บทที่ 539 ความโกรธเกรี้ยวของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงสำเร็จการบ่มเพาะร่างธาตุวารีไปอีกขั้น เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และจากนั้นพลังวิญญาณที่อยู่บริเวณรอบ ๆ สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มคลุ้มคลั่งและพุ่งเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิง
ในเวลานี้เป็นครั้งแรกที่บรรดาผู้คนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ เริ่มที่จะได้รับประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดจากกลุ่มของหลิงตู้ฉิงแล้ว
ภายใต้ความผันผวนของพลังวิญญาณอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นไปทั่วสำนัก ไม่มีใครในสำนักสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์สามารถบ่มเพาะได้อย่างสงบอีกต่อไป
ทุกคนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ต่างเดินออกมาจากที่พำนักของตัวเองและมองไปยังเกาะเม็ดทรายด้วยสีหน้างุนงง ซึ่งทางด้านของฉีจินเปาและซูชางหมิงเองก็หันไปมองด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
พวกเขาต่างรู้สึกสงสัยว่านี่มันคือการกำเนิดของสมบัติวิเศษของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาหรือเปล่า?
จากนั้นในเวลาไม่นาน ผู้คนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์มากมายต่างก็มารวมตัวกันที่เกาะเม็ดทรายเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากพวกเขาถูกบดบังไว้ด้วยค่ายกลกระบี่เหินเมฆา
ฉีจินเปาแสดงสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “นี่พวกเจ้ายังคงกล้าเปิดใช้งานค่ายกลภายในสำนักของข้าอยู่อีกงั้นเหรอ? ใครก็ได้ทำลายไอ้ค่ายกลกระบี่นี้ที ข้าอยากจะรู้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในกันแน่!”
ในความคิดของเขา ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างในเกาะเม็ดทรายมันย่อมเป็นของสำนักเขา
แต่แล้วก่อนที่พวกเขาจะได้ลงมือ ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็เปิดออกพร้อมกับเย่ชิงเฉิงที่ปรากฎตัวออกมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “นี่พวกเจ้าต้องการจะทำอะไร? สามีของข้าแค่ทะลวงระดับเท่านั้น!”
ฉีจินเปาตอบกลับ “แม่นางเย่ ข้ารู้ว่าเมื่อครู่ท่านพบสมบัติวิเศษในสำนักของเรา ข้าหวังว่าท่านจะมอบสิ่งที่เป็นของของเราคืนมาให้ข้า!”
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นนายน้อยฉีนี่เอง!” เย่ชิงเฉิงพูดขึ้น “หากท่านคิดว่าพลังวิญญาณที่ผันผวนเมื่อครู่นั้นเกิดจากที่พวกข้าเจอสมบัติวิเศษล่ะก็ท่านคิดผิดแล้ว ก่อนหน้านี้บรรดาศิษย์สำนักของท่านได้พากันมารุมล้อมและยั่วยุสามีของข้าให้สู้กับพวกเขา และจากนั้นเมื่อต่อสู้ไปได้สิบกว่ารอบสามีของข้าก็บังเอิญบรรลุสภาวะหยั่งรู้และยังสามารถคิดค้นวิชาใหม่ได้อีกต่างหาก สิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่ว่าพวกเราได้สมบัติวิเศษอะไรมาทั้งนั้น หรือท่านจะบอกว่าพลังวิญญาณที่สามีของข้าดูดซับเข้าไปเป็นของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของท่านแค่เพียงผู้เดียว? เท่าที่ข้ารู้มาพลังวิญญาณนั้นเป็นของที่ทุกคนบนโลกใช้ร่วมกัน หากท่านต้องการจะได้มันคืน ข้าเกรงว่าท่านคงจะไม่มีเหตุผลแล้วล่ะ”
“แม่นางเย่ ท่านอย่าได้กล่าวอ้างอะไรไร้สาระกับข้า ข้าขอยืนยันไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านเจอในสำนักของข้า ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเอามันติดตัวออกไป!” ฉีจินเปาตะโกนสวน
“ข้าก็บอกไปแล้วไงว่ามันไม่มี! ทั้งหมดมันเป็นเพราะสามีของข้าทะลวงระดับก็แค่นั้น!” เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จากนั้นจู่ ๆ ความผันผวนของพลังวิญญาณก็หยุดลงพร้อมกับที่หลิงตู้ฉิงก็ลุกขึ้นยืน
ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาได้พัฒนาไปอยู่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 แล้ว!
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงทะลวงระดับจริง ฉีจินเปาก็ยิ่งมีสีหน้าที่เคร่งเครียดพร้อมกับคิดในใจ
ด้วยความผัวผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรงและมากมายขนาดนี้ มันเป็นไปได้ยังไงที่คนผู้นี้จะทะลวงระดับเพียงแค่ระดับเดียว? ความเป็นไปได้เดียวที่เกิดขึ้นก็คือคนผู้นี้จะต้องพบสมบัติวิเศษที่ช่วยให้พรสวรรค์ของเขายกระดับขึ้น ซึ่งมันคงจะทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าไปอีกระดับอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของฉีจินเปาก็ยิ่งมืดหม่นลง เขาตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาไปยังหลิงตู้ฉิง “คืนสมบัติของสำนักข้ามาเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นร่างของชายสามคนจู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าต่อหน้าสายตาของผู้คน พวกเขาทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันและขอบเขตจักรพรรดิ
“พวกท่านมาเยือนสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของเราในฐานะแขก ดังนั้นก็จงทำตัวเยี่ยงแขกที่ดี จงคืนสมบัติของสำนักเรามาซะ!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางระหว่างทั้งสามคนที่ปรากฏตัวพูดขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “หนึ่งคนขอบเขตราชันขั้นกลาง ส่วนอีกสองคนขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้ามีดีแค่นี้งั้นเหรอ? อย่างน้อย ๆ ก็จงไปตามผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิออกมาจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแค่พวกเจ้ามันไม่พอที่จะทำอะไรข้าได้หรอก”
สำหรับหลิงตู้ฉิงแล้ว สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงสำนักที่อ่อนแอสำนักหนึ่ง
ถึงแม้ว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์จะมีมหาวิถีเต๋าเป็นของตัวเอง แต่มหาวิถีเต๋าของพวกเขานั้นมันไม่ใช่มหาวิถีที่สมบูรณ์อะไร
หากจะให้เปรียบเทียบแล้ว มหาวิถีเต๋าของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ยังเทียบไม่ได้แม้แต่น้อยกับมหาวิถีเต๋าของสำนักวิญญาณโลหิตที่ถูกผนึกมานานหลายหมื่นปีด้วยซ้ำ
ขนาดในตอนที่เขาไปเยือนสำนักวิญญาณโลหิต เขายังไม่กังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วตอนนี้เขาจะต้องมานั่งกังวลอะไรกับแค่สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์
ถึงแม้ว่าเขาจะมอบยันต์สั่งสวรรค์ที่ผนึกพลังของเขาไว้ไปให้กับมู่หยุนชานถึง 3 อันแล้ว แต่เขาเองก็ยังเหลือยันต์สั่งสวรรค์ที่ผนึกพลังของผีเสื้อเอาไว้กับตัวเองอยู่!
คำพูดเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิงปลุกไฟแห่งโทสะของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามทันที
ผู้เชี่ยวชาญขอบเตจักรพรรดิขั้นตั้นที่อยู่ทางขวาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว เจ้าคงจะไม่ยินยอมคืนสมบัติของสำนักเรามาง่าย ๆ ใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้ามันก็แค่สำนักปลายแถว ทำไมข้าจะต้องฟังพวกเจ้าด้วย?”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงใช้เล็บของตนเองกรีดลงไปที่ไหล่ของเย่ชิงเฉิงเล็กน้อย จากนั้นเขาดึงเลือดของนางออกมาพร้อมกับใช้ทักษะสวรรค์มหาบงการ เรียกอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ ค้อนเบิกนภา ออกมาจากร่างของนาง และหยดเลือดของเย่ชิงเฉิงลงไปยังมันทันที
ค้อนเบิกนภา คืออาวุธประจำกายของบรรพบุรุษของเย่ชิงเฉิงที่เคยใช้ในอดีต ดังนั้นการจะปลุกเจตจำนงของมันจึงต้องใช้เลือดของผู้เป็นเจ้าของหรือไม่ก็เลือดของลูกหลานสายตรง ซึ่งในที่นี้ก็คือเยชิงเฉิงนั่นเอง
เมื่อหลิงตู้ฉิงเปิดใช้งานค้อนเบิกนภาที่ได้รับเลือดของเย่ชิงเฉิงเรียบร้อย เจตจำนงที่สถิตอยู่ในค้อนเบิกนภาก็ก่อรูปร่างขึ้น ซึ่งมันก่อตัวเป็นร่างของชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันหมายความว่าค้อนเบิกนภากำลังจะแสงพลังอำนาจทั้งหมดของมันออกมา
เมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาก็รู้ทันทีว่าสถานการณ์มันเริ่มไม่สู้ดีนัก พวกเขาต่างหยิบอาวุธระดับจักรพรรดิของตนเองขึ้นมาและเร่งพลังโจมตีของตนเองจนสุด จากนั้นพวกเขาจึงทำการปลดปล่อยการโจมตีเต็มกำลังของพวกเขาไปยังค่ายกลกระบี่เหินเมฆา
ในด้านของค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ในตอนนี้เมื่อมันได้รับการเกื้อหนุนจากค้อนเบิกนภาที่ปลดปล่อยอำนาจออกมาอย่างเต็มกำลัง อำนาจของค่ายกลกระบี่จึงเพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยเท่าทวีคูณ
กระบี่บินทั้ง 49 เล่ม ต่างบินแยกกันไปลบล้างการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนอย่างไม่ยากเย็นนัก ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญจะโจมตีเข้ามาอย่างไร กระบี่บินทั้งหลายจะกรูกันเข้าไปฟันการโจมตีเหล่านั้นจนแหลกสลาย
หลิงตู้ฉิงมองไปยังผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “มันนับได้ว่าเป็นเกียรติของสำนักพวกเจ้าเท่าไหร่แล้วที่ข้าอุตส่าห์มาเยือนและใช้ประตูเคลื่อนย้ายของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับต้อนรับข้าด้วยความเย็นชาแถมยังบังอาจมาก่อกวนข้าอยู่เรื่อย ๆ และยิ่งมาในตอนนี้พวกเจ้ายังลงมือกับข้าอย่างเต็มกำลังอีก? สงสัยว่าพวกเจ้าคงเบื่อสำนักพวกเจ้ามากแล้วสินะถึงได้วอนหาเรื่องให้ข้าทำลายสำนักของพวกเจ้าแบบนี้”
สีหน้าของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามในตอนนี้ตึงเครียดเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่นึกมาก่อนว่าหลิงตู้ฉิงจะสามารถเปิดใช้งานอาวุธระดับจักรพรรดิได้อย่างเต็มอำนาจแบบนี้ แถมยังสามารถนำมันมาต้านทานพวกเขาได้แบบไม่ยากเย็นอีก
ฉีจินเปา ในตอนนี้ก็แสดงสีหน้าน่าเกลียดเป็นอย่างมาก เขาได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไอ้คนผู้นี้มันเป็นใครกัน?
ส่วนทางด้านของซูชางหมิง เขาแอบคิดอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่าเขาจะต้องรีบนำเหตุการณ์นี้ไปบอกนายน้อยของเขาให้เร็วที่สุดว่าพวกเขาทำพลาดเป็นอย่างมากที่ไปยั่วยุคนแบบนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาได้ล่วงเกินไปแล้ว ดังนั้นทางออกเดียวของพวกเขาคือต้องหาวิธีฆ่าหลิงตู้ฉิงที่นี่ให้ได้ ไม่เช่นนั้นหายนะคงจะมาเยือนพวกเขาแน่นอน
จากนั้นเขาก็เริ่มวางแผนในใจให้สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์สังหารหลิงตู้ฉิงลงที่นี่ให้ได้!