บทที่ 513 ความกังขาของตระกูลหลิน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง ทั้งหลินเย่และหลินฉางยู่ก็รู้สึกตกตะลึงเหมือนโดนสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ผ่าลงกลางกระหม่อม
พวกเขาทั้งคู่ต่างอุทานเสียงหลง “มันเป็นไปได้ยังไง? ถ้าพวกเราไม่ใช่แล้วพวกเราจะมีกระบี่คมสวรรค์ได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่ แต่พวกเจ้าก็มีความเกี่ยวพันกับเทพกระบี่ที่ลึกซึ้ง แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเหล่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนของพวกเจ้าถึงได้บอกว่าพวกเจ้าเป็นลูกหลานของเทพกระบี่เช่นนี้ แต่เนื่องจากที่พวกเจ้าได้รับคมสวรรค์มา ข้าจะยังคงอนุญาตให้พวกเจ้าเก็บมันไว้และใช้มันเมื่อตอนที่ตระกูลเจ้าอยู่ในสถานการณ์วิกฤต และจะยังคงอนุญาตให้พวกเจ้าได้อ้างชื่อว่าเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ต่อไป”
เมื่อพูดจบด้วยสีหน้าผิดหวัง หลิงตู้ฉิงก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องโถงใหญ่ทันที
“ท่านยังไม่ได้รับอนุญาตให้จากไป ท่านต้องอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน!” หลินเย่รีบตะโกนขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้ามาขวางทางของหลิงตู้ฉิงและหมิงยู่ให้หยุดอยู่ที่กลางลานหน้าคฤหาสน์ของพวกเขา
ขณะนี้เขาได้สำแดงระดับการบ่มเพาะของตนเองที่อยู่ในระดับสวรรค์สมบูรณ์(ขอบเขตสวรรค์ระดับ8) กดดันหมิงยู่ที่อยู่ในระดับนภาคราม(ขอบเขตสวรรค์ระดับ7)
หลินเย่ ในตอนนี้เริ่มสติหลุด เนื่องจากว่าเขาได้รับข่าวที่กระทบกระเทือนใจเป็นอย่างมากว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อมาตลอดนับหมื่นปีมันเป็นเรื่องไม่จริง และที่สำคัญหากคำกล่าวนี้หลุดออกไปยังโลกภายนอก ตระกูลของเขาคงจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายรวมไปถึงตอนนี้เขายังคงเชื่อมันอยู่ว่า ตระกูลของเขาคือลูกหลานของเทพกระบี่ตัวจริงและคำพูดที่ชายผู้นี้กล่าวขึ้นว่าพวกเขาไม่ใช่ มันน่าจะเป็นเพราะชายผู้นี้ต้องการหาข้ออ้างเก็บสมบัติของบรรพบุรุษพวกเขาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเย่จึงแสดงสีหน้าเย็นชาและพูดขึ้น “ผู้อาวุโส ท่านต้องทิ้งสมบัติของบรรพบุรุษข้าเอาไว้ที่นี่ ไม่งั้นท่านอย่าหาว่าข้าไม่สุภาพกับท่าน!”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว “ข้าคิดว่าข้ายังไม่ได้ล่วงเกินอะไรพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าถึงแสดงท่าทีหยาบคายกับข้าเช่นนี้?”
“ข้าไม่สนใจว่าข้าหยาบคายหรืออะไรอีกแล้ว ข้าแน่ใจว่าตระกูลของข้าคือลูกหลานของเทพกระบี่ที่แท้จริง” หลินเย่ตะคอกขึ้นด้วยอารมณ์โมโห “ท่านคิดว่าแค่คำพูดของท่านเพียงเท่านี้มันจะทำให้พวกข้าเชื่อจริง ๆ ว่าพวกข้าไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่งั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงถอนหาย จากนั้นเขาก็ดึงอำนาจของผนึกที่เขานำมาจากสำนักวิญญาณโลหิตที่เขาเก็บไว้ในยันต์สั่งสวรรค์ออกมาใช้ส่วนหนึ่งและเอ่ยขึ้น “ถ้างั้นนี่คงพอทำให้เจ้าเชื่อข้าบ้างได้แล้วรึยัง?”
เมื่ออำนาจของผนึกถูกใช้ ฝ่ามือยักษ์ที่ถูกควบแน่นด้วยพลังวิญญาณก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและดิ่งลงมาหาหลินเย่ทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงอำนาจที่เขาไม่อาจต่อต้านได้ด้วยตนเอง ด้วยความตกตะลึง หลินเย่จึงรีบโคจรพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่คมสวรรค์เพื่อเปิดใช้งานมันทันทีเช่นกัน
เขาเปิดใช้งานมันจนเต็มพลัง เพราะเขาเข้าใจดีว่าคู่ต่อสู้ของเขาในตอนนี้คือตัวตนที่เคยมีชีวิตอยู่ในยุคก่อน ซึ่งแน่นอนว่าตัวตนแบบนี้จะต้องมีลูกไม้มากมายที่เอาไว้ปกป้องตัวเอง ซึ่งต่อให้เขาจะอยู่ในระดับสวรรค์สมบูรณ์ เขาก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้
เมื่อคมสวรรค์ได้รับพลังวิญญาณอย่างเต็มที่ มันก็เริ่มสำแดงอำนาจของมันออกมาทันที มันปลดปล่อยเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ภายในเสียดแทงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์ตระกูลหลินเพื่อต้านฝ่ามือยักษ์ที่กำลังดิ่งลงมา
ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของกระบี่คมสวรรค์ก็ปรากฏกายขึ้นเช่นกัน ร่างของวิญญาณศาสตราที่ปรากฎขึ้นเป็นชายที่อยู่ในชุดขาวดูอันตราย
หลิงตู้ฉิงมองไปยังวิญญาณศาสตราที่เผยตัวขึ้นจากกระบี่คมสวรรค์ จากนั้นเขาจึงหยุดการโจมตีของฝ่ามือยักษ์และยืนนิ่ง
ในเวลาเดียวกันเมื่อวิญญาณศาสตราของกระบี่คมสวรรค์มองไปยังหลิงตู้ฉิง มันก็ถึงกับตกอยู่ในอาการตะลึงงันไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรต่อ
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเขาถึงกล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นลูกหลานของนายเจ้า?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นด้วยโทรจิต
วิญญาณศาสตราส่ายหัวทันทีพร้อมกับตอบกลับทางโทรจิตเช่นกัน “ข้าไม่ทราบ! ข้าเพียงแค่ทำตามเจตจำนงของนายข้าให้ปกป้องพวกเขาตลอดไปก็แค่เท่านั้น”
“ตกลงแล้วนายของเจ้ามีลูกหลานจริง ๆ รึเปล่า? แล้วถ้ามีพวกเขาอยู่ที่ไหน?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นอีกรอบ
วิญญาณศาสตราส่ายหัวอีกครั้ง “หลังจากที่เจ้านายมีอาวุธใหม่ เขาก็ไม่เคยใช้งานข้าอีกเลย ข้าจึงไม่รู้จริง ๆ ว่าหลังจากนั้นแล้วเขาได้ไปทำอะไรต่ออีกบ้าง อันที่จริงหากเขาไม่สั่งให้ข้าคอยปกป้องตระกูลหลินเอาไว้ ข้าคงคิดว่าเขาคงไม่ต้องการข้าอีกแล้ว นายท่าน ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว ข้าขอติดตามท่านไปหาเจ้านายของข้าได้ไหม?”
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อนายของเจ้าสั่งให้เจ้าอยู่ปกป้องตระกูลหลินที่นี่ งั้นเจ้าก็ควรจะอยู่ปกป้องที่นี่ต่อไป”
“น้อมรับบัญชา นายท่าน!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ วิญญาณศาสตราก็พยักหน้ารับทราบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อย
จากนั้นวิญญาณศาสตราก็พุ่งกลับคืนเข้าไปในกระบี่คมสวรรค์ พร้อมกับที่เจตจำนงกระบี่ที่ปล่อยออกมาก็ถูกดึงกลับเข้าไปในกระบี่เช่นกัน
หลินเย่และหลินฉางยู่ มองดูภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความสายตาโง่งม
ทำไมกระบี่คมสวรรค์ของพวกเขาถึงไม่ยอมโจมตี?
ในช่วงระยะเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา กระบี่คมสวรรค์คอยช่วยเหลือตระกูลของพวกเขาให้พ้นกับหายนะมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ตราบใดที่มันไม่เผชิญกับผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับสูงสุดยอด มันก็ไม่มีปัญหาอะไรในการจัดการหายนะที่พวกเขาเผชิญ แต่ทำไมตอนนี้มันกลับไม่โจมตีเอาซะดื้อ ๆ?
หลินเย่มองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาหวาดกลัว หรือมันจะเป็นไปได้ไหมที่คนผู้นี้พูดความจริง? พวกเขาไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่จริง ๆ งั้นเหรอ?
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหลินเย่ และหลินฉางยู่ จากนั้นเขาโยนป้ายคำสั่งเทพกระบี่ไปให้และพูดว่า “ป้ายคำสั่งกระบี่นี้บรรจุเจตจำนงกระบี่เอาไว้ จงนำมันไปศึกษาให้ดี ซึ่งพวกเจ้าจะได้ประโยชน์จากมันเท่าไหร่มันก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของพวกเจ้าเอง ส่วนเจ้า ข้าเห็นว่าตอนนี้เจ้าคงติดอยู่ในระดับสวรรค์สมบูรณ์มานานแล้ว นี่คือโอสถสงบวิญญาณ ซึ่งมันจะช่วยให้เจ้าทะลวงขอบเขตขึ้นไปถึงขอบเขตราชันได้ และนับจากนี้พวกเจ้าคือลูกหลานของเทพกระบี่!”
ในตอนนี้หลินเย่ได้ถือป้ายคำสั่งและโอสถสงบวิญญาณไว้ในมือพลางจ้องมองหลิงตู้ฉิง โดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ทำไมกลายเป็นว่าคนผู้นี้จู่ ๆ ก็ยอมรับว่าพวกเขาคือลูกหลานของเทพกระบี่มาซะอย่างนั้น?
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ส่ายหัวและจากไปพร้อมกับหมิงยู่ทันที
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากตระกูลหลิน หมิงยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “นายท่าน มันเกิดอะไรขึ้นในตระกูลหลินกันแน่? สรุปแล้วพวกเขาใช่ลูกหลานของเทพกระบี่ตัวจริงรึเปล่า?”
“พวกเขาไม่ใช่หรอก” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เทพกระบี่นั้นมีสาวกกระบี่อยู่ พวกเขาคือลูกหลานของสาวกกระบี่ของเทพกระบี่ต่างหาก แต่เจ้าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นแผนการบางอย่างของเทพกระบี่”
จากที่เขาเห็นภาพร่างของเหล่าต้นตระกูลหลินเป็นสาวกกระบี่ หลิงตู้ฉิงก็รู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่แน่นอน แต่ในเมื่อทาสกระบี่ถึงขนาดส่งคมสวรรค์มาปกป้องตระกูลนี้ด้วยแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าทาสกระบี่จะต้องวางแผนการอะไรไว้บางอย่าง
และในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น เขาจึงเล่นตามแผนการของทาสกระบี่ต่อไปแถมยังช่วยเหลือตระกูลหลินให้อีกต่างหาก
ในเวลาเดียวทางด้านของตระกูลหลิน หลินเย่และหลินฉางยู่ต่างตกอยู่ในสภาวะมึนงงและเหม่อมองไปยังป้ายคำสั่งกระบี่และโอสถสงบวิญญาณ
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก หลินฉางยู่ก็พูดขึ้น “ท่านปู่ทวด สรุปแล้วพวกเราเป็นลูกหลานของใครกันแน่?”
ตลอดเวลานับหมื่นปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างเชื่ออย่างใจจริงว่าพวกเขาคือลูกหลานของเทพกระบี่ และถึงแม้ว่าในตอนท้ายหลิงตู้ฉิงจะบอกว่าพวกเขาคือลูกหลานของเทพกระบี่ แต่ด้วยท่าทีของหลิงตู้ฉิงมันจึงทำให้พวกเขาเกิดความกังขาขึ้นในใจ
หลินเย่นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อตอนนี้ผู้อาวุโสท่านนั้นบอกให้พวกเราเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ ดังนั้นเราก็จะเป็นต่อไป ส่วนป้ายคำสั่งนี้ที่มีเจตจำนงของบรรพบุรุษ เจ้าจงนำมันไปทำความเข้าใจก่อน ส่วนข้าเองจะขอเก็บตัวปิดด่านเพื่อใช้โอสถสงบวิญญาณนี้ในการทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตราชัน”
หลินฉางยู่พยักหน้าเข้าใจและพูดว่า “ท่านปู่ทวด ถ้างั้นข้อขอตัวไปทำความเข้าใจกับเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ในป้ายคำสั่งนี้ก่อนก็แล้วกัน ข้าขออวยพรให้ท่านปู่ทวดโชคดีในการทะลวงขอบเขต”
“ฉางยู่ เจ้าจงอย่าลืมว่าห้ามนำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปแร่งพรายให้คนภายนอกรู้เป็นอันขาด เจ้าเข้าใจใช่ไหม?” หลินเย่เอ่ยขึ้นก่อนที่หลินฉางยู่จะจากไป
หลินฉางยู่พยักหน้าอีกครั้ง “ไม่ต้องเป็นห่วงท่านปู่ทวด ข้ารู้ว่าควรทำยังไง”
พวกเขาไม่เป็นกังวลว่าหลิงตู้ฉิงจะนำเรื่องของพวกเขาไปแพร่งพราย เนื่องจากเป็นหลิงตู้ฉิงเองที่ยอมรับให้พวกเขาเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ ดังนั้นในอนาคตพวกเขาก็จะเป็นมันแม้ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม
และด้วยการที่ในตอนนี้พวกเขามีป้ายคำสั่งกระบี่ด้วยแล้ว มันก็จะยิ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าพวกเขาคือลูกหลานของเทพกระบี่ที่แท้จริงโดยที่ไม่มีใครสามารถมาคัดค้านได้
ในอีกด้านหนึ่ง ขณะนี้หลิงตู้ฉิงได้พาหมิงยู่มาถึงโรงเตี๋ยมที่พวกเขาพักเรียบร้อย จากนั้นเขาสั่งทุกคนทันที “เอาล่ะพวกเราไปกันต่อที่ตระกูลที่สอง ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นยังไงมายังไงกันแน่!”