“ข้าสร้างปัญหาให้กับตระกูลเจ้างั้นเหรอ? ปัญหาอะไร?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยถามขึ้นหลังจากได้ยินคำกล่าวของมู่ถิง
มู่ถิงยิ้มอย่างขมขื่นและตอบกลับว่า “คุณชาย ตั้งแต่ที่ท่านมาอยู่ในเรือนของข้า ท่านก็ใช้ให้คนของข้าออกไปสืบหาข้อมูลของเทพกระบี่ไปทั่วอยู่ทุกวัน ท่านคิดว่ามันไม่เป็นปัญหากับตระกูลของข้างั้นเหรอ? ตอนนี้ผู้คนต่างลือกันไปทั่วแล้วว่าตระกูลของข้าคงกำลังต้องการเกาะชื่อเสียงของเทพกระบี่ให้โด่งดัง ซึ่งมันเริ่มจะมีใครบางคนที่ต้องการลงมือกับตระกูลของข้าแล้ว”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แล้วถ้าข้าไม่ยอมจากไปล่ะ?”
มู่ถิงตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าหม่นหมอง “หากคุณชายไม่ยอมจากไป เช่นนั้นเพื่อปกป้องตระกูลข้าจากท่าน ข้าคงต้องจำใจพาคนของตระกูลข้าทั้งหมดจากไปแทน ในเมื่อคุณชายชอบเรือนของข้ามากนัก งั้นข้าก็จะมอบมันให้กับท่านก็แล้วกัน!”
เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจที่จะทำอะไรหลิงตู้ฉิงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะถอยให้เอง
แน่นอนว่าความรู้สึกที่ต้องถูกทำให้จำยอมเช่นนี้มันแย่เสมอ
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้หลานเจ้ามาเป็นศิษย์ ข้าก็จะไม่มีวันจากไปไหนทั้งนั้น!”
อันที่จริงหลิงตู้ฉิงเพียงแค่ต้องการอยู่ช่วยเหลือตระกูลมู่เพียงเท่านั้น และในเมื่อเขาเองก็ยังหาเหตุผลที่มันเหมาะสมไม่ได้สักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงใช้เหตุผลที่เขาต้องการรับมู่เฉียนซ่งเป็นศิษย์มาเป็นข้ออ้างซะ เพราะมันดูสมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้แล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของมู่ถิงยิ่งกลายเป็นมืดหม่นอย่างหนัก
นี่ชายผู้นี้ต้องการรับหลานของเขาเป็นศิษย์จนถึงขนาดต้องใช้วิธีที่น่าไม่อายแบบนี้เลยงั้นเหรอ?
หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “ช่วยข้าเกลี้ยกล่อมหลานของเจ้า แล้วข้าจะช่วยเจ้าทะลวงระดับไปอยู่ระดับนักบุญ”
“นี่ท่านคิดว่ามันไม่ยากไปสักหน่อยงั้นเหรอ?” มู่ถิงเอ่ยถามขึ้น
แต่แล้วในระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ จู่ ๆ ร่างของหมิงยู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลิงตู้เฉิงพร้อมกับร่างของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในมือของนาง นางโยนชายผู้นั้นลงไปที่แทบเท้าของหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “นายท่าน เมื่อครู่คนผู้นี้พยายามที่จะลงมือโจมตีมู่ฉิงชิว ข้าจึงทำการจับกุมเขามาให้ท่าน”
“ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าฉงน
จากนั้นเขาหันไปหามู่ถิง และเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้ว่านี่มันจะเป็นเรือนของเจ้า แต่ข้าคงต้องบอกให้เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องตรวจสอบคนผู้นี้อย่างละเอียดอีกที”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ถิงก็เดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกผนึกระดับการบ่มเพาะที่อยู่ตรงหน้าเขา และจากนั้นเขาก็ใช้วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์เข้าไปดูความทรงจำของผู้เชี่ยวชาณระดับนักบุญผู้นี้
หลังจากดูความทรงจำของคนผู้นี้ได้สักพัก หลิงตู้ฉิงก็ปล่อยร่างคนผู้นี้ด้วยสีหน้างุนงง
ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นี้ชื่อ มู่อี่หลง เขาคือผู้เชี่ยวชาญที่มาจากสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตสุสานกระบี่ สำนักกระบี่เอกภพ!
ส่วนเหตุผลที่เขาจ้องเล่นงานตระกูลมู่ก็เป็นเพราะเขาทนไม่ได้กับแนวคิดของตระกูลมู่ที่ลบหลู่เทพกระบี่
กล้าพูดจาโอหังว่าจะก้าวข้ามเทพกระบี่ ผู้ซึ่งเป็นดั่งเทพพระเจ้าของเขา การกระทำเช่นนี้สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย!
แต่โชคดีที่สำนักกระบี่เอกภพนั้นได้ออกกฎเหล็กมาเช่นกันว่าห้ามคนของตนเองสังหารคนของตระกูลมู่เป็นอันขาด เนื่องจากเจ้าสำนักของสำนักกระบี่เอกภพชื่นชมในความใจกล้าของตระกูลมู่เช่นกัน
แต่ถึงแม้เจ้าสำนักกระบี่เอกภพจะชื่นชมในความใจกล้า แต่เขาก็ได้เอ่ยไว้ว่าด้วยความโอหังของตระกูลมู่นั้นก็จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอน ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้คนของสำนักเขารังแกคนของตระกูลมู่ได้อย่างมีขอบเขตแบบพอเหมาะพอควร แต่ห้ามสังหารเด็ดขาด
หลิงตู้ฉิงมองไปที่มู่อี่หลง ที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องพลางครุ่นคิดในใจ
ไอ้คนเหล่านี้มันต้องการทำอะไรกันแน่?
อันที่จริงความทรงจำของมู่อี่หลงนั้นถูกตรวจสอบได้ไม่หมด เนื่องจากความทรงจำของเขาบางส่วนนั้นได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ซึ่ง หลิงตู้ฉิงเองก็จนใจไม่สามารถหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมได้มากกว่านี้อีก
หลังจากปลุกมู่อี่หลงขึ้น มู่อี่หลงก็ตะคอกขึ้นอย่างเดือดดาล “พวกเจ้าเป็นใครกัน? ข้าคือคนของสำนักกระบี่เอกภพ พวกเจ้าจงปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องเดือดร้อนแน่นอน!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถึงแม้ว่าสำนักกระบี่เอกภพของเจ้าจะแข็งแกร่งไม่เบา มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอยู่ 2 คน แต่มันก็เท่านั้นแหละสำหรับข้า พวกเจ้ามันก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรสักเท่าไหร่ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาก่อนว่าเจ้ามาทำอะไรที่เมืองผนึกกระบี่?”
“ข้ามาทำอะไรที่นี่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” มู่อี่หลงตะคอกกลับ
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “หากเป็นในเวลาอื่นมันคงไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่บังเอิญว่าในตอนนี้เจ้าดันปรากฎตัวในเวลาที่เหมาะสมเกินไป ดังนั้นมันจึงเกี่ยวกับข้าเต็ม ๆ เอาล่ะไหนข้าขอดูหน่อยสิว่าพวกเจ้าเป็นใครกันแน่!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ดึงหยดเลือดมาจากหน้าอกของมู่อี่หลง และจากนั้นเขาก็เริ่มสืบต้นตระกูลของมู่อี่หลงผ่านทางหยดเลือดทันที
ไม่นานต่อมา สีหน้าของหลิงตู้ฉิงก็เปลี่ยนไปเป็นงุนงงอย่างหนัก
คนพวกนี้เป็นใครกัน?
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความเกี่ยวดองทางสายเลือดกัน แล้วทำไมถึงได้มาโจมตีกันเองอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้?
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงนำหยดเลือดมาตรวจสอบ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว มู่อี่หลงก็เป็นสายเลือดของทาสกระบี่เช่นกัน
เขารู้สึกสงสัยมาตลอดว่าการที่ทาสกระบี่ใช้ชีวิตอยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่นานกว่า 500 ปี ทำไมเขาถึงยอมให้ลูกหลานเขาตระกูลมู่ตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ ในตอนนี้บางอย่างมันก็ถูกเฉลยแล้วว่าลูกหลานบางคนของเขานั้นอยู่ดีกินดีและไม่ได้อยู่เพียงแค่ในตระกูลมู่
แต่ถึงแม้เขาจะรู้เบาะแสถึงขนาดนี้ เขาก็ยังไม่รู้เหตุผลต้นตออยู่ดีว่ามันเพราะอะไร? เนื่องจากมันยังคงมีผนึกที่ปิดกั้นความลับนี้จากเขาอยู่ในร่างของมู่อี่หลง
หลิงตู้ฉิงคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็สั่งกับหมิงยู่ว่า “จงไปแจ้งทุกคนให้เตรียมออกเดินทางทันที พวกเราจะไปกันที่สำนักกระบี่เอกภพ!”
ในเมื่อตอนนี้เขาได้เบาะแสต่อไปแล้วว่าสำนักกระบี่เอกภพนั้นมีสมาชิกเป็นลูกหลานของทาสกระบี่เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้ามุ่งหน้าไปที่สำนักกระบี่เอกภพต่อเพื่อสืบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากที่ได้รับคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ทุกคนก็เตรียมตัวออกจากเรือนของตระกูลมู่ทันที
มู่ฉิงเฟิงที่เห็นเช่นนี้ก็เดินเข้ามาถามหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเสียดายเล็กน้อย “คุณชายท่านจะไปแล้วเหรอ?”
เนื่องจากหลิงตู้ฉิงได้นำประโยชน์มาให้แก่ตระกูลเขามากมาย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเสียดายที่เขาจะไม่ได้รับประโยชน์เหล่านั้นอีกแล้ว
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ และพูดกับมู่เฉียนหลิง “สาวน้อย พวกข้ากำลังจะไปที่สำนักกระบี่เอกภพ เจ้าต้องการที่จะไปกับพวกข้าไหม? เนื่องจากเจ้าเองก็พึ่งจะเริ่มฝึกวิชาเพลิงหนานหมิง ดังนั้นเจ้ายังจำเป็นที่จะต้องให้ข้าสอนอะไรต่าง ๆ เพิ่มอีก”
เมื่อได้ยินคำชักชวน มู่เฉียนหลิงก็ลังเลอยู่บ้างจากความเขินอาย
นางคิดในใจว่าคำชักชวนนี้มันอาจจะเหตุผลอื่นซ่อนอยู่เบื้องหลังรึเปล่า?
ส่วนทางด้านของมู่ฉิงเฟิงก็คิดเช่นกันว่า หลิงตู้ฉิงชอบลูกสาวของเขางั้นเหรอ?
ในทางกลับกัน มู่ถิงกลับคิดในใจขึ้นว่า ‘ข้าว่าแล้วไง! ที่แท้จุดมุ่งหมายของเจ้ามันก็แค่หวังในตัวของหลานข้าเท่านั้น! แต่ก็ช่างมันเถอะ เพื่อหลักเลี่ยงหายนะที่จะเกิดกับตระกูลข้า ข้าจะยอมมอบหลานสาวของข้าให้เจ้าก็ได้!’
เมื่อคิดในใจเสร็จ มู่ถิงก็พูดขึ้น “ในเมื่อคุณชายอยากให้เจ้าไปกับเขาด้วย ทำไมเจ้าถึงไม่ไปกับเขาล่ะ?”
แต่ก่อนที่มู่เฉียนหลิงจะทันได้ตอบอะไรออกไป หลิงตู้ฉิงพูดกับหมิงยู่ว่า “เอาตัวนางพร้อมกับเด็กที่ฝึกกระบี่นั่นไปด้วย”
เมื่อได้รับคำสั่ง หมิงยู่พยักหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นนางก็จับตัวมู่เฉียนซ่ง และมู่เฉียงหลิง ขึ้นรถม้าไปในทันที
มู่เฉียนซ่งและมู่เฉียงหลิงที่ถูกลากขึ้นรถม้าไปนั้นก็ได้แต่แสดงสีหน้างุนงง ที่จู่ ๆ พวกเขาก็ถูกพาตัวไปโดยที่ยังไม่ได้ตอบยินยอมอะไรเลย แถมพวกเขาเองก็ขัดขืนอะไรกับผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามอย่างหมิงยู่ไม่ได้ด้วย
ทางด้านของมู่ถิงและมู่ฉิงเฟิงที่เห็นภาพเช่นนี้ก็รู้สึกตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและไม่พอใจลึก ๆ หากมู่เฉียนหลิงจะติดตามหลิงตู้ฉิงไปนั้นคงไม่เป็นไร แต่การสูญเสียมู่เฉียนซ่งที่เป็นอัจฉริยะของตระกูลไปนั้นมันถือว่าเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของตระกูล
“คุณชาย นี่มันหมายความว่ายังไง?” มู่ถิงและมู่ฉิงเฟิง ถามขึ้นด้วยสีหน้าน่าเกลียด
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มันก็ไม่มีอะไรนิ ข้าแค่ต้องการพาพวกเขาไปกับข้า หากพวกเจ้าไม่พอใจ พวกเจ้าจะตามข้ามาด้วยก็ได้ข้าไม่ว่า”
มู่ถิงและมู่ฉิงเฟิงที่ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ใครใช้ให้พวกเขาอ่อนแอกว่าฝั่งตรงข้ามมากขนาดนี้กัน?
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วงั้นข้าขอตัวไปสำนักกระบี่เอกภพก่อนก็แล้วกัน!” จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ส่งสัญญาให้หลงเฉินออกเดินทางทันที!