ซึ่งรวมไปถึงกงหยู กงหยูในเช้านี้ที่เพิ่งเจอกับโม่หยูถังเป็นครั้งแรก เมื่อเขาได้แนะนำตัวกับโม่หยูถังเรียบร้อยเขาจึงเดินกลับไปที่ห้องเพื่อทำการเริ่มบ่มเพาะทะลวงระดับ 12 ให้ได้โดยไวที่สุดตามคำสั่งของหลิงตู้ฉิง
หลังจากที่ทุกคนที่ได้รับโอสถและแยกย้ายกันไปทั้งหมด หลิงตู้ฉิงได้ตะโกนเรียกหลิงยู่ชานให้เดินเข้ามาหา
“ยู่ชาน ที่พ่อให้เจ้าฝึกฝนการต่อสู้กับซ่งเหวินเถาก็เพื่อให้เจ้าได้พัฒนาความแข็งแกร่งกับสัญชาตญานในการต่อสู้ หากเมื่อไหร่ที่เจ้าพัฒนามันจนแข็งแกร่งมากพอ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถบรรลุวิถีการต่อสู้ในแบบฉบับของตัวเจ้าเองคนเดียวได้” หลิงตู้ฉิงเริ่มอธิบายอย่างช้า ๆ
“แต่การฝึกเช่นนี้มันจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนที่ค่อนข้างนาน และที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ที่เจ้าประลองกับซ่งเหวินเถา พ่อสังเกตเห็นว่า ถึงแม้เจ้าจะล้มลงไปกี่ครั้งแต่เจ้าก็จะพยายามลุกขึ้นมาสู้ใหม่ แต่หลังจากที่เจ้าพ่ายแพ้เยอะขึ้น มันส่งผลให้จิตสำนึกของเจ้าเริ่มอ่อนล้า ฉะนั้นพ่อจะให้เจ้าหยุดการประลองกับซ่งเหวินเถาไปก่อนชั่วคราว”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ หลิงยู่ชานจึงรู้สึกหดหู่
เมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นสีหน้าของหลิงยู่ชานเขาจึงกล่าวต่อ “สิ่งที่พ่อจะพูดต่อไปนี้กับเจ้า เป็นความลับของพรสวรรค์ในร่างกายเจ้า เจ้าห้ามนำไปบอกใครคนอื่นเป็นอันขาดเจ้าเข้าใจไหม?”
หลิงยู่ชานพยักหน้ารับทราบ “ท่านพ่อ ข้าจะไม่มีวันบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “พรสวรรค์ของสายเลือดในร่างกายเจ้านั้นเรียกว่าสายเลือดทรราชย์สวรรค์ คนที่มีสายเลือดนี้จะมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ยิ่งพวกเขาต่อสู้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เส้นทางสายเลือดของเจ้าที่เจ้าต้องเผชิญนั้นจะเต็มไปด้วยเลือดและหยาดเหงื่อ เจ้าต้องต่อสู้ให้มากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่า”
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจว่าหลิงยู่ชานจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ “เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาที่พ่อจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาหมัดชุดใหม่ให้กับเจ้าแล้ว”
หลังจากหลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาก็เริ่มถ่ายทอดวิชาหมัดชุดใหม่ให้กับหลิงยู่ชาน ด้วยการออกกระบวนท่าให้ “กระบวนท่าแรกนี้เรียกว่าสั่นคลอนสวรรค์….กระบวนท่าที่สองเรียกว่าแยกพสุธา….ส่วนกระบวนท่าที่สามเรียกว่า สังหารเทพ!”
อันที่จริงชุดหมัดนี้ เป็นชุดหมัดที่หลิงตู้ฉิงเคยใช้บ่อยครั้งเมื่อชาติที่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถออกกระบวนท่าให้หลิงยู่ชานเห็น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะแสดงอานุภาพของมันออกมา เนื่องจากในตอนนี้เขามีระดับบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป
หลังจากแสดงกระท่าทั้งหมดเสร็จหลิงตู้ฉิงจึงถามขึ้น “เจ้าจำได้ทั้งหมดไหม?”
หลิงยู่ชานส่ายหัวด้วยความละอาย “มัน…ซับซ้อนเกินไปท่านพ่อ!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่เป็นไร เดี่ยวพ่อจะแสดงให้เจ้าดูใหม่อีกครั้ง มา เจ้าตั้งใจดูให้ดี!”
หลิงตู้ฉิงแสดงให้เพลงหมัดให้หลิงยู่ชานดูอีกครั้งอย่างช้า ๆ หลิงยู่ชานในตอนนี้กำลังจ้องดูอย่างไม่กระพริบตา เขาจดจำทุกท่วงท่าไว้ในหัว
เมื่อหลิงตู้ฉิงแสดงเสร็จหลิงยู่ชานจึงกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากท่านพ่อ ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว”
“เจ้าขอบคุณพ่อทำไมกัน พ่อเป็นพ่อของเจ้านะ” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เอาล่ะ ตั้งใจฝึกมันให้ดี ฝึกมันวันละ 100 รอบเหมือนเดิม และเจ้าอย่าลืมล่ะ เทศกาลบูชาเพลิงได้ใกล้เข้ามาแล้วเหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน เจ้าเองก็ต้องลงไปแข่งขันที่งานนี้ด้วย หากเจ้าไม่ขยันฝึกฝน เจ้าอาจจะแพ้เด็กคนอื่น ๆ เราอาจจะกลายเป็นตัวตลกประจำปีนี้ก็เป็นได้”
หลิงยู่ชานเชิดหน้าขึ้นสูง “ท่านพ่อ ข้าไม่มีวันแพ้แน่นอน!”