บทที่ 532 มหาจักรพรรดิอุปราคา
เมื่อรู้แล้วว่าสถานการณ์บานปลายจนไม่สามารถใช้วาจาในการแก้ปัญหาได้ ตัวตนในโลงศพจึงจำใจปรากฏกายออกมา
บานประตูโลงศพถูกทำลายจนกระจุยออกมาจากด้านในทันที จากนั้นร่างของมนุษย์ที่ดูแห้งเหมือนผีตายซากและไม่สมประกอบก็ปรากฎขึ้นแก่สายตาทุกคน
เหตุผลที่ต้องเรียกว่าร่างนั้นไม่สมประกอบก็เพราะอวัยวะหลายส่วนของร่างนั้นหายไปเป็นจำนวนมาก นิ้วมือของร่างมนุษย์ผู้นี้เหลืออยู่เพียงสามนิ้ว ขาของเขาก็เหลือแค่เพียงข้างเดียว ท้องของเขามีรูแหว่งกินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง อาการบาดเจ็บที่ดูรุนแรงเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เขายังคงมีชีวิตอยู่
ในเวลาเดียวกับที่ร่างในโลงศพปรากฏขึ้น คลื่นพลังชั่วร้ายก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของเขาไปทั่วทุกทิศทาง ส่งผลให้บรรดาผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบรู้สึกว่าพวกเขากำลังสูญเสียพลังชีวิตไปเรื่อย ๆ
“ไอ้แก่นี่บาดเจ็บหนักขนาดนี้มันยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ยังไง?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอ้วนเตี้ยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
แต่ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอีกคนหนึ่งที่พูดน้อยที่สุดกลับนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง จากนั้นเขารีบตะโกนขึ้นทันที “เวรแล้ว! พวกเรารีบหนีเร็ว เขาคือมหาจักรพรรดิอุปราคา!”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่ขนาดนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอยู่หลายคนที่แอบดูเหตุการณ์นี้อยู่ห่าง ๆ
เมื่อผู้คนที่แอบดูเห็นโลงศพทองแดงปรากฏขึ้นในตระกูลกู๋ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นกังวลทันที
“ไม่นึกเลยว่าในตระกูลกู๋จะมีตาแก่ที่น่ากลัวเช่นนั้นดำรงอยู่ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ข้าต้องมองตระกูลกู๋ใหม่ซะแล้ว!”
“ภูมิหลังของตระกูลกู๋มันเป็นยังไงมายังไงกันแน่? พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่ในตระกูลได้ยังไง!?”
จากนั้นเมื่อบรรดาผู้คนที่แอบดูอยู่ต่างได้ยินผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิตะโกนร้องว่าชายที่ออกมาจากโลงศพนั้นคือ มหาจักรพรรดิอุปราคา พวกเขาก็ยิ่งงุนงงไปกันใหญ่
“มหาจักรพรรดิอุปราคา? เขาเป็นใครกัน? มีใครพอจะรู้ประวัติเขาบ้างไหม?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น
หลังจากสิ้นเสียงคนเอ่ยถาม ใครบางคนที่อยู่แถวนั้นก็ตอบกลับทันที “ข้ารู้! มหาจักรพรรดิอุปราคา คือผู้นำตระกูลคนสุดท้ายของตระกูลหยกจันทรา เขาเป็นผู้ที่พาตระกูลของตนเองไปอยู่จุดที่รุ่งเรืองที่สุดโดยที่ไม่มีใครในตระกูลเขาทำได้มาก่อน ซึ่งมันทำให้เขาได้รับสมญานามว่ามหาจักรพรรดิอุปราคา”
“ถ้างั้นทำไมตอนนี้เขาถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะ?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น
“มันเป็นเพราะในตอนหลังเขาได้พ่ายแพ้ให้กับบรรพบุรุษผู้หนึ่งของเผ่าอสูรทมิฬสงคราม และนี่คือสภาพหลังจากที่เขาถูกโจมตีจนสาหัสปางตาย” ใครบางคนเอ่ยตอบขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของเผ่าอสูรทมิฬสงครามตั้งใจไว้ชีวิตเขาไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ตายไปตั้งนานแล้ว และต่อมาเมื่อตระกูลหยกจัทราต้องการที่จะฟื้นฟูอำนาจของตระกูลตัวเองอีกครั้ง พวกเขากลับไปล่วงเกินเทพกระบี่และจากนั้นผู้คนของตระกูลหยกจันทรามากมายก็ถูกเทพกระบี่สังหารลง…”
“บรรพบุรุษเผ่าอสูรทมิฬสงคราม ทุบตีเขาจนมีสภาพแบบนี้เลยเหรอ?” ใครบางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกับที่เหล่าผู้คนที่แอบดูกำลังรู้สึกตกตะลึง ใครบางคนในกลุ่มพวกเขาก็เริ่มบินหนีจากไป
“พวกเจ้าจะหนีไปทำไมกัน?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง
“ไอ้โง่เอ้ย นี่เจ้าไม่เห็นเหรอไงว่าไอ้แก่นั่นมันกำลังจะตาย ใครจะรู้ว่าก่อนตายมันจะบ้าทำอะไรอีก? หากว่ามันเห็นพวกเราเข้าแล้วเกิดไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมา แค่มันดีดนิ้วทีเดียวพวกเราก็ตายกันหมดแล้ว แล้วข้าจะอยู่เสี่ยงตรงนี้ไปให้โง่งั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ทุกคนต่างก็เห็นด้วย จากนั้นทุกคนก็พากันรีบบินหนีแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
ส่วนทางด้านของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิทั้งสามนั้นยิ่งหนีไวยิ่งกว่า ในตอนนี้พวกเขาไม่หลงเหลือท่าทีองอาจใด ๆ เหมือนกับเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาต่างหนีกันอย่างไม่คิดชีวิตเหมือนสุนัขจรจัด
ในห้วงความคิดของพวกเขานั้นไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตระกูลกู๋จะมีตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ดำรงอยู่ ดังนั้นคำตอบเดียวที่พวกเขาคิดได้เมื่อเจอกับตัวตนเช่นนี้ก็คือหนี!
ในตอนนี้พวกเขาต้องหนีไปได้ให้ไกลที่สุดเพื่อประวิงเวลาไว้ให้มหาจักรพรรดิอุปราคาแห้งตายไปเอง
มหาจักรพรรดิอุปราคาหัวเราะอย่างเย็นชา “หนีงั้นเหรอ? พวกเจ้าเป็นคนบังคับข้าให้ปรากฎกายออกมา แล้วพอมาตอนนี้พวกเจ้ากลับหนีงั้นเหรอ? พวกเจ้ามันก็แค่ไอ้พวกเด็กน้อยที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นเท่านั้น พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้บังอาจมาเห่าหอนต่อหน้าข้า! จงกลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อพูดจบ มหาจักรพรรดิอุปราคาก็ชี้นิ้วของเขาที่เหลืออยู่สามนิ้วไปยังผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิทั้งสามที่หนีห่างเขาไปไกลแล้วกว่า 7,000-8,000 กิโลเมตร บังคับร่างกายของพวกเขาให้ลอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโส ได้โปรดเมตตาพวกเราเถอะ!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิทั้งสามที่ถูกดึงตัวมาอยู่ตรงหน้ามหาจักรพรรดิอุปราคาเรียบร้อยต่างคุกเข่าลงอ้อนวอน
ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่พวกเขาพลาดไปล่วงเกินตัวตนระดับนี้เข้า พวกเขารู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่มีทางสู้กับตัวตนระดับนี้ได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีแค่เพียงคุกเข่าลงอ้อนวอน
มหาจักรพรรดิอุปราคาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าได้เอ่ยให้โอกาสพวกเจ้าไปแล้ว แต่เป็นพวกเจ้าเองที่ไม่ใส่ใจในโอกาสที่ข้ามอบให้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้าทุกคนก็จงตายซะ!”
ตั้งแต่ร่างเนื้อไปจนถึงวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิทั้งสามล้วนถูกทำให้หายไปทั้งหมด จนเหลือแต่สมบัติวิเศษระดับจักรพรรดิของพวกเขา
จากนั้นมหาจักรพรรดิอุปราคาก็เหลือบมองไปยังรอบ ๆ กายและเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าเห็นหายนะของตระกูลข้าเป็นเรื่องน่าสนุกนักใช่ไหม? ถ้างั้นพวกเจ้าก็จงตายไปด้วยก็แล้วกัน!”
ในรัศมี 1,000 กิโลเมตรจากจุดศูนย์กลางของตระกูลกู๋ บรรดาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงแอบดูเหตุการณ์อยู่ไม่ยอมหนีไปไหน จู่ ๆ ร่างของพวกเขาก็ระเบิดออกจนเหลือแต่เศษซาก
เมื่อแน่ใจแล้วว่าบรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ถูกจัดการหมดแล้ว มหาจักรพรรดิอุปราคาก็มองไปที่กู๋หยง และพูดว่า “จงนำสมบัติวิเศษระดับจักรพรรดิทั้งสามและแหวนมิติเหล่านี้ไปซะ ข้าได้ลบผนึกของพวกมันออกทั้งหมดแล้ว จงนำพวกมันไปเป็นทรัพยากรบ่มเพาะให้กับลูกหลานของเจ้าในอนาคต และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจงปิดบังชื่อของตนเองห้ามเปิดเผยตัวตนแก่โลกภายนอกอีก ส่วนเรื่องของตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั่นพวกเจ้าไม่ต้องสนใจมันอีกต่อไป จงคิดซะว่าพวกเจ้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับมันมาก่อน เดี๋ยวข้าจะส่งพวกเจ้าผ่านเหวมรณะออกไปจากอาณาเขตสุสานกระบี่และเมื่อพวกเจ้าออกไปได้แล้วพวกเจ้าจงหนีไปให้เร็วและไกลที่สุดทันที”
เมื่อพูดจบมหาจักรพรรดิอุปราคาก็ใช้พลังของตนเองส่งบรรดาผู้คนของตระกูลกู๋ออกไปจากอาณาเขตสุสานกระบี่
“บรรพบุรุษ…” กู๋หยงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บช้ำใจ
มหาจักรพรรดิอุปราคาส่ายหัวและเอ่ยว่า “จงจำไว้ ภารกิจของเจ้าคือการอยู่รอดต่อไปเพื่อรักษาสายเลือดของพวกเราเอาไว้ แต่เพื่อความปลอดภัย ข้าจะผนึกความทรงจำในส่วนต้นกำเนิดของเจ้าออกไปก่อน เมื่อไหร่ที่ชนรุ่นหลังของเจ้ามีความสามารถพอผนึกนี้จะถูกคลายลงไปเองเพื่อให้รู้ว่าพวกเขามีต้นกำเนิดเป็นมาอย่างไร เอาล่ะลาก่อน จงหนีไปให้ไกลอย่าให้ผู้ใดตามเจอ!”
เมื่อเห็นว่ากู๋หยงและคนในตระกูลกู๋ทั้งหมดหายไปหมดแล้ว มหาจักรพรรดิอุปราคาก็หันกลับไปมองในทิศทางของสำนักกระบี่เอกภพ
“วางแผนจัดฉากข้างั้นเหรอ? ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าเป็นใครถึงได้กล้าดีทำกับข้าแบบนี้!” เขาใช้โอกาสของเวลาที่เหลือน้อยนิดของเขาพุ่งไปยังจุดหมายที่เขามีความรู้สึกสัมผัสได้ว่าบุคคลที่จัดฉากเขาน่าจะอยู่ที่นั่น
ในตอนนี้เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะเขาถูกจัดฉากโดยใครบางคน
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวมหาจักรพรรดิอุปราคาก็ได้บินมาถึงสำนักกระบี่เอกภพ ซึ่งมู่หยุนชานได้ยืนรอเขาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
มู่หยุนชาน ในเวลานี้ได้ถือยันต์สั่งสวรรค์ที่หลิงตู้ฉิงมอบให้ไว้ในมือแสดงให้มหาจักรพรรดิอุปราคาเห็น และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ผู้อาวุโสโปรดกลับไปเถอะ!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังที่ผนึกไว้ในยันต์สั่งสวรรค์ มหาจักรพรรดิอุปราคาก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ทันที
“ที่แท้เป็นเขาเองงั้นเหรอ?”ในตอนนี้มหาจักรพรรดิอุปราคาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเอ่ยขึ้นกับตัวเองว่า “ไม่นึกเลยว่าข้ากลับแอบอ้างตัวเองว่าเป็นลูกของเขา ต่อหน้าเขาซะอย่างนั้น ดูเหมือนว่านี่มันคงเป็นการสั่งสอนข้าล่ะสินะ”