บทที่ 541 ไม่เต็มใจถอย
ฉีหานเฟิงมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากกับความแข็งแกร่งของตัวเองที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นสูงสุด เขาแน่ใจว่าต่อให้หลิงตู้ฉิงจะมีสมบัติที่วิเศษถึงขนาดไหนเขาก็สามารถรับมือได้
แต่แล้วในจังหวะที่เขากำลังจะลงมือ หลิงตู้ฉิงกลับหยิบสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงขึ้น
หลิงตู้ฉิงหยิบเอายันต์สั่งสวรรค์ที่ผนึกอำนาจวิชาผีเสื้อเริงระบำของภูตผีเสื้อ ซึ่งเป็นผู้ติดตามของเขาเมื่อหลายหมื่นปีก่อนเอาไว้ขึ้นมา “ลองดู! เมื่อไหร่ที่เจ้าโจมตีใส่ข้า ข้าจะปลดปล่อยผีเสื้อที่อยู่ในยันต์สั่งสวรรค์ออกไปทันที ข้ารับประกันได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นคนของสำนักเจ้าทั้งหมดจะต้องตายรวมไปถึงเจ้าเองก็ไม่รอด!”
“วันนี้ทั้งเจ้าและคนของเจ้าโจมตีข้ามาหลายรอบแล้ว ซึ่งการที่ข้าแค่สร้างความเสียหายให้มหาวิถีเต๋าของสำนักเจ้าเพียงอย่างเดียวมันก็นับว่าข้าปรานีมากแล้ว เจ้าเชื่อข้าได้เลยว่าถ้าหากข้าปลดปล่อยผีเสื้อที่อยู่ในยันต์สั่งสวรรค์เมื่อไหร่ สำนักของเจ้าจะต้องหายไปจากโลกตลอดกาล โดยที่ข้าสาบานได้เลยว่าพวกข้าจะไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย!”
ด้านในยันต์สั่งสวรรค์ในตอนนี้ ผีเสื้อที่อยู่ด้านในกำลังกระพือปีกของมันด้วยท่าทีเตรียมพร้อม และถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ถูกปลดปล่อยออกมา การกระพือของมันแต่ละครั้งที่อยู่ด้านในยังสามารถทำให้หัวใจของฉีหานเฟิงเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะอำนาจของมันที่มีอยู่อย่างมหาศาลได้
ฉีหานเฟิงรู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูกจนเขาไม่กล้าที่จะลงมือโจมตี
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง อันที่จริงเขาเองก็อยากที่จะปลดปล่อยผีเสื้อตัวนี้ออกมาให้ทำลายสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ให้เสร็จ ๆ ไปซะเช่นกัน แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่าในตอนนี้เขาเหลือยันต์สั่งสวรรค์ไว้ป้องกันตัวแค่อันเดียวเท่านั้น เขาจึงจำเป็นต้องอดทนเก็บมันไว้ใช้ในยามจำเป็นจริง ๆ ถ้าหากเขาใช้มันขู่แล้วจบเรื่องได้เขาก็จะไม่ใช้มัน
“ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย จริง ๆ แล้วเจ้ามีความแค้นกับสำนักของข้าก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ใช่ไหม?” ฉีหานเฟิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
หลิงตู้ฉิงหัวเราะเยาะ “เจ้าประเมินสำนักของตัวเองสูงเกินไปแล้ว! ข้าไม่เคยรู้จักอะไรกับสำนักธรรมดา ๆ อย่างเจ้ามาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ที่ข้ามาที่นี่มันก็เพราะภรรยาของข้าบอกว่านางรู้จักกับพวกเจ้าเป็นอย่างดีและต้องการยืมใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเจ้าเพื่อเดินทางไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธ์ก็แค่นั้น ส่วนเรื่องที่ข้าสั่งสอนสำนักของเจ้า อันนี้เจ้าก็ควรโทษตัวเองและโทษคนของสำนักเจ้าที่ล่วงเกินข้าก่อนเองตั้งแต่แรก”
“อันที่จริงอย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ต่อให้บรรพบุรุษของพวกเจ้ายังไม่กล้าหายใจแรงต่อหน้าข้าด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าแล้วงั้นเหรอถึงกล้ามาล่วงเกินข้า นี่พวกเจ้าถือว่าโชคดีมากนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงไม่มานั่งเสียเวลาพูดอะไรกับพวกเจ้าแบบนี้แน่นอน!”
ในอดีตขนาดเทพีหลิงเปา หากเจอหน้าเขายังต้องคุกเข่าคำนับและแหงนหน้ามองเพื่อคุยกับเขา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉีหานเฟิงเงียบลงไปสักพัก จากนั้นเขาจ้องไปที่ยันต์สั่งสวรรค์ที่อยู่ในมือของหลิงตู้ฉิงและเอ่ยถามว่า “งั้นเจ้าต้องการจะทำอะไรต่อไป?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าต้องการใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักเจ้า!”
“ส่งคำสั่งของข้า ให้คนของเราเตรียมประตูเคลื่อนย้ายให้พร้อมใช้งานให้เร็วที่สุดเดี๋ยวนี้!” ฉีหานเฟิงตะโกนสั่งกับคนของเขาทันที
หากฉีหานเฟิงมีทางเลือกเขาก็คงไม่ยอมถอยให้เช่นนี้
แต่ด้วยความพิสดารของหลิงตู้ฉิงที่สามารถสำแดงอำนาจของอาวุธระดับจักรพรรดิได้อย่างเต็มที่ ทั้งวิชากระบี่ที่สุดแสนจะล้ำลึก ทั้งยันต์สั่งสวรรค์ที่มีผีเสื้อตัวนั้นอยู่ข้างใน ทั้งหมดนี้มันทำให้เขาไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม
อันที่จริงสิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจถอยของเขามากที่สุดก็คือ เขาไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถรับมือกับผีเสื้อที่อยู่ในยันต์สั่งสวรรค์ได้
และถ้าหากว่าเขารับมือมันไม่ได้ เขาก็จะต้องตายและเมื่อเขาตาย คนของสำนักเขาทั้งหมดก็คงไม่เหลือรอด
เขาใช้เวลามาเป็นหมื่นปีกว่าที่จะสร้างสำนักของเขาเองให้เป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการทำอะไรที่สำนักของเขาต้องอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกทำลาย
“ในที่สุดเจ้าก็คุยได้รู้เรื่องสักที!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าเจ้าอย่าได้เล่นอะไรตุกติกกับข้า ไม่เช่นนั้นความเสียหายที่เจ้าจะได้รับมันจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้เป็นร้อยเท่าตัว หรือถ้าเจ้าไม่เชื่อจะลองดูก็ได้!”
ฉีหานเฟิงแสดงสีหน้าเย็นชาและเอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ในเมื่อข้าพูดแล้วว่าข้าจะให้เจ้าไป ข้าก็จะให้เจ้าไป! ซึ่งข้าหวังว่าเมื่อประตูเคลื่อนย้ายพร้อมเมื่อไหร่พวกเจ้าก็จงไปจากสำนักข้าในทันที!”
หลังจากพูดจบ ฉีหานเฟิงก็หันหลังและบินจากไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองอีก
เขารู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาเองไม่สามารถระบายมันออกไปได้
ทางด้านของซูชางหมิงที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกซะจากขมวดคิ้วด้วยความกังวล
ถ้าหลิงตู้ฉิงและพรรคพวกไปถึงสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เร็วขนาดนี้ แผนของนายน้อยของเขาจะล้มเหลวหรือไม่?
เขามองไปทางหลิงตู้ฉิงและพรรคพวกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะคุยกับฉีจินเปาทางโทรจิตว่า “พี่ฉี นี่ท่านจะปล่อยคนเหล่านี้ไปง่าย ๆ แบบนี้งั้นเหรอ?”
ฉีจินเปามองไปยังซูชางหมิงด้วยสายตาเย็นชา และตอบกลับว่า “เจ้าฆ่าพวกเขาได้ไหมล่ะ?”
มันเป็นเพราะเขาที่เชื่อคำพูดของซูชางหมิง และตกลงยอมที่จะช่วยเหลือเพื่อแลกกับผลประโยชน์จนสุดท้ายมันกลับกลายเป็นว่าสำนักของเขาต้องมารับเคราะห์กรรมถึงขนาดนี้
เขาคิดโทษซูชางหมิงอยู่ในใจว่า ถ้าหากซูชางหมิงไม่มาหาเขาเรื่องทุกอย่างนี้มันก็คงจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่เหลือความคิดในแง่บวกกับซูชางหมิงอีกต่อไป
ซูชางหมิงยังคงคุยกับฉีจินเปาทางโทรจิตต่อ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ แต่ท่านสามารถทำได้นะพี่ฉี ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ถ้าเรายืมอำนาจจากภายนอกให้ฆ่าพวกเขามันก็คงจะเป็นไปได้อยู่ ข้ามีวิธีการทำให้พวกท่านไม่จำเป็นต้องสู้กับพวกเขาแต่ก็สามารถฆ่าพวกเขาได้โดยไร้ร่องรอยได้ ท่านอยากจะฟังไหม?”
“วิธีการอะไรของเจ้า?” ฉีจินเปาเอ่ยถามขึ้น
อันที่จริงฉีจินเปาก็ไม่ชอบอารมณ์ที่เขาต้องกล้ำกลืนฝืนทนยอมให้พวกหลิงตู้ฉิงจากไปเช่นนี้โดยไม่ทำอะไรเลย หากเขาสามารถฆ่าหลิงตู้ฉิงได้จริงเขาก็จะทำมัน
ซูชางหมิงหัวเราะ “พี่ฉี ท่านลืมไปแล้วเหรอว่าเดี๋ยวพวกเขาจะใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักท่าน ซึ่งระยะทางที่พวกเขาจะใช้มันก็เป็นระยะทางที่ไกลซะด้วย ท่านลองคิดดูสิว่าการเดินทางผ่านประตูเคลื่อนย้ายนั้นมันก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเต็มสิบส่วนใช่ไหม?”
“หากท่านสั่งคนของท่านให้แก้พิกัดตำแหน่งปลายทางของพวกเขาให้เป็นตำแหน่งที่อยู่ในมิติที่บิดเบี้ยวหรือไม่ก็แกล้งทำให้เส้นทางเคลื่อนย้ายระเบิดออกกลางคัน ลืมไปได้เลยว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาตอนนี้อยู่ในระดับไหนต่อให้พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิพวกเขาก็ไม่รอดแน่ ๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูชางหมิงเช่นนี้ ฉีจินเปาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก
เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของแผนการนี้ว่ามันมีโอกาสสำเร็จมากสักเท่าไหร่