บทที่ 543 เสียหายย่อยยับ
ระดับการบ่มเพาะในตอนนี้ของหลิงตู้ฉิงได้กลายเป็นระดับนภาครามเรียบร้อย ด้วยการเกื้อหนุนของหมิงยู่ ซึ่งมันทำให้เขาแน่ใจว่าเขาสามารถพาคนของเขาไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย
ในระหว่างที่พวกเขาอยู่ในเส้นทางเคลื่อนย้ายผ่านมิติ หลิงตู้ฉิงก็เริ่มใช้อำนาจของระดับการบ่มเพาะนภาครามเข้าเปลี่ยนกฎแห่งมิติทันที
การเปลี่ยนกฎแห่งมิติของหลิงตู้ฉิงนั้นส่งผลให้พลังงานมิติที่อยู่รอบกายเขาเริ่มบิดเบี้ยวจนผันผวนอย่างรุนแรง และจากนั้นเขาก็ส่งพลังงานมิติที่ผันผวนเหล่านี้ย้อนคืนไปยังต้นทางที่พวกเขาจากมา ซึ่งก็คือประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์!
ทางด้านของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ บรรดาผู้คนต่างดีใจปนแค้นใจที่พวกของหลิงตู้ฉิง จากไปได้สักที
แต่แล้วความดีใจของพวกเขาก็อยู่ได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น…
โดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าใด ๆ จู่ ๆ ประตูเคลื่อนย้ายก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและจากนั้นเพียงชั่วพริบตา ประตูเคลื่อนย้ายก็ถูกฉีกออก! ส่งผลให้พลังกฎแห่งมิติที่ผันผวนพุ่งออกมาทำให้เกิดรอยแยกของมิติแผ่กระจายไปตามพื้นดินเหมือนกับรากไม้ยักษ์ที่ชอนไชทำลายทุกอย่างและไม่เพียงแค่นั้น มันยังมีความน่ากลัวระลอกสองซึ่งก็คือพายุมิติอันบ้าคลั่งที่ทะลักถาโถมออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย ซึ่งพายุเหล่านี้ก็พุ่งกระจายไปยังทุกทิศทางของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์จากตำแหน่งของประตูเคลื่อนย้ายซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
“ไม่!!!!” ฉีหานเฟิงกรีดร้องด้วยสีหน้าหวาดผวาทันทีพร้อมกับเร่งโคจรพลังของตนเองจนถึงขีดสุดเข้าต้านทานพายุมิติที่ถาโถมออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ถ้าหากพายุมิติที่ถาโถมออกมาเหล่านี้แพร่กระจายออกไป ทุกคนในสำนักของเขาที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตราชันจะต้องตาย
แต่แล้วด้วยการใช้พลังจนถึงขีดสุด ในที่สุดฉีหานเฟิงก็สามารถควบคุมพายุมิติเอาไว้ได้ ซึ่งถึงแม้เขาจะไม่สามารถลบล้างมันได้แต่เขาก็ยังสามารถทำให้มันสงบลง
ทางด้านของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันและจักรพรรดิทั้งสามเองก็ตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพวกเขาได้สติ พวกเขาก็รีบเข้ามาสมทบช่วยเหลือฉีหานเฟิงในการรับมือกับพายุมิติ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก พายุมิติก็ถูกลบล้างออกไปได้ทั้งหมด
แต่ถึงแม้พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงจากความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากพายุมิติได้ แต่สำนักของพวกเขาก็ยังคงได้รับความเสียหายอย่างหนักอยู่ดีจากรอยแยกของมิติที่ปรากฏขึ้นในระลอกแรก ซึ่งพวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย
รอยแยกมิติที่เกิดขึ้นนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบรรดาเกาะมากมาย ซึ่งหลาย ๆ เกาะถึงขนาดถูกรอยแยกมิติผ่ากลางทำให้เกาะทั้งเกาะถูกแยกเป็นสองส่วน รวมไปถึงค่ายกลป้องกันต่าง ๆ ของสำนักก็ถูกทำลายเสียหายไปกว่า 8 ส่วน และที่สำคัญที่สุดคือมหาวิถีเต๋าที่อยู่ใต้ทะเลสาบนั้นก็ถูกรอยแยกมิติพาดผ่านทำให้เปลือกของมันแตกออก ซึ่งส่งผลให้พลังงานที่กักเก็บในมันทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
สิ่งนี้ทำให้พลังธาตุน้ำของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นขึ้นเป็นร้อยเท่า ซึ่งมันทำให้บรรดาศิษย์ธรรมดาที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำ ๆ ต่างพากันทะลวงระดับการบ่มเพาะหลายระดับในรวดเดียวกันเป็นว่าเล่นแบบควบคุมไม่ได้
เหตุการณ์นี้มันทำให้บรรดาศิษย์ที่ไม่รู้ประสีประสาหลายคนโห่ร้องด้วยความดีใจ แต่สำหรับบรรดาพวกศิษย์ที่ฉลาด ๆ หน่อยต่างก็พากันอยากจะร้องไห้ เนื่องจากการทะลวงระดับแบบรวดเร็วเกินไปเช่นนี้มันมีแต่ผลเสีย มันทำให้รากฐานการบ่มเพาะของพวกเขาไม่มั่นคง ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตการบ่มเพาะของเขาจะต้องไม่ราบลื่นอย่างแน่นอน
ทางด้านของฉีหานเฟิง ในตอนนี้เขาได้แต่มองไปยังสภาพสำนักของเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
เปลือกของมหาวิถีเต๋าสำนักของเขาถูกทำให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
สิ่งนี้มันคือสิ่งที่ควรจะอยู่ค้ำจุนสำนักของเขาไปจนชั่วกาลปาวสาน แต่ในตอนนี้มันกลับถูกทำให้เสียหายอย่างย่อยยับ!
“อ้ากกกก ข้าอยากจะฆ่ามัน ข้าอยากจะฆ่าไอ้เวรนั่น!!!!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันขั้นกลางกรีดร้องขึ้นดังลั่น
แน่นอนว่าคนที่เขาเอ่ยขึ้นอยากจะฆ่านั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจากหลิงตู้ฉิง ซึ่งในความคิดของเขา เขาเดาว่าต้องเป็นหลิงตู้ฉิงแน่นอนที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้
ฉีหานเฟิงในตอนนี้อยู่ในสภาพโง่งม เขาไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับสำนักของเขา
เขายืนโง่งมอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเมื่อเขาได้สติ เขาก็ใช้จิตสำนึกของเขาเข้าครอบงำดูความทรงจำของผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญที่รายงานเขาเรื่องการเปลี่ยนตำแหน่งปลายทางของประตูเคลื่อนย้าย เขาอยากจะรู้ว่าเรื่องการเปลี่ยนตำแหน่งนั้นเป็นความคิดของลูกชายเขาจริง ๆ หรือเป็นความคิดของผู้เชี่ยวชาญผู้นี้กันแน่
หลังจากค้นดูความทรงจำได้สักพัก ฉีหานเฟิงก็ค้นพบว่าเป็นลูกชายของเขาจริง ๆ ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
“ไอ้ลูกระยำ!!!!” ฉีหานเฟิงตะโกนดังลั่นพร้อมกับแผ่เจตจำนงของตนเองปกคลุมไปทั่วบริเวณสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์เพื่อค้นหาฉีจินเปาทันที
หลังจากหาตัวของฉีจินเปาพบ ฉีหานเฟิงก็ใช้เจตจำนงของเขาเองกระชากร่างลูกชายของเขามาอยู่ตรงหน้า และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เดือดดาลว่า “ดูสิ่งที่เจ้าทำ! เห็นไหมว่าการกระทำอันโง่เง่าของเจ้ามันทำให้สำนักของข้าเป็นแบบนี้!”
จากนั้นเมื่อฉีหานเฟิงลองนึกย้อนถึงคำพูดของเย่ชิงเฉิงเกี่ยวกับการได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชา เขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง จากนั้นเขาก็เรียกผู้อาวุโสฉีเข้ามาหา
ผู้อาวุโสฉีเดินเข้ามาหาด้วยอาการตัวสั่น โดยที่ไม่ต้องรอให้ฉีหานเฟิงถามอะไร เขาพูดขึ้นก่อนทันที “ทะทะทะท่านเจ้าสำนัก นายน้อยเป็นคนสั่งให้ข้าสร้างปัญหาให้กับคุณหนูเย่และคนของนาง…”
ฉีหานเฟิงจ้องไปที่ผู้อาวุโสฉีพลางส่งจิตสำนึกของเขาเข้าไปดูห้วงความทรงจำของผู้อาวุโสฉีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งผ่านไปสักพักเขาก็ได้เข้าใจคำพูดของเย่ชิงเฉิง ทั้งหมด
เมื่อรู้เช่นนี้เขาก็เผยรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมและทำให้ร่างของผู้อาวุโสฉีแหลกสลายกลายเป็นหมอกโลหิต และในเวลาเดียวกันเขาก็ส่งเจตจำนงของเขาไปหาเหล่าผู้คนที่ออกไปต้อนรับเย่ชิงเฉิงในวันแรก และทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นหมอกโลหิตไปเช่นกัน
ในตอนนี้ หากมองลึกเข้าไปในดวงตาของฉีหานเฟิง มันจะเห็นได้ว่าข้างในนั้นมันมีแต่ความโกรธแค้น ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการจะทำมันมีแค่เพียงการฆ่าเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามา ทำไมเจ้าถึงได้ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น!!” ฉีหานเฟิงจ้องไปยังฉีจินเปาด้วยสายตาอยากจะฆ่าลูกชายของเขาทิ้งซะ
หากไม่ใช่เพราะลูกของเขา มีหรือที่สำนักของเขาจะกลายเป็นเช่นนี้?
ทางด้านของฉีจินเปา ในตอนที่เขาเห็นภาพเปลือกของมหาวิถีเต๋าของสำนักถูกทำให้แตกออก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาได้สร้างหายนะให้กับสำนักด้วยน้ำมือของเขาเองแล้ว
หายนะที่เขาสร้างกับมือนั้นมีมากมาย ทั้งทำให้มหาวิถีเต๋าของสำนักเสียหายอย่างรุนแรงจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฟื้นฟูได้หมด ซึ่งมันยังไม่รวมถึงว่าต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลสักแค่ไหนในการฟื้นฟูมัน แล้วไหนจะประตูเคลื่อนย้ายที่พังลง ซึ่งนั่นก็ใช้ทรัพยากรที่มหาศาลอีกเช่นกัน และอื่น ๆ อีกหลายอย่างมากมายที่ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ
นับจากวันนี้เป็นต้นไปสำนักของเขาคงจะตกต่ำลงไปอีก ซึ่งทั้งหมดนี้มันเกิดจากการที่เขาตกลงกับคำขอของเล้งหวง ที่ให้เขาสร้างปัญหาให้กับหลิงตู้ฉิงและพรรคพวก!
เมื่อเห็นว่าฉีจินเปาไม่ยอมเอ่ยอะไร ฉีหานเฟิงก็ใช้จิตสำนึกของตนเองเข้าไปดูห้วงความทรงจำของฉีจินเปาเพื่อสืบหาต้นตอความจริง ซึ่งผ่านไปไม่นานเขาก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
หลังจากเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความเดือดดาลของเขาก็ยิ่งพุ่งสูงมากขึ้นไปอีก เขาโบกมือส่งฉีจินเปาลงไปยังก้นทะเลสาบที่เหลือน้ำเพียง 1 ใน 10 ส่วนจากการอาละวาดของหลิงตู้ฉิงก่อนหน้านี้ พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “จงอยู่ข้างล่างนั่นเป็นเวลา 3,000 ปีเพื่อสำนึกผิด ห้ามโผล่ขึ้นมาเป็นอันขาด!”
หลังจากนั้นฉีหานเฟิงก็ใช้เจตจำนงของตนเองลากเอาซูชางหมิงมาอยู่ตรงหน้า และเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเพราะเจ้าแท้ ๆ ที่ทำให้สำนักของข้าเป็นแบบนี้ ไหนเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าไหม?”
มันจะมีอะไรที่ซูชางหมิงจะพูดได้อีก ในพริบตาแรกที่เขาเห็นว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ถูกทำให้เสียหายจนย่อยยับขนาดนี้ เขาก็รู้ชะตากรรมของตัวเองทันทีว่าเขาต้องตายแน่นอน
ซูชางหมิงรู้ว่าฉีหานเฟิงจะต้องใช้จิตสำนึกจักรพรรดิของเขาในการสืบหาความจริงของเหตุการณ์นี้ว่าต้นเหตุมันมาจากใคร ซึ่งแน่นอนว่ามันคงใช้เวลาไม่นานที่ทุกอย่างจะถูกเปิดโปง
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองจะต้องจบไม่สวย แต่เขาก็ยังคงไม่อยากตาย ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “เจ้าสำนักฉี ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องทุกอย่างมันจะเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ แต่ท่านลองคิดดี ๆ สิว่าทั้งหมดนี้มันเป็นฝีมือของสามีของเย่ชิงเฉิง ซึ่งข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะต้องตายไปแล้วในเส้นทางการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ ดังนั้นเมื่อไม่มีคนเหล่านั้นมาขัดขวางแผนการของนายน้อยของข้าแล้ว ไม่นานตระกูลของนายน้อยข้าจะต้องขึ้นเป็นผู้นำของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น นายน้อยของข้าจะต้องช่วยพวกท่านฟื้นฟูสำนักอย่างสุดกำลังแน่นอน!”
ฉีหานเฟิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็พูดกับซูชางหมิงด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้าจะจดจำคำพูดของเจ้าเอาไว้ แต่ในเวลานี้ข้าคงจะต้องให้เจ้าอยู่ในสำนักของข้าไปก่อน! ใครก็ได้มาพาไอ้คนผู้นี้กลับไปที่เรือนรับรองที!”
เมื่อสั่งจบ ฉีหานเฟิงก็ส่งเศษเสี้ยวของจิตสำนึกตนเองเข้าไปในร่างของซูชางหมิง เพื่อคอยจับตาเขาเอาไว้ไม่ให้หนีออกไปจากสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์!