บทที่ 472 สี่สำนักขวางทาง
ในขณะนี้เจ้าสำนักคนใหม่ของอารามนวดารา หยวนต้าตง ยืนอยู่หน้าห้องโถงพร้อมกับทอดสายตาเหม่อมองออกไปด้านนอกสำนักอย่างเป็นกังวล
แม้ว่าหยวนต้าตงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ แต่ความแข็งแกร่งของเขามันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับเหล่าสำนักที่พากันมาปิดล้อมพวกเขาในครั้งนี้
ในระหว่างที่เขาเหม่อมองไปด้านนอก เขาก็นึกถึงในอดีตตอนที่เจ้าสำนักคนเก่าและบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายยังคงมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะเดินทางไปอาณาเขตนภาเพื่อ ‘ช่วย’ คนที่พวกเขาคิดว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นวิญญาณปีศาจ ซึ่งคนเหล่านั้นได้ทิ้งเขาไว้ข้างหลังเพื่ออยู่เฝ้าสำนัก
ในเวลานั้นนอกเหนือจากสำนักอักขระวิญญาณแล้วมันก็ไม่มีสำนักไหนในอาณาเขตหยกพิสุทธิ์ที่กล้าจะหืออือกับพวกเขา
และด้วยการตัดสินใจของเจ้าสำนักคนก่อนที่ทิ้งเขาไว้ที่สำนัก มันจึงเป็นเหตุทำให้หยวนต้าตงรอดพ้นจากความตาย
แต่แล้วเมื่อหยวนต้าตงทราบข่าวจากผู้รอดชีวิตที่เดินทางกลับมาจากเมืองหยูหลัน เขาก็แทบจะเป็นลม
เหล่าตัวตนระดับสูงทั้งหมดของสำนักต่างถูกสังหารจนสิ้น และจากนั้นภาระอันหนักอึ้งก็กลายมาตกอยู่กับหยวนต้าตง
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้คนที่เหลืออยู่ในอารามนวดารา เขาจึงได้กลายเป็นเจ้าสำนักของอารามนวดาราทั้งน้ำตา
และหลักจากนั้นไม่นานเมื่อสำนักต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบได้ข่าวว่าบรรดาตัวตนระดับสูงของสำนักเขาทั้งหมดถูกสังหารที่เมืองหยูหลัน บรรดาสำนักเหล่านั้นก็เริ่มเคลื่อนไหววางแผนชั่วหวังจะรุมปล้นยึดสำนักของเขาทันที
ดังนั้นการที่เขาได้เป็นเจ้าสำนักมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาอาจจะมีชีวิตอยู่รอดได้อีกเพียงไม่กี่วัน เขารู้ดีว่าสำนักของเขาในตอนนี้ไม่สามารถต้านทานการรุมโจมตีจากหลายสำนักพร้อมกันได้แน่นอน
แม้ว่าสำนักที่มาโจมตีสำนักเขาเหล่านี้หากสู้กันหนึ่งต่อหนึ่งนั้นแน่นอนว่าพวกมันย่อมด้อยกว่าอารามนวดารา แต่น่าเสียดายที่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่มีสำนักไหนจะมาสู้กับสำนักของเขาหนึ่งต่อหนึ่งอยู่แล้ว
ตอนนี้ที่บรรดาสำนักเหล่านั้นยังไม่โจมตีเขามาก็คงเป็นเพราะว่า พวกมันคงยังตกลงแบ่งสันปันส่วนอารามนวดาราของพวกเขายังไม่เสร็จก็แค่นั้นเอง
ขณะที่หยวนต้าตงยังคงครุ่นคิดอย่างหนักและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หวางหมิงหยวนก็รีบวิ่งเข้ามาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านเจ้าสำนัก ๆ! อารามนวดาราของเรามีทางรอดแล้ว!”
หยวนต้าตงรู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อเขาได้สติเขาจึงรีบถามกลับอย่างรีบร้อน “รอด? ทางไหนกันที่เราจะรอด?”
หวางหมิงหยวนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น และจากนั้นก็เริ่มเล่าประวัติของหลิงตู้ฉิงอย่างรวดเร็วทันที เมื่อเล่าจบหมดทุกอย่างแล้วเขาก็พูดกับหยวนต้าตงว่า “ตราบใดที่เราตกลงยอมจ่ายราคาแลกเปลี่ยนกับผู้อาวุโสผู้นั้นได้ อารามนวดาราของเราจะรอดหายนะครั้งนี้อย่างแน่นอน”
หยวนต้าตงพูดอย่างลังเล “นี่เจ้าแน่ใจจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าแน่ใจ!” หวางหมิงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น “บรรดาสำนักที่ปิดล้อมเราอยู่ตอนนี้ไม่มีทางที่พวกมันจะแข็งแกร่งไปกว่าวิญญาณปีศาจตนนั้นแน่นอน หากผู้อาวุโสท่านนั้นตกลงที่ช่วยเหลือเรา ข้าแน่ใจว่าพวกเราจะต้องรอดหายนะครั้งนี้แน่ ท่านเจ้าสำนัก นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเรา ดังนั้นเราจะปล่อยมันไปไม่ได้!”
หยวนต้าตงพูดด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว “ต่อให้ผู้อาวุโสท่านนั้นจะช่วยเราได้จริง ๆ ก็ตาม แต่ถ้าให้เขานำสมบัติวิเศษ 10 ชิ้นของเราออกจากคลัง ซึ่งถ้าเขาเลือกแต่ของที่มีค่าที่สุดไปทั้งหมด แม้ว่าอารามนวดาราของเราจะสามารถอยู่รอดจากภัยพิบัตินี้ได้ ในอนาคตสำนักของเราก็คงจะไม่มีทรัพยากรพอที่จะใช้ฟื้นฟูสำนักของเราต่อไปได้อยู่ดี”
หวางหมิงหยวนพูดอย่างกังวล “เจ้าสำนัก ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าเกรงว่าเราคงจะไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว หากเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสท่านนั้น เราคงไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ และเมื่อเราตายไป ในเวลานั้นทรัพย์สมบัติของพวกเราก็จะกลายเป็นของผู้อื่นอยู่ดี! ดังนั้นต่อให้ผู้อาวุโสท่านนั้นจะเอาสมบัติวิเศษที่มีค่าที่สุด 10 ชิ้นของพวกเราไป เราก็ยังคงเหลือสมบัติต่าง ๆ อยู่อีกไม่ใช่น้อย ๆ ท่านจงคิดดูให้ดี ๆ ท่านเจ้าสำนัก หากเราตายอนาคตที่ท่านกังวลมันก็คงไม่มีอยู่จริงหรอก!”
หยวนต้าตงส่ายหัวและพูดขึ้น “ถ้างั้นเอาแบบนี้ เจ้าจงไปนำคนเหล่านั้นเข้ามาก่อนเพื่อที่ข้าจะได้คุยรายละเอียดกับพวกเขาอีกที และถ้าหากพวกเขาสามารถช่วยเราได้จริง ๆ ข้าจะจ่ายราคาให้กับพวกเขาตามความเหมาะสม”
“นี่ท่านตกลงกับข้อตกลงแล้วใช่ไหม?” หวางหมิงหยวนรู้สึกดีใจมาก
หวางหมิงหยวนได้เห็นอำนาจและอิทธิพลของหลิงตู้ฉิงในเมืองหยูหลันด้วยตาของเขาเอง ซึ่งมันทำให้เขามั่นใจมากว่าเมื่อหลิงตู้ฉิงลงมือช่วยเหลือพวกเขาเมื่อไหร่ วิกฤตสำนักของเขาจะคลี่คลายได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ เนื่องจากหลิงตู้ฉิงถึงกับดั้นด้นมาคืนสมบัติของพวกเขาแม้หนทางจะไกลแสนไกล ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้ว่าหลิงตู้ฉิงนั้นเป็นคนที่มีความยุติธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าสำนักของเขาตอบตกลงเมื่อไหร่ หลิงตู้ฉิงจะสามารถช่วยอารามนวดาราของพวกเขาผ่านวิกฤตนี้ได้อย่างแน่นอน
ตราบใดที่เขายังคงรักษาอารามนวดาราให้รอดต่อไปได้อีกสัก 200-300 ปี อารามนวดาราของพวกเขาก็น่าจะมีโอกาสสูงที่จะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม
หยวนต้าตงส่ายหัวและพูดว่า “ข้ายังไม่ได้บอกว่าจะตกลงในข้อเรียกร้องของเขาทั้งหมดตอนนี้ เจ้าแค่จงไปเชิญพวกเขาเข้ามาก่อน แล้วค่อยมาดูกันว่าเขาจะสามารถช่วยเราได้มากขนาดไหนเป็นอันดับแรก!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จากสีหน้าที่ตื่นเต้นของหวางหมิงหยวนก็เปลี่ยนกลายเป็นบูดเบี้ยวในทันทีพลางคิดบ่นในใจ ‘ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ท่านยังตัดสินใจไม่ได้อีกหรือไงว่าอะไรที่สำคัญกว่า ชีวิต? หรือ สมบัติ?’
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักของเขาจะยังไม่ตอบตกลง แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ไม่ใช่การปฏิเสธและมันก็ถือว่าเป็นความคืบหน้าในแนวทางที่ดีในการที่จะเชิญให้หลิงตู้ฉิงเข้ามาพูดคุยกันก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็รีบวิ่งออกไปที่ทางเข้าสำนักเพื่อเตรียมที่จะนำกลุ่มของหลิงตู้ฉิงเข้ามาด้านใน
แต่ในขณะเดียวกับที่เขากำลังวิ่งออกไป ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหน้าทางเข้าสำนักของเขาว่า “ฟางหมิงยู่ จากสำนักหมอกเมฆา อี้ตงเทียน แห่งสำนักน้ำพุวิญญาณ หลานฟ่างจุน แห่งสำนักกระบี่โลหิต จางไป๋อู่ สำนักอนันต์ พวกเรามาขอเยี่ยมชมอารามนวดารา โปรดเจ้าสำนักอารามนวดาราออกมารับพวกเราที!”
หยวนต้าตงคร่ำครวญอย่างลับ ๆ คนเหล่านี้ลงมือเร็วเกินไป
ทั้งสี่คนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดจากสี่สำนัก ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาคือ หลานฟ่างจุน แห่ง สำนักกระบี่โลหิต แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงแต่ระดับการบ่มเพาะของนางในตอนนี้ก็ได้มาถึงระดับนักบุญขั้นปลายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคงอีกไม่นานที่นางจะทะลวงไปยังระดับรู้แจ้งได้ในอนาคตอันใกล้
ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะลงมือเร็วขนาดนี้ สิ่งที่หยวนต้าตงไม่รู้ก็คือสาเหตุที่สำนักเหล่านี้เปิดการโจมตีล่วงหน้าทั้งหมดเป็นเพราะการปรากฏตัวของหลิงตู้ฉิง
ด้วยสถานการณ์ที่จู่ ๆ ก็มีบุคคลลึกลับที่มีสาวรับใช้ระดับเหนือล้ำและมีเผ่ามังกรเป็นผู้ลากรถม้าให้ปรากฎตัวขึ้นและต้องการเข้าไปในอารามนวดารา ด้วยความกังวลใจกับสถานการณ์เช่นนี้ทั้งสี่สำนักจึงตัดสินใจที่จะลงมือก่อนที่จะมีเรื่องที่พวกเขาไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากในเวลานี้พวกเขายังเห็นว่าบุคคลลึกลับยังคงอยู่ในรถม้าและทางอารามนวดาราก็ยังไม่ได้เชิญกลุ่มบุคคลลึกลับพวกนี้เข้าไป
ในเวลานี้ที่นอกอารามนวดารา ฟางหมิงยู่และอีกสามคนกำลังยืนคอยดูท่าทีของอารามนวดาราอย่างใจจดจ่อ แม้ว่าพวกเขาจะบอกว่ามาเยี่ยมชมอารามนวดารา แต่สายตาของพวกเขาก็จดจ้องไปที่รถม้าของหลิงตู้ฉิงอย่างไม่คลาดสายตา
ฟางหมิงยู่มองประเมินไปยังเสี่ยวเยว่เฟิงและหลงเฉิน จากนั้นเขาจึงถามขึ้นด้วยเสียงที่ชัดเจน “พวกท่านทั้งคู่มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรงั้นหรือ?”
เขาไม่สนใจหลิงตู้ฉิงที่มีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำเตี้ย
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ฟางหมิงยู่ และถามว่า “เจ้ามีอะไร?”
ฟางหมิงยู่ยิ้มและพูดว่า “โปรดแจ้งนายของเจ้าและเชิญเขาออกมาพบกับพวกเราทีได้หรือไม่?”
เสี่ยวเยว่เฟิงเหลือบมองไปที่ฟางหมิงยู่ และพูดว่า “นี่คือเจ้านายของข้า หากเจ้ามีคำถามใด ๆ เจ้าสามารถบอกเขาได้โดยตรง”
ฟางหมิงยู่ประหลาดใจไปชั่วครู่ และถามด้วยความประหลาดใจ “เอ่อ…งั้นให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดี?”
ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะตอบกลับ หวางหมิงหยวนก็วิ่งออกมาถึงหน้าทางเข้าสำนักพอดี จากนั้นเขาก็ได้ตะโกนไปทางหลิงตู้ฉิงด้วยนำเสียงเคารพว่า “ผู้อาวุโส เจ้าสำนักของข้าได้ตกลงกับข้อตกลงของผู้อาวุโสแล้ว เชิญท่านเข้ามาด้านในก่อนเพื่อคุยรายละเอียดอื่น ๆ กันเพิ่มเติม”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “แน่นอน!”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็เริ่มเดินไปยังทางเข้าของอารามนวดาราทันที พร้อมกับหลงเฉินเองก็เริ่มลากรถม้าตามหลังเขาไปเช่นกัน
“ช้าก่อน!” ฟางหมิงยู่และผู้เชี่ยวชาญอีกสามสำนักตะคอกขึ้น พร้อมกับรีบมายืนขวางทางหลิงตู้ฉิงเอาไว้!