บทที่ 506 เปิดกุญแจสุสานศักดิ์สิทธิ์
หลังจากมาถึงที่ตำหนักยุทธภัณฑ์ หลิงตู้ฉิงก็ได้เปิดผนึกทั้งหมดในตำหนักยุทธภัณฑ์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจอาวุธที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์แม้แต่น้อย เขาเอาแต่เลือกเก็บรวบรวมอาวุธที่แตกหักเสียหายเก็บเข้าแหวนมิติของตนเอง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เว่ยกวนและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกตื้นตันใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ดี
นี่มันคือการประพฤติตนของบรรดาบรรพบุรุษรุ่นก่อนอย่างแท้จริง ในอดีตพวกเขาต่างได้ทิ้งสมบัติวิเศษต่าง ๆ นานาเอาไว้มากมายที่พวกเขาสร้างไว้ให้กับชนรุ่นหลังเพื่อพัฒนาและปกปักรักษาสำนัก แต่แล้วในตอนนี้เมื่อบรรพบุรุษกลับมา เขากลับเลือกเหล่าเศษอาวุธที่แตกหักเสียหายเหล่านี้ไปแทน เขาช่างเป็นบรรพบุรุษที่มีเกียรติและน่ายกย่องอย่างแท้จริง
“บรรพบุรุษ ข้าเห็นว่าเรายังมีอาวุธระดับจักรพรรดิอยู่สี่หรือห้าชิ้นในตำหนักยุทธภัณฑ์ มันคงไม่เป็นไรหรอกถ้าท่านจะเอาไปสักชิ้นหนึ่ง” เว่ยกวนให้คำแนะนำ
หนิงฉิงพูดเสริม “นายท่าน อาวุธจักรพรรดิเหล่านี้ต่อให้พวกเรามีมันเก็บไว้หลายชิ้นไปก็เท่านั้น เพราะในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ผู้อาวุโสเว่ยกวนเท่านั้นที่สามารถสำแดงพลังของมันได้อย่างเต็มที่ ส่วนพวกเราคนอื่น ๆ เองยังคงต้องใช้เวลาฝึกฝนกันอีกนาน นอกจากนี้แม้ว่านายท่านจะมีท่านเจ้าสำนักอยู่เคียงข้าง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าสำนักในตอนนี้ก็ถือว่าอาจจะยังไม่เพียงพอ”
ทางด้านของหมิงยู่เองก็ร่วมให้คำแนะนำแก่หลิงตู้ฉิงด้วยเช่นกัน ว่าเขาควรนำอาวุธระดับจักรพรรดิติดตัวไปบ้างเพื่อป้องกันตัว
เมื่อเผชิญกับการคะยั้นคะยอเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกพูดไม่ออก
ในตอนนั้นเมื่อตอนที่พวกเขาปิดผนึกสำนักวิญญาณโลหิต เหล่าคนของสำนักวิญญาณโลหิตพยายามปกป้องสมบัติเหล่านี้แทบตายเพื่อไม่ให้เขานำมันไป ซึ่งอันที่จริงเขาเองก็ไม่เคยเหลียวแลพวกอาวุธระดับจักรพรรดิเหล่านี้เลยสักนิด
แต่ตอนนี้คนเหล่านี้กลับพยายามให้เขาเลือก 1 ชิ้นเพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเอง?
อันที่เขาเลือกเช่นนี้ก็เพราะ มันจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะเลือกอาวุธที่เสียหายแล้วมาแยกชิ้นส่วนและเอาวัสดุที่มีประโยชน์จากพวกมันมาสร้างสมบัติใหม่
ดังนั้นมันคงเป็นการดีกว่าที่เขาจะปล่อยให้สมบัติอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เอาไว้ที่นี่เพื่อให้คนเหล่านี้เอาไว้ใช้
ในท้ายที่สุดไม่ว่าหนิงฉิงและคนอื่น ๆ จะขอร้องอย่างไร หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้เลือกอาวุธระดับจักรพรรดิไปแม้แต่ชิ้นเดียว
สิ่งนี้เกือบจะทำให้ผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้ม
ท่านบรรพบุรุษของพวกเขาช่างมีจิตใจที่งดงามยิ่งนัก!
เมื่อเดินออกจากตำหนักยุทธภัณฑ์ และกลับไปที่ห้องโถงใหญ่ เย่ชิงเฉิงที่รอเขาอยู่ก็ถามว่า “สามี ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”
ในฐานะคนนอก มันไม่สะดวกสำหรับเย่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ ที่จะเข้าไปในตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์ของสำนักวิญญาณโลหิต อย่างไรก็ตามพวกเขาก็กังวลเช่นกันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง หันกลับมาและพูดกับเว่ยกวน “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าและมันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า!”
เว่ยกวนรีบพูดว่า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หากท่านมีคำขอใด ๆ เพียงแค่บอกข้า ข้าจะรีบดำเนินการอย่างเต็มที่ให้ในทันที!”
“ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าแค่ต้องการให้เจ้าใช้พลังแห่งเจตจำนงขอบเขตจักรพรรดิของเจ้าเพื่อเปิดบางสิ่งให้ข้า” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
สิ่งที่เขาต้องการจะเปิดนั้นเป็นกุญแจของสุสานศักดิ์สิทธิ์
ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะหาโอกาสที่จะเปิดมันหลังจากที่เขาไปถึงสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดถึงความไม่แน่นอนหลายอย่างในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงเลือกที่จะให้สำนักวิญญาณโลหิตเป็นผู้เปิดมันจะดีกว่า
เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างของสำนักวิญญาณโลหิตอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และเว่ยกวนก็ทำตัวกลายเป็นลูกหลานที่ดีที่ให้ความเคารพเขาเหมือนบรรพบุรุษของตนเอง เขาจึงรู้สึกว่าจะดีกว่าถ้าให้เว่ยกวนเปิดกุญแจสู่สุสานศักดิ์สิทธิ์ที่สำนักวิญญาณโลหิต
และแน่นอนว่าตามนิสัยของเขาแล้ว หากเขาขอความช่วยเหลือจากเว่ยกวน เขาก็จะตอบแทนบางอย่างกับเว่ยกวนด้วย
“สามี ข้าขอไปดูด้วย!” เย่ชิงเฉิงรีบพูด
นางรู้ทันทีว่าหลิงตู้ฉิงจะเปิดอะไร ซึ่งนางเองก็อยากจะเห็นว่าสุสานนี้อยู่ที่ไหน
เว่ยกวนรีบตอบกลับทันทีว่า “ท่านบรรพบุรุษ ถ้างั้นพวกเราไปที่ด้านข้างของทะเลโลหิตกันก่อน ข้าจำเป็นต้องใช้อำนาจแห่งมหาเต๋าโลหิตที่สถิตอยู่ที่นั่นในการเสริมอำนาจของเจตจำนงของข้าให้สำแดงออกมาได้อย่างเต็มที่”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหา งั้นก็ไปที่นั่นกันเลย”
หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ออกคำสั่งให้คนอื่น ๆ รอต่อไป ส่วนตัวเขาก็พาเย่ชิงเฉิงและหมิงยู่กลับไปที่ทะเลโลหิต
หลิงตู้ฉิงหยิบแผ่นไม้ที่เป็นกุญแจสุสานศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และพูดกับเว่ยกวนว่า “จงเปิดมันออก!”
“หืม? นี่คืออะไร?” เว่ยกวนหยิบกุญแจมาและจากนั้นเขาก็ลองส่งพลังวิญญาณรวมไปถึงจิตสำนักของเขาสำรวจดูมัน ซึ่งทุกอย่างที่เขาส่งเข้าไป มันกลับทะลุผ่านออกไปโดยไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“มันคือกุญแจสุสานศักดิ์สิทธิ์!” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างตรงไปตรงมา
“กุญแจสู่สุสานศักดิ์สิทธิ์?” เว่ยกวนตกใจและรีบมองไปที่หลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ดังนั้นข้าจึงต้องเปิดมันก่อน เจ้าจงใช้เจตจำนงและพลังของมหาเต๋าโลหิตโจมตีใส่กุญแจนี้ แล้วเดี๋ยวข้อมูลของมันจะปรากฎขึ้นมาเอง”
เว่ยกวนระงับความตื่นเต้นของเขาและทำตามคำสั่งของหลิงตู้ฉิง เขาใช้เจตจำนงของเขาเองเข้าโจมตีกุญแจสุสานอย่างต่อเนื่อง
และในคราวนี้มันตอบสนองราวกับว่ามีบางสิ่งที่อยู่ข้างในถูกสัมผัส
เว่ยกวน เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าที่จะประมาท เขาใช้อำนาจของมหาเต๋าโลหิต เพื่อโจมตีมันอย่างต่อเนื่องอีกแรง
หลังจากโจมตีมันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง กุญแจก็เปล่งแสงอันพร่างพราวและแผนภาพก็ถูกฉายปรากฏขึ้นภายในแสง
ภาพนี้แสดงให้เห็นว่ามันคือใจกลางภูเขาไฟ
จากนั้นภาพก็หายไป
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและถามขึ้น “มีใครรู้จักสถานที่นี้ไหม?”
เย่ชิงเฉิงส่ายหัว หมิงยู่ส่ายหัว เว่ยกวนก็ส่ายหัว
ข้างในภาพนั้นน่าจะเป็นที่ตั้งของสุสาน แต่เขาไม่รู้จักสถานที่นั้น
เขามีกุญแจสุสานศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาหาทางเข้าไม่เจอ
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “งั้นก็ลืมไปซะ เดี๋ยวเราค่อยตามหามัน”
หมิงยู่ถามว่า “นายท่านต้องการให้ข้าส่งคนไปหาไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ดี! ถ้าเจ้าพบมันเมื่อไหร่ เมื่อเข้าไปในสุสานศักดิ์สิทธิ์ได้ข้าจะแบ่งสมบัติให้พวกเจ้าสองส่วน!”
“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษ!” เว่ยกวนรีบพูด “ข้าจะให้คนออกตามหาสถานที่นั้นโดยเร็ว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะ! ในฐานะที่เจ้าช่วยข้าไขกุญแจไปสู่สุสานศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะให้ผลประโยชน์บางอย่างแก่เจ้าเช่นกัน วิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ ของเจ้านั้นบ่มเพาะมาจากจากเลือดของสิ่งมีชีวิตบางอย่างมันจึงเกิดความผิดพลาดขึ้น”
“แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะฝึกฝนวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ยากที่จะแก้ปัญหานี้ เจ้าต้องเปลี่ยนเลือดในร่างกายของเจ้า จากนั้นเจ้าถึงจะสามารถทะลวงระดับได้ตามปกติ สำหรับวิธีการเปลี่ยนเลือด ข้าเชื่อว่าเจ้าคงรู้วิธีของมันที่มีอยู่หลายวิธีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมจริงไหม?”
“ขอบคุณบรรพบุรุษสำหรับคำชี้แนะ!” เว่ยกวนโค้งคำนับและพูดตอบ
เขาเชื่ออยู่แล้วว่าหลิงตู้ฉิงเป็นบรรพบุรุษของสำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยเกี่ยวกับคำพูดของหลิงตู้ฉิง ยิ่งไปกว่านั้นเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้รับคำชี้แนะจากบรรพบุรุษของสำนัก
หลิงตู้ฉิงเมื่อพูดกับเว่ยกวนจบ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเย่ชิงเฉิงและหมิงยู่ “เอาล่ะ เราจบเรื่องสำนักวิญญาณโลหิตแล้ว ตอนนี้เราควรออกจากสำนักวิญญาณโลหิตได้แล้ว”
ทุกคนของสำนักวิญญาณโลหิตต่างออกไปส่งหลิงตู้ฉิงและคนของเขา ที่หน้าประตูสำนักด้วยความเคารพ ที่พวกเขาทำถึงขนาดนี้ก็เพราะ พวกเขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงคือบรรพบุรุษที่แท้จริงของพวกเขา แถมหลังจากที่บรรพบุรุษของพวกเขากลับมา เขายังแต่งตั้งเจ้าสำนักคนใหม่ให้ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวังใหม่ พวกเขาจึงบังเกิดความซาบซึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้
ก่อนขึ้นรถม้า หลิงตู้ฉิงหันศีรษะและมองไปยังบรรดาคนของสำนักวิญญาณโลหิตด้วยสายตาครุ่นคิด จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “พวกเจ้าทุกคนลองคิดทบทวนให้ดีว่าทำไมสำนักวิญญาณโลหิตของพวกเจ้าถึงถูกผนึกเป็นเวลาหลายหมื่นปี? หากพวกเจ้ายังคิดมันไม่ได้ ชะตากรรมของพวกเจ้าในอนาคตก็คงไม่พ้นจะลงเอยเหมือนเดิมเช่นเดียวกับในอดีต”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ขึ้นรถม้าและหลงเฉินก็รีบลากรถม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเห็นว่าหลิงตู้ฉิงหายไปพ้นจากระยะสายตา เว่ยกวนก็หันกลับมาพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “ก่อนที่เจ้าสำนักจะออกจากทะเลโลหิต พวกเราต้องใช้เวลานี้เพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะของพวกเราให้เร็วที่สุด ตอนนี้เรามีสมบัติวิเศษ โอสถและเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์ต่าง ๆ แล้ว ถ้าเราไม่ตั้งใจบ่มเพาะ มันคงไม่ต่างอะไรกับว่าเราดูหมิ่นท่านบรรพบุรุษของเราและพวกเราต้องไม่ลืมครุ่นคิดในสิ่งที่ท่านบรรพบุรุษทิ้งคำพูดของท่านเอาไว้เมื่อครู่ด้วย ทุกคนจงช่วยกันคิดอย่างถี่ถ้วนว่าทำไมในอดีตพวกเราที่เป็นถึงสำนักมหาอำนาจแต่กลับถูกผนึกมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีได้ยังไง?”
ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่นและพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด มันจะไปมีเหตุผลอะไรอื่นได้ยังไง มันก็เป็นแค่เพียงความแข็งแกร่งของเราในตอนนั้นอ่อนแอกว่าศัตรู! หากเราแข็งแกร่งกว่าเราก็ไม่ถูกรังแกอย่างที่ผ่านมา! นับจากนี้ข้าขอตัวปิดด่านบ่มเพาะ ข้าจะไม่ออกมาจนกว่าจะแข็งแกร่งกว่านี้ร้อยเท่า!”
คนอื่น ๆ ก็คิดได้แบบนี้เช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็พากันปิดด่านบ่มเพาะ