บทที่ 529 ข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า
หลิงตู้ฉิงและมู่หยุนชานคุยกันอยู่สักพักก่อนที่จะพูดว่า “ข้าได้มอบสิ่งที่ข้าควรจะมอบให้แก่พวกเจ้าไปหมดแล้ว ส่วนตระกูลกู๋นั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับพวกเขา พวกเจ้าเพียงแค่รอผลกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขาก็เพียงพอแล้ว กรรมที่พวกเขาก่อขึ้นมันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนักที่จะหลุดพ้นได้”
“ส่วนเรื่องที่เมื่อไหร่พวกเจ้าจะสามารถเปิดเผยตัวตนได้นั้น ข้าขอให้พวกเจ้าชะลอเอาไว้ก่อน ให้รอจนกว่าข้าจะส่งข่าวมาบอก จากนั้นพวกเจ้าเปิดเผยตัวตนได้ พวกเจ้าถึงค่อยเผยชาติกำเนิดของตนเอง”
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยังรถม้า ซึ่งยังถูกปกคลุมด้วยค่ายกลกระบี่เหินเมฆา
ในเวลาเดียวกัน เย่ชิงเฉิงและเย่หยูหลันก็กำลังถกเถียงกันอยู่เรื่องความสัมพันธ์ในอนาคตของลูกหลานของเทพกระบี่กับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของพวกนาง
ไม่ต้องสงสัยว่าลูกหลานของเทพกระบี่นั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ว่าพวกเขาเองก็มีศัตรูมากมายเช่นกัน ซึ่งมันคงจะเป็นปัญหาให้กับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงมีปัญหาภายในได้
ส่วนทางด้านของหลงเฉินและเสี่ยวเยว่เฟิงก็คุยกันเช่นกันในประเด็นของหลิงตู้ฉิง ที่มีความสัมพันธ์กับลูกหลานของเทพกระบี่ว่าพวกเขาจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้างจากเรื่องนี้ เพราะพวกเขานั้นไม่มีสำนักหรือตระกูลของตนเองให้ต้องห่วงอะไรว่าจะมีผลกระทบจากเรื่องนี้ไหม
ทางด้านของมู่เฉียนซ่งและมู่เฉียงหลิงก็คุยกันเรื่องที่หลิงตู้ฉิงพาพวกเขามาที่นี่เช่นกัน ซึ่งพวกเขารู้สึกประหลาดใจมากว่าในเหวมรณะนั้นมีคนอาศัยอยู่
ส่วนของหมิงยู่ เปียนเฉียวฉียว และหยุนจื่อลุ่ย พวกนางไม่ได้คิดอะไรมากมายกับเรื่องที่พวกนางเจอ เนื่องจากในความคิดพวกนางไม่ว่าหลิงตู้ฉิงจะเป็นอย่างไร พวกนางก็จะติดตามเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
เมื่อหลิงตู้ฉิงกลับมาถึงรถม้าพร้อมกับมู่หยุนชานและคนอื่น ๆ โดยไม่ต้องบอก มู่หยุนชานส่งอำนาจแห่งเจตจำนงของตนเองสังหารผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เหวมรณะจนหมดสิ้น ซึ่งเหตุผลที่เขาต้องทำเช่นนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นภาพที่พวกเขากับหลิงตู้ฉิงติดต่อกันแบบนี้
หลิงตู้ฉิงมองไปยังมู่หยุนชานกับคนอื่น ๆ และพูดว่า “สิ่งที่พวกเจ้ารู้ในวันนี้ มันจะมีผลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอันร้ายแรงได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการดีที่สุดพวกเจ้าทุกคนควรจะจำอะไรไม่ได้เลยจะดีกว่า เดี๋ยวข้าจะลบความทรงจำบางส่วนที่สำคัญบางอย่างของพวกเจ้าซะ ฉะนั้นพวกเจ้าจงอย่าขัดขืน”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ทำการลบความทรงจำส่วนที่รู้ว่าเขาเป็นใครกับคนของมู่หยุนชานจนหมดสิ้น
ทางด้านของมู่หยุนชานและคนของเขาก็พากันพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าวิชาที่หลิงตู้ฉิงกำลังจะใช้ลบความทรงจำของพวกเขาคือ วิชาของคนสำนักเก้าเทพอสูรที่หลิงตู้ฉิงคงจะไปสังหารมาและได้เรียนรู้มาหลังจากนั้น
หลังจากที่พวกเขาถูกลบความทรงจำ พวกเขาก็มองไปยังมู่หยุนชาน และมองไปยังพวกของหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่สับสนน้อยลงกว่าเดิม
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจในท่าทีของพวกคนเหล่านั้น เขาพูดกับมู่เฉียนซ่งว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการจะเป็นศิษย์ของข้า ถ้างั้นข้าก็จะปล่อยเจ้าไป แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะเดินออกไปได้อย่างสบายเพราะมันยังมีคนอื่นที่รอเข็นเจ้าอยู่ เอาล่ะ พวกเราเตรียมออกจาก อาณาเขตสุสานกระบี่ได้แล้ว”
แน่นอนว่าประโยคต่อท้ายคือประโยคที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยกับหลงเฉิน
เมื่อได้รับคำสั่ง หลงเฉินก็ลากรถม้าออกจากเหวมรณะและมุ่งหน้าไปยังทิศทางของตำแหน่งที่มีประตูเคลื่อนย้ายไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ตามที่เย่ชิงเฉิงบอก
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงได้จากไปแล้ว มู่หยุนชานก็บอกกับคนของเขาว่า “ในเมื่อท่านลุงให้การสนับสนุนกับพวกเรามากขนาดนี้แล้ว พวกเรากควรที่จะเรียกลูหลานของเราทั้งหมดให้กลับมาที่สำนักของเราทันทีเพื่อวางแผนอื่น ๆ ต่อไป พวกเจ้าสองคนจงแยกกันไปบอกอีกสองสำนักของลูกหลานเราให้กลับมาที่สำนักของเรา ส่วนเทียนหยู เจ้าจงไปที่เมืองผนึกกระบี่เพื่อนำคนของเรากลับมาที่นี่ ส่วนตัวข้าเองจะกลับที่สุสานของพ่อของข้า”
เมื่อได้ยินคำสั่งทุกคนก็พยักหน้ารับทราบ
ทางด้านของมู่เทียนหยู เขาตบไปที่หัวของมู่เฉียนซ่งด้วยสีหน้าไม่พอใจและก่นด่าในใจว่า ไอ้เจ้าเด็กคนนี้มันช่างไม่รู้เลยว่าอะไรดีกับตัวเอง!
ทวดของเจ้าต้องการจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้ากลับปฏิเสธเขาซะอย่างนั้น!
ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีกับตัวเองนัก งั้นข้าจะให้เจ้ามาอยู่ที่สำนักกระบี่เอกภพและให้คนมาประลองกระบี่กับเจ้าทุกวัน จนกว่าเจ้าจะหาวิถีเต๋ากระบี่ของตัวเองเจอซะ!
แต่แล้วเมื่อมู่เทียนหยูคิดในใจถึงจุดที่ถ้าหากหลิงตู้ฉิงรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์จริง ๆ โลกมันจะกลายเป็นปั่นป่วนเกินไปหรือเปล่า?
หากคิดอีกแง่หนึ่งก็คือ มันอาจจะเป็นโชคดีก็ได้ที่เด็กคนนี้ไม่ยอมรับหลิงตู้ฉิงเป็นอาจารย์
ในระหว่างที่มู่เทียนหยูกำลังคิด มู่เฉียนซ่งก็ตะคอกขึ้น “นี่ท่านตีข้าทำไม?”
มู่เทียนหยูกล่าวตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “ก็ข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า ทำไมข้าจะตีเจ้าไม่ได้ ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอที่ไม่รู้ว่าอะไรดีกับตัวเอง!”
มู่เฉียนซ่งตะคอกกลับทันทีด้วยอารมณ์โมโห “ข้าสิเป็นบรรพบุรุษของเจ้า!”
ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซ่งจะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าเขาเป็นใครหรือมีระดับการบ่มเพาะที่สูงส่งแค่ไหน เขาก็ยังคงตะคอกกลับด้วยความไม่พอใจอยู่ดีที่ชายคนนี้มาอ้างว่าเป็นบรรพบุรุษของเขา
มู่เทียนหยูที่ได้รับการตอบโต้ที่หยาบคาย เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไอ้หลานไม่รักดี คอยดูนะอีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าขอขมาต่อหน้าข้าให้ได้!”
หลังจากพูดจบ มู่เทียนหยูก็พามู่เฉียนซ่งไปปรากฎกายที่เรือนตระกูลมู่ที่อยู่ในเมืองผนึกกระบี่ภายในพริบตา
ทางด้านของผู้คนตระกูลมู่อในเวลานี้ก็กำลังนั่งจับเข่าคุยกันด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยที่บุตรหลานอัจฉริยะของพวกเขากลับถูกใครก็ไม่รู้พาตัวออกไปจากตระกูล ซึ่งเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่
ชีวิตมันช่างน่าเศร้า…
แต่แล้วจู่ ๆ พวกเขาก็ได้เห็น มู่เทียนหยู มู่เฉียนซ่ง และ มู่เฉียนหลิง โผล่มาปรากฎกายอยู่ต่อหน้า ซึ่งมันทำให้พวกเขาตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่ใช่ว่าเด็กทั้งสองคนนี้ถูกพาไปโดยหลิงตู้ฉิงไม่ใช่งั้นเหรอ? ทำไมพวกเขาถึงได้มาปรากฏกายที่นี่? มันเกิดอะไรขึ้น?
มู่เทียนหยูยิ้มให้กับมู่ถิง และพูดว่า “ถิงเอ๋อ เจ้าจงแจ้งคนของเจ้าทั้งหมดให้รีบเก็บของและตามข้ากลับไปที่สำนักกระบี่เอกภพ เพื่อรับรู้ตัวตนที่แท้จริง และคารวะบรรพบุรุษของพวกเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เทียนหยู ด้วยความไม่เข้าใจมู่ถิงจึงตอบกลับว่า “ผู้อาวุโส ท่านพูดอะไรของท่านกัน? พวกเรามีบรรพบุรุษของพวกเราเองและด้วยคำสอนของที่สืบทอดกันมา พวกเรานั้นคงไม่สามารถยินยอมร่วมสำนักของท่านหรือสำนักใด ๆ ได้แน่นอน!”
มู่เทียนหยูแทบจะกระอักเลือดเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ เขาแทบจะไม่อยากเชื่อว่าผลของการปิดบังตัวตนอย่างแนบเนียนของพวกเขามันจะส่งผลให้ลูกหลานของเขาโง่งมได้ถึงเพียงนี้!
เขาตะคอกกลับทันที “ใครคือพ่อของเจ้า? อ่าไม่สิ ข้าอาจไม่รู้จักพ่อของเจ้า…แต่ไม่ว่าจะยังไงหลานของเจ้าคนนี้ต้องมาอยู่ที่สำนักของข้า ว่าแต่บรรพบุรุษของเจ้าคือใครและชื่ออะไรนะ?”
“บรรพบุรุษของข้าชื่อ มู่เฉิน!” มู่ถิงตะคอกกลับ
ชื่อของบรรพบุรุษของเขานั้นไม่ใช่ความลับอะไร ดังนั้นเขาจึงสามารถพูดได้โดยอิสระ
มู่เทียนหยูเอ่ยขึ้นทันที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงไปตามมู่เฉินออกมาให้มาพบกับข้าเดี๋ยวนี้!”