บทที่ 452 เงื่อนไขการร่วมมือ
เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงพูดถึงมันอีกครั้ง สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงโดยไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง
ที่ผ่านมา สำนักเบญจธาตุของนางก็ได้ลงทุนทรัพยากรและกำลังคนไปไม่น้อยกับการก่อตั้งอาณาจักรอี้จิ๋นเพื่อเป็นหน้าด่านในการสำรวจความลับที่อยู่ในทะเลชางหมาง
และที่สำคัญพวกนางเองก็ได้ค้นพบเบาะแสหลาย ๆ อย่างไปแล้วด้วยเช่นกัน
แต่มาตอนนี้ หลิงตู้ฉิงกลับบอกให้นางและสำนักของนางถอนตัวไปซะอย่างนั้น แบบนี้นางจะตอบรับข้อตกลงของเขาได้ยังไง?
โดยเฉพาะที่สำนักเบญจธาตุของนางก็ไม่ใช่สำนักธรรมดาไก่กาที่ไหน ต่อให้ภูมิหลังของหลิงตู้ฉิงจะเลิศเลอเพียงใด ทำไมนางจะต้องยินยอมทำตามคำพูดของเขาด้วย?
อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ที่นางเคยรับมือกับหลิงตู้ฉิงมาหลายครั้งหลายครา ซึ่งมันทำให้นางเข้าใจนิสัยของหลิงตู้ฉิงค่อนข้างดี ดังนั้นนางจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดทั้งหลายที่อยู่ในใจนางออกมาให้เขาได้ยิน แต่เลือกที่จะถามเขากลับว่า “เจ้ายังติดค้างข้าอยู่ เจ้าจำได้ใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “แน่นอนว่าข้าย่อมจำได้ และเป็นเพราะเหตุนั้นข้าจึงเรียกเจ้าให้มาคุยกับข้าก่อนที่นี่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเมืองเจินไห่แห่งเดียวจะหยุดข้าได้งั้นเหรอ? หรือเจ้าคิดว่าอาณาจักรอี้จิ๋นของเจ้าจะหยุดข้าได้?”
สีเป่ยเซียะขมวดคิ้วและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “นี่เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเจ้าตัวคนเดียวสามารถต่อกรกับอาณาจักรอี้จิ๋นของข้าได้?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม และชี้ไปที่ลั่วหยุนที่กำลังอนู่ในขั้นตอนเปลี่ยนดวงวิญญาณให้กลายเป็นวิญญาณสงคราม “เขาได้ตกลงที่จะเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทราแล้ว และหน้าที่ของเขาก็คือคอยปกป้องลูกชายของข้าเป็นเวลา 2,300 ปี!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีเป่ยเซียะถึงกับสูดหายใจลึกและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
หากเป็นอย่างที่หลิงตู้ฉิงกล่าวจริง ต่อให้เป็นก่อนหน้านี้ที่ลั่วหยุนเหลือแต่ดวงวิญญาณ อาณาจักรอี้จิ๋นของนางก็คงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ แล้วยิ่งตอนนี้ลั่วหยุนกำลังจะกลายเป็นวิญญาณสงครามที่ในอนาคตสามารถบ่มเพาะได้เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญปกติ ซึ่งความแข็งแกร่งของเขาก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นต่อให้นางจะใช้อาวุธระดับจักรพรรดิควบคู่กับโองการจักรพรรดิ นางและน้องชายของนางก็ไม่มีทางหยุดลั่วหยุนที่อยู่ในขอบเขตราชันอย่างแท้จริงแบบนี้ได้แน่นอน
เว้นแต่พวกนางจะพาผู้อาวุโสระดับสูงจากสำนักเบญจธาตุพร้อมกับนำสมบัติวิเศษที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้มาด้วย พวกนางถึงจะสามารถต่อสู้กับลั่วหยุนได้อย่างสูสี
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นนับได้ว่าเป็นรากฐานความแข็งแกร่งของสำนักเบญจธาตุ ดังนั้นนางและน้องชายของนางจึงไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างง่ายดายแน่นอน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สีเป่ยเซียะก็พูดว่า “ถ้างั้นเจ้าจะเอายังไงกับพวกข้า? แต่จงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นหนี้ข้า และที่สำคัญข้าได้ยินมาจากน้องชายของข้าว่าเขาเองได้มอบไม้มรกตศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่งให้แก่เจ้าเช่นกัน และนั่นก็ถือเป็นหนี้บุญคุณเช่นกัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า “ข้าได้เคยบอกกับเจ้าสองพี่น้องไปแล้วนี่ ว่าข้าจะให้เจ้าและน้องชายของเจ้าเลือกทางออกอยู่สองทาง ทางแรกคือต่อต้านข้า ทางที่สองคือร่วมมือกับข้า! ในเมื่อตอนนี้เจ้าอยู่ที่นี่แล้วก็จงตัดสินใจซะให้เสร็จ”
“ถ้าเจ้าเลือกที่จะต่อต้านข้า ด้วยหยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์ที่เจ้าให้ข้า ข้าจะหันหลังกลับไปที่ทะเลชางหมางและเลือกเส้นทางใหม่ไปยังอาณาจักรมังกรทะยาน และจะไม่แตะต้องอาณาจักรอี้จิ๋นของเจ้าเป็นเวลา 500 ปี แต่เมื่อไหร่ที่ 500 ปีผ่านไปข้าจะกลับมาอีกครั้ง และจะลงมือกับพวกเจ้าโดยไม่สนใจหรือไว้หน้าใครทั้งสิ้น”
สีเป่ยเซียะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ข้าถามได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงต้องการไปที่อาณาจักรมังกรทะยาน?”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “หยูเฉิงฮุยแห่งอาณาจักรมังกรทะยานทะยานบังอาจมาล่อลวงลูกสาวของข้าด้วยเจตนาชั่วช้า ข้าจะไปลากตัวมันมาให้รับผิดชอบกับความรู้สึกของลูกสาวข้า!”
เมื่อได้ยินที่พ่อของนางเอ่ยเช่นนั้น หลิงว่านถิงพูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าอับอายทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดให้มันดูเหมือนกับว่าข้าถูกล่วงเกินอะไรมากขนาดนั้นสิ…”
ในตอนนี้หลิงว่านถิงทำใจของนางเองได้มากขึ้นเยอะแล้ว ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำพูดของพ่อนางเช่นนี้ นางจึงแสดงความไม่พอใจออกมา
ในเวลาเดียวกัน เมื่อสีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงว่านถิง ดวงตาของนางสว่างขึ้นทันทีและพูดว่า “พรสวรรค์ของลูกสาวของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ถ้านางเต็มใจ ข้าสามารถแนะนำให้นางเข้าร่วมกับสำนักธาตุไม้ของสำนักเบญจธาตุของข้าได้”
สีเป่ยเซียะสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีอันเหนือล้ำที่แผ่ออกมาจากร่างกายของหลิงว่านถิงได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันคล้ายกับที่มีอยู่ในสำนักเบญจธาตุของนางในสาขาธาตุไม้
หลิงตู้ฉิงส่ายหน้า “ลูกสาวของข้า หลิงว่านถิง หลังจากจบเรื่องหยูเฉิงฮุยเมื่อไหร่ คนของสำนักเต๋าสวรรค์จะมารับนางตัวให้ไปเข้าร่วมสำนักเต๋าทันที”
หลิงว่านถิงโค้งคำนับให้สีเป่ยเซียะและพูดว่า “ท่านป้าสี ขอต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ที่ท่านพ่อของข้าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ อันที่จริงแล้วตัวข้าเองมีความขัดแย้งกับหยูเฉิงฮุยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พ่อของข้าจึงพยายามที่จะหาตัวหยูเฉิงฮุยมาสะสางปัญหาให้เสร็จสิ้น ส่วนเรื่องที่ข้าถูกล่อลวงนั้น ข้าไม่ได้ถูกล่อลวงและข้าก็ไม่ได้เสียอะไรไปให้กับคนผู้นั้นเลย”
หลิงว่านถิงได้ทราบถึงตัวตนของสีเป่ยเซียะจากมี่ไลแล้ว ซึ่งนับได้ว่าสีเป่ยเซียะเป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่ง ดังนั้นนางจึงต้องปกป้องตัวเอง ไม่เช่นนั้นถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนมากมายจะไม่คิดว่านางเป็นผู้หญิงโง่เง่าอย่างนั้นเหรอ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นในอนาคตชื่อเสียงของนางไม่ป่นปี้จนหมดเลยงั้นเหรอ?
สีเป่ยเซียะพยักหน้าพลางยิ้มให้หลิงว่านถิง แล้วพูดกับหลิงตู้ฉิง “งั้นข้าขอถามเจ้าต่อ ที่เจ้าบอกว่าให้เราร่วมมือกับเจ้า ข้าอยากรู้ว่าความร่วมมือแบบไหนที่เจ้าต้องการ?”
เนื่องจากหลิงว่านถิงกำลังจะได้เข้าร่วมสำนักเต๋าสวรรค์อยู่แล้ว นางจึงไม่พูดโน้มน้าวอะไรหลิงว่านถิงอีก
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ถ้าเราร่วมมือกันทุกอย่างย่อมจะง่ายขึ้น เหตุผลที่พวกเจ้าก่อตั้งอาณาจักรอี้จิ๋นที่นี่ก็เป็นเพราะพวกเจ้าต้องการค้นหาความลับของทะเลชางหมางไม่ใช่เพราะต้องการบ่มเพาะดวงใจจักรพรรดิ ดังนั้นบรรดาราษฎรที่พวกเจ้าปกครองอยู่มันก็คงไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับพวกเจ้านัก”
“สำหรับเงื่อนไขในความร่วมมือกับข้าก็คือพวกเจ้าต้องมอบอาณาจักรอี้จิ๋นให้กับลูกชายของข้า รวมไปถึงกองกำลังของพวกเจ้าที่อยู่ภายในทะเลชางหมางให้เข้าร่วมกับเขาด้วย”
“ส่วนความลับที่พวกเจ้ากำลังมองหา ต่อให้ข้าจะบอกกับพวกเจ้าว่าทะเลชางหมางไม่มีความลับอย่างที่พวกเจ้าคิด พวกเจ้าก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ผนึกของทะเลชางหมางถูกคลายออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าสามารถเลือกสถานที่ที่พวกเจ้าคิดว่ามีความลับถูกซ่อนอยู่และยึดครองพื้นที่นั้นไปได้เลย”
“แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้หมายความว่าข้าจะให้พื้นที่ทั้งหมดของทะเลชางหมางกับเจ้า ข้าจะให้พวกเจ้าเลือกเอาว่ามีกี่แห่งในทะเลชางหมางที่เจ้าคาดว่าน่าจะมีความลับซ่อนอยู่ก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง สีเป่ยเซียะก็แสดงสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที
มันเป็นเรื่องจริงที่สำนักของพวกนางลงทุนเฝ้าทางออกของทะเลชางหมางก็เพื่อความลับของทะเลชางหมาง
หากพวกนางสามารถเข้าไปครอบครองพื้นที่ที่มีความลับซ่อนอยู่เลยโดยตรง ทำไมพวกนางถึงต้องมาสนใจกับอาณาจักรอี้จิ๋น?
พวกนางไม่ใช่เหล่าคนที่บ่มเพาะวิชาดวงใจจักรพรรดิ ดังนั้นพวกนางจึงไม่จำเป็นต้องเป็นจักรพรรดิเพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อคิดถึงจุดนี้ นางจึงพูดกับหลิงตู้ฉิง ว่า “อาณาจักรอี้จิ๋นก่อตั้งโดยน้องชายของข้า ดังนั้นข้าจะต้องให้เขาตัดสินใจเรื่องนี้อีกที อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากเงื่อนไขของเจ้าแล้ว ข้าต้องการเพิ่มเงื่อนไขของข้าเข้าไปอีกสองข้อ”
“เงื่อนไขอะไร?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
“เงื่อนไขแรกก็คือในตอนนี้สถานที่ที่พวกของข้าได้ค้นพบเบาะแสของความลับในทะเลชางหมางคือเกาะสี่เกาะแล้ว แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าร่วมมือกับเจ้าด้วย เจ้าต้องอนุญาตให้ข้าได้ครอบครองเกาะทั้งหมด 8 เกาะ! ซึ่งในทะเลชางหมางนั้นมีเกาะมากกว่าร้อยเกาะ ดังนั้นข้าคิดว่าเงื่อนไขนี้คงไม่มากเกินไป!” สีเป่ยเซียะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ในความคิดของนาง หากพวกนางยอมสละอาณาจักรอี้จิ๋นให้กับหลิงตู้ฉิงแล้ว การที่พวกนางขอค่าตอบแทนเป็นเกาะ 8 เกาะมันคงไม่มากเกินไปแน่นอน
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เหมาะสมแล้ว เอาล่ะ เงื่อนไขที่สองของเจ้าคืออะไร?”
“สำหรับเงื่อนไขที่สองของเรา …” สีเป่ยเซียะจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ถ้าวันหนึ่งมีการพิสูจน์ได้ว่าในทะเลชางหมางนั้นมีขุมทรัพย์ที่เป็นความลับซ่อนอยู่อย่างแท้จริง ข้าต้องการส่วนแบ่งหนึ่งในสิบ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าไม่มีทางที่จะมีสมบัติลับอะไรในทะเลชางหมาง ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้ากัน? หรือต่อให้มันจะมีความลับซ่อนอยู่ มันก็คงไม่ใช่อะไรที่สำนักของเจ้ามองหาหรอก แต่เอาเถอะ ข้าดูแล้วเจ้าคงจะไม่เชื่อคำพูดของข้าแน่ ๆ เอาเป็นว่าข้าตกลงยอมรับเงื่อนไขที่สองของเจ้าก็แล้วกัน”
สีเป่ยเซียะยิ้ม “นี่เป็นเพียงเงื่อนไขของข้าที่บอกให้เจ้ารู้ก่อน ส่วนการตัดสินใจที่จะร่วมมือหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับน้องชายของข้าอีกที แต่ข้าคิดว่าเขามีโอกาสสูงที่เขาจะเห็นด้วย”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่มีปัญหา เจ้าจงกลับไปถามเขาได้เลย ส่วนทางด้านของข้า หลังจากลั่วหยุนเปลี่ยนเป็นวิญญาณสงครามเสร็จเมื่อไหร่ ข้าถึงจะเข้าไปในเมือง อ๋อ! ให้ข้าแนะนำลูกชายของข้าให้เจ้ารู้จักก่อน นี่ลูกชายข้า หลิงยี่เทียน เขาคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทรา เขาคือคนที่เจ้าจะร่วมมือด้วยในอนาคต”
“คารวะ ป้าสี!” หลิงยี่เทียนโค้งไปทางสีเป่ยเซียะด้วยรอยยิ้ม
สีเป่ยเซียะมองไปที่หลิงยี่เทียนด้วยสายตาประเมิน และถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังไม่มีมเหสีใช่ไหม? บังเอิญว่าน้องชายของข้าก็มีลูกสาวอยู่ หากเราประสบความสำเร็จในการร่วมมือกัน ข้าจะให้หลานสาวของข้า อภิเษกกับเจ้าในฐานะมเหสีได้ไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยี่เทียนมองไปที่สีเป่ยเซียะด้วยสีหน้าตกตะลึง เขารีบหันกลับมาและร้องหาหลิงตู้ฉิงทันที “ท่านพ่อ…”
“เรื่องนี้เจ้าจงตัดสินใจด้วยตัวเอง!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับทันทีพร้อมเบือนหน้าหนี