บทที่ 566 เตรียมรบแตกหัก
อันที่จริงหยินฮูและหยาฉีนั้นไม่ได้ต้องการที่จะยอมรับพวกมนุษย์ในทะเลชางหมางมาเข้าร่วมกับพวกตัวเองสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก
ในตอนแรกที่พวกเขาเข้ามาในทะเลชางหมาง พวกเขาเข้ามาด้วยความเหนือกว่าของกองกำลังสัตว์อสูรที่นำมาด้วยถึง 1,000 ตน ซึ่งแต่ละตนล้วนอยู่ในระดับสวรรค์สามัญทั้งหมด พวกเขาสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าได้จนไม่เหลือหลอและไม่มีอาณาจักรไหนของทะเลชางหมางสามารถต่อต้านได้
ส่วนบรรดาขุมกำลังอื่น ๆ ที่มีที่มาจากขุมกำลังด้านนอกทะเลชางหมางที่เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกันก็ไม่กล้าที่จะแทรกแซงขัดขวาง ทำได้แต่หลีกทางให้เพราะไม่มีใครอยากจะมีปัญหากับสันเขาหมื่นอสูร ซึ่งเป็นขุมกำลังมหาอำนาจที่อยู่ด้านนอก
แต่แล้วในขณะที่พวกเขากำลังได้ใจและบุกไปข้างหน้าอย่างเมามัน สถานการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผัน เมื่อในที่สุดพวกเขาได้มาเจอกับบรรดากองทัพของอาณาจักรจันทรา
กองทัพแรกที่สันเขาหมื่นอสูรเผชิญหน้าก็คือกองทัพมังกร หลังจากที่กองทัพมังกรกลายเป็นร่างเป็นมังกรยักษ์ ร่างของมังกรที่พวกเขาเผชิญมันกลับมีพลังแห่งกฎอยู่ถึง 17 รูปแบบ ซึ่งมันแข็งแกร่งมากจนแม้แต่พิษของเผ่าอสรพิษนั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายร่างของมังกรได้แม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแกร่งของมังกรที่เหนือชั้นกว่าโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่าพวกเขามีกองกำลังที่อยู่ในระดับสวรรค์สามัญ 1,000 ตน ซึ่งรวมตัวกันต้านทานอย่างเหนียวแน่น พวกเขาคงถูกมังกรยักษ์กินไปหมดเรียบร้อยแล้ว
ถัดมากองทัพที่สองที่พวกเขาเผชิญก็ทารุณพวกเขาเป็นอย่างมากเช่นกัน
กองทัพนี้มีคนอยู่เพียงน้อยนิดและผู้นำของกองทัพนี้ก็คือผู้ใช้พิษที่ช่ำชองจนพวกเขาต้องขนหัวลุก แม้แต่เผ่าอสรพิษที่คิดว่าพิษของตัวเองรุนแรงแล้วยังไม่สามารถใช้พิษทำอันตรายผู้นำกองทัพนี้ได้ แต่ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่ผู้ใช้พิษผู้นี้ลงมือกับพวกเขา บรรดาเผ่าอสรพิษกลับต้องคอยต้านทานพิษของฝั่งตรงข้ามที่ปล่อยออกมากันอย่างจ้าละหวั่นเพราะไม่อย่างนั้นแล้วทั้งกองทัพก็คงมอดม้วยกันไปทั้งหมด
จากนั้นรอบล่าสุดของการปะทะ พวกเขาก็ได้เจอกับชายร่างอ้วนผู้หนึ่งที่โหดเหี้ยมราวกับปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากนรก
ชายร่างอ้วนผู้นี้ไม่ใช้ค่ายกล ไม่มีกองทัพที่ดูอลังการห้อมล้อม ไม่มีพิษที่น่าขนลุก สิ่งที่ชายร่างอ้วนผู้นี้ทำก็คือการกิน! ทันทีที่ชายร่างอ้วนผู้นี้พองตัวขยายขึ้นจนร่างของเขาสูงกว่า 20 เมตร ชายร่างอ้วนก็อ้าปากกว้างและดูดกลืนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใน 100 เมตรเข้าไปในปาก
ชายร่างอ้วนผู้นี้สามารถกินสัตว์อสูรได้ทุกประเภทและกินได้เรื่อย ๆ ต่อให้เขากินเผ่ามนุษย์หินตัวโตไป 10 กว่าตนเขาก็ยังไม่อิ่ม! และยิ่งไปกว่านั้นแม้กระทั่งเมื่อเขากินบรรดาเผ่าอสรพิษเข้าไปเป็น 10 ตน เขาก็ยังดูไม่มีผลกระทบอะไรจากพิษด้วยซ้ำ
ที่สำคัญที่สุดก็คือมันยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนของอาณาจักรจันทราที่ยังไม่ได้ลงมือ ซึ่งพวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญอะไรอีกบ้าง
แต่เอาแค่ศึกที่ผ่านมาเพียงไม่กี่ครั้งกับอาณาจักรจันทรา แค่นี้มันก็ทำให้หยินฮูและหยาฉีขนหัวลุกไม่รู้จักจบจักสิ้นแล้ว
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมากกับภารกิจที่บุตรแห่งคุนเป้งมอบให้กับพวกเขา
เนื่องจากถ้าพวกเขาทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้านายพวกเขาเช่นกัน
ดังนั้นตอนนี้ หยินฮูและหยาฉีจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาก็คือให้บรรดามนุษย์ที่ยอมมาสวามิภักดิ์กับพวกเขาให้เป็นกองหน้าในการบุกตะลุยสู้กับกองทัพของอาณาจักรจันทราก่อน
เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจในชีวิตมนุษย์เท่าไหร่อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ฝั่งไหนที่ตายพวกเขาก็ได้รับประโยชน์หมด
แต่ในทางกลับกัน สถานการณ์เช่นนี้กลับทำให้หลิงยี่เทียนเริ่มหนักใจ เนื่องจากสายเลือดของเขาคือผู้ปกครองและปกป้องเหล่ามวลมนุษย์ทั้งหมดในโลก เขาไม่อาจปล่อยให้พวกสันเขาหมื่นอสูรใช้วิธีการให้มนุษย์มาห้ำหั่นกันเองได้
ดังนั้นหลิงยี่เทียนจึงตอบโต้โดยการส่งสารท้ารบไปยังหยินฮูและหยาฉี ให้ส่งกองทัพของพวกเขาเองมาต่อสู้ตัดสินกันทีเดียวให้รู้เรื่อง
หยินฮูและหยาฉีตอบรับข้อตกลงทันทีโดยพวกเขามีข้อแม้ว่าห้าม หลิงยี่เทียนส่งกองทัพมังกร เจ้าแห่งพิษ และปีศาจนรกร่างอ้วนผู้นั้นเข้าร่วมการต่อสู้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ยอมรบด้วย
หลังจากที่ทั้งสองผ่ายตกลงกันได้เรียบร้อยและทำการสาบานต่อกฎแห่งสวรรค์ พวกเขาก็นำทัพของตัวเองไปที่เกาะวาฬยักษ์เพื่อตัดสินรู้ผลแพ้ชนะ ซึ่งศึกในครั้งนี้ หลิงยี่เทียนเป็นผู้นำทัพไปด้วยตัวเองพร้อมกับบรรดาคนอื่น ๆ ในครอบครัวก็ตามมาด้วย
เนื่องจากหลิงยี่เทียนเริ่มทนไม่ไหวกับกองทัพของสันเขาหมื่นอสูรพวกนี้แล้ว เขาจึงขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ในครอบครัวเพื่อให้มาช่วยกันจัดการเรื่องนี้ให้จบให้เร็วที่สุด
“น้องหก ให้ข้าลงมือคนแรกก็แล้วกัน!” หลิงฟ่างหัวมองไปยังเหล่ากองทัพของสันเขาหมื่นอสูรด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ไม่ว่ายังไงพวกเราก็สามารถฆ่าไอ้พวกนี้ได้โดยไม่ต้องคิดมากอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าให้ข้าลองทดสอบสุดยอดวิชาที่ท่านพ่อสอนให้ข้าล่าสุดด้วยเถอะ!”
หลิงยี่เทียนตอบกลับด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “พี่ห้า อย่าพึ่งรีบร้อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเมื่อถึงเวลาพวกมันส่วนใหญ่จะพากันหนีไปได้ พวกเราต้องคิดหาวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการพวกมันในคราวเดียวไม่ให้ตัวไหนหนีรอดไปได้ ท่านอย่าลืมสิว่าพวกเราจำเป็นต้องได้เนื้อของพวกมันเพื่อมาป้อนให้กับเก๋าหยู และพวกเรายังต้องเก็บส่วนที่เหลือไว้รอท่านพ่อกลับมาเพื่อมาย่างพวกมันให้เรากินอีก”
หลิงว่านจุนเอ่ยขึ้นเช่นกัน “เหลือไว้ให้พี่ด้วย พี่ต้องการใช้เนื้อของพวกมันในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองทัพมังกร”
หลิงฟ่างหัวเหลือบมองไปที่หลิงว่านจุน และพูดว่า “พี่สี่ ท่านเงียบไปเลย ท่านไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยจะได้ส่วนแบ่งได้ยังไง!”
หลิงว่านจุนหัวเราะและพูดว่า “คำสาบานที่น้องหกเอ่ยออกไปนั้นเพียงแค่บอกว่ากองทัพมังกรไม่สามารถเข้าร่วมได้ แต่มันไม่ได้รวมถึงพี่สักหน่อย! ดังนั้นเมื่อพี่ร่วมลงมือ ตัวไหนที่พี่ฆ่าได้ตัวนั้นก็เป็นของพี่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
คำสาบานที่เอ่ยไว้นั้นมีช่องโหว่แบบนี้จริง ซึ่งหลิงว่านจุนรู้และไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาจะอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 5 ซึ่งเขายังไม่สามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญสวรรค์สามัญได้ตรง ๆ แต่ต้องไม่ลืมว่าทางฝั่งพวกเขานั้นมีเหรียญตราผนึกสวรรค์
เมื่อถึงเวลาที่เหรียญตราผนึกสวรรค์สำแดงอำนาจของมัน หากไม่ใช่เผ่ามนุษย์หินหรือเผ่าอสรพิษ หลิงว่านจุนก็สามารถฆ่าพวกสัตว์อสูรเผ่าอื่น ๆ ได้อย่างสบาย
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ไม่มีปัญหาพี่สี่ ท่านฆ่าได้เท่าไหร่ท่านก็เอาส่วนที่ท่านฆ่าไปหมดได้เลย น้าซิน เดี๋ยวข้าคงต้องขอรบกวนให้ท่านปิดกั้นทางหนีของฝั่งตรงข้ามไว้ให้หมดอย่าให้มีใครหลุดรอดไปได้หน่อยนะ”
โจวจื่อซินพยักหน้าและพูดว่า “ได้สิ เจ้ารอดูผลงานของข้าได้เลย!”
ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของโจวจื่อซินได้พัฒนามาจนถึงระดับสวรรค์สามัญขั้นกลางแล้ว ดังนั้นดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตของนางจึงน่ากลัวขึ้นไปเป็นอย่างมาก
อันที่จริงหากให้นางลงมือโจมตีคนเดียว คนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงอะไรเลยเช่นกัน
แต่เนื่องจากหลิงตู้ฉิงเคยสั่งเอาไว้ว่า ไม่ให้โจวจื่อซินลงมือโจมตีโดยไม่จำเป็น ดังนั้นหลิงยี่เทียนจึงไม่สั่งให้นางโจมตีถึงแม้ว่านางจะมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวมากก็ตาม
“ขอบคุณมากน้าซิน” หลิงยี่เทียนพยักหน้าให้กับโจวจื่อซิน จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับคนอื่น ๆ “เอาล่ะ แผนการของพวกเราคือ พวกเราคอยสัญญาณโจมตีจากน้าเฟ่ยเอ๋อ ก่อน และจากนั้นพี่สี่จะเป็นคนนำการบุก แต่ถ้าหากใครเจอกับการโจมตีด้วยพิษและรับมือไม่ไหวก็จงรีบถอยออกจากสนามรบไป เนื่องจากการรบในครั้งนี้ หลูหลิงไม่สามารถร่วมมือด้วยได้”
หลิงว่านจุนและทุกคนต่างพยักหน้าแสดงว่าพวกเขาเข้าใจ
พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการรบครั้งนี้มันยังคงมีอันตรายรอพวกเขาอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะประมาทไม่ได้ โดยเฉพาะเผ่าอสรพิษที่ถึงแม้เมื่อถึงเวลาจะถูกเหรียญตราผนึกสวรรค์ผนึกระดับการบ่มเพาะเอาไว้แต่พิษของพวกมันก็ยังคงเป็นอันตรายอยู่ดี
หลังจากทุกคนปรึกษาหารือกันเสร็จ หลิงฉุยฟงก็แบ่งกำลังคนของเขาออกมา 450 นายเพื่อคอยปกป้องเหลียงเฟ่ยเอ๋อเอาไว้ ส่วนตัวเขานั้นได้เดินออกมาพร้อมกับทหารของเขาที่เหลืออีก 300 นาย และตะโกนไปยังหยินฮูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามว่า “ทางพวกข้าพร้อมแล้ว ทางพวกเจ้าพร้อมแล้วรึยัง?”