บทที่ 571 ถอนรากถอนโคน
เมื่อสิ้นเสียงของหนิงเฟิง จู่ ๆ ครึ่งคนครึ่งหมีก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันโหดเหี้ยม มันมองไปที่หวงเซียะ และพูดว่า “ข้าไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าข้าจะสามารถล่อปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ออกมาให้ติดกับได้”
“นังหนู ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว นับจากวันนี้ไปข้าจะพาเจ้ากลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรเพื่อให้เจ้ากำเนิดลูกหลานพันธุ์ผสมระหว่างอสูรสายพันธุ์ต่าง ๆ กับสายเลือดฟีนิกซ์ชั้นสูงของเจ้า แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาดูกันว่าลูกหลานของเจ้ามันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน!”
เมื่อพูดจบครึ่งคนครึ่งหมีตนนั้นก็เริ่มขยายร่างตนเองจนใหญ่ขึ้นและสูงกว่า 10 เมตร ซึ่งมันทำให้ทุกคนรู้แล้วว่าอสูรตนนี้มันไม่ใช่อสูรธรรมดา แต่มันเป็นอสูรชั้นสูงที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตราชัน!
ตั้งแต่ที่นางตัดสินใจออกมาสืบเรื่องตระกูลหนิงสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูร นางก็รู้อยู่แก่ใจว่านางจะต้องได้เผชิญหน้ากับอสูรชั้นสูงแน่นอน นางจึงพาเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์มาด้วย แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คืออสูรชั้นสูงที่นางเผชิญมันกลับแข็งแกร่งถึงขนาดนี้
หวงเซียะมองไปยังครึ่งคนครึ่งหมีร่างยักษ์ด้วยสีหน้ามืดหม่น และสั่งการว่า “ตั้งค่ายกลรบฟีนิกซ์ทองคำสังหารเทวะ!”
เมื่อไดรับคำสั่ง องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 500 นายต่างแปลงร่างเป็นฟีนิกซ์ทันทีและหลอมร่างฟีนิกซ์พวกเขาเข้าด้วยกันจนกลายเป็นฟีนิกซ์สีทองร่างยักษ์ ซึ่งความแข็งแกร่งของมันนั้นอยู่ในขอบเขตราชันขั้นปลาย
สงป้ามองไปที่ฟีนิกซ์ร่างยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า และเอ่ยขึ้นว่า “สมคำร่ำลือจริง ๆ กับค่ายกลรบอันโด่งดังของภูเขาฟีนิกซ์ แต่ถึงแม้ว่าอำนาจของมันจะเหนือกว่าข้าผู้นี้เล็กน้อย ข้าก็ยังคงสามารถจัดการพวกเจ้าได้อยู่ดี นังหนู วันนี้เจ้าหนีข้าไม่รอดแน่ ไม่ว่าจะยังไงเจ้าต้องอุ้มลูกให้กับข้า!”
เมื่อพูดจบ สงป้าก็รวบรวมพลังแห่งกฎที่อยู่รอบ ๆ เข้ามาไว้ในร่างกายของตนเองเพื่อเสริมพลังป้องกันและจากนั้นเขาก็พุ่งตัวเข้าใส่ฟีนิกซ์ทันที
หวงเซียะตอบกลับ “ไอ้ผีเฒ่า แค่ความสามารถของเจ้าเพียงตัวเดียวมันไม่มีวันจับข้าได้หรอก!”
เมื่อพูดจบเพลิงฟีนิกซ์อเวจีก็ไหลบ่าออกมาจากร่างของหวงเซียะ และนางก็ส่งเพลิงเหล่านี้ไปหาสงป้าหวังจะก่อกวนให้เขาเสียสมาธิ
ส่วนทางด้านองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ที่รวมตัวกันจนกลายเป็นฟีนิกซ์ร่างยักษ์ก็เข้าต่อสู้กับสงป้าเช่นกัน แต่ต้องรู้ไว้ว่าค่ายกลรบเช่นนี้ก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน เนื่องจากมันไม่สามารถใช้งานได้เป็นเวลานานเพราะมันเป็นค่ายกลที่จะดูดพลังวิญญาณจากเหล่าองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 500 นายไปเรื่อย ๆ และเมื่อไหร่ที่พลังวิญญาณของพวกเขาหมดค่ายกลกรบนี้จะหายไปทันที
ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของค่ายกลรบฟีนิกซ์ทองคำสังหารเทวะก็คือถึงแม้ว่าระดับพลังของมันจะอยู่ในขอบเขตราชันขั้นปลาย แต่ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันที่แท้จริงที่มีความแข็งแกร่งห่างกันไม่มากนักมันก็ไม่สามารถเอาชนะได้เหมือนกัน เพราะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันที่แท้จริงสามารถใช้พลังแห่งเจตจำนงของตนเองได้อย่างอิสระ แต่ค่ายกลรบนี้ทำไม่ได้
หวงเซียะรู้ถึงจุดอ่อนเหล่านี้เป็นอย่างดีว่าหากสู้กันต่อไปเรื่อง ๆ ฝ่ายของนางคงจะเป็นฝ่ายที่เพรี่ยงพร้ำแน่นอน ดังนั้นเมื่อสู้กันไปได้สักพัก นางก็ขึ้นขี่ฟีนิกซ์ยักษ์และออกคำสั่งให้หันหลังหนีทันที
เมื่อเห็นว่าหวงเซียะหันหลังหนี สงป้าก็หัวเราะขึ้นมาอย่างสะใจและพูดว่า “คิดหนีงั้นเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก! ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ว่าจะยังไงข้าก็จะจับเจ้าไปออกลูกออกหลานให้กับข้าและพวกของข้า!”
เมื่อสงป้าพูดจบ จู่ ๆ ก็มีเสียงอันเย็นชาพูดขึ้นว่า “เจ้าจะให้ใครมีลูกให้กับเจ้านะ?”
เมื่อเห็นว่าหวงเซียะไม่สามารถมีชัยชนะเหนือครึ่งคนครึ่งหมีตัวนี้ได้แล้ว ผู้อาวุโสที่แอบดูอยู่จึงปรากฏกายทันที
เขาปรากฏกายขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลเต็มที่ เนื่องจากหวงเซียะที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของภูเขาฟีนิกซ์ถูกดูหมิ่นขนาดนี้มันทำให้เขารับไม่ได้!
เมื่อสงป้าเห็นชายชราทั้งสองจากภูเขาฟีนิกซ์ปรากฏกายขึ้น เขาก็อุทานขึ้นทันที “เฟิงปิง เฟิงชิว!”
เมื่อได้สติ สงป้ารีบหันหลังหนีอย่างไม่คิดชีวิตทันที
แต่น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสทั้งสองนี้เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ!
เฟิงปิงและเฟิงชิวทำการส่งเจตจำนงของพวกเขาไปแยกร่างสงป้าออกเป็น 12 ส่วนทันที และแบ่งกันเก็บเศษซากร่างของสงป้าเอาไว้ในแหวนมิติ
ส่วนทางด้านของหนิงเฟิง และหนิงฮ่าวที่กำลังเฝ้ารอสงป้านำตัวหวงเซียะกลับมา จู่ ๆ ก็มีพายุอันรุนแรงบังเกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขา ซึ่งมันฉีกกระชากร่างของพวกเขาจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวด้วยซ้ำ
จากความผิดของพ่อลูกตระกูลหนิงที่ได้ทำเอาไว้ เฟิงปิงและเฟิงชิวจึงสำเร็จโทษพวกเขาทันทีโดยที่ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้แก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
เฟิงปิงและเฟิงชิว คือเหล่าผู้คนที่อยู่มาตั้งแต่สมัยก่อน ซึ่งมีความแค้นกับเหล่าเผ่าอสูรจนเรียกได้ว่าเกลียดชังจนสุดขั้วหัวใจ ดังนั้นในตอนนี้เมื่อพวกเขาแน่ใจแล้วว่าสองพ่อลูกตระกูลหนิงได้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าที่พวกเขาเกลียดชัง พวกเขาจึงไม่รอช้าที่จะกำจัดพวกคนทรยศเหล่านี้ออกไปทันที ซึ่งไม่เหมือนกับหวงเซียะที่พยายามจะให้เหล่าคนทรยศได้ไถ่โทษ
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เฟิงปิงและเฟิงชิวก็ตามหวงเซียะไปจนทันเพียงชั่วพริบตา แต่พวกเขาก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ปกป้องนางอย่างลับ ๆ ไม่ปรากฏกายให้เด็กสาวได้เห็น
สาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมปรากฏกายก็เพราะพวกเขามีความคิดที่ว่าไม่ว่าจะยังไงในอนาคตพวกเขาก็ต้องตายจากโลกนี้ไป ไม่สามารถอยู่ปกป้องนางไปได้ตลอด พวกเขาต้องการให้นางเผชิญกับความลำบากและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเองให้ได้
ทางด้านของหวงเซียะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่า สงป้าและเหล่าคนทรยศได้ตายไปหมดแล้ว นางพาเหล่าคนของนางหนีเข้าไปยังเหวมรณะด้วยสีหน้ากังวล
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่หลิงตู้ฉิงเคยสอนนางเอาไว้
ในตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าโลกภายนอกมันอันตรายแค่ไหน เนื่องจากที่ผ่านมานางไม่เคยเผชิญกับอันตรายใด ๆ มาก่อน นางเคยแต่อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาอันอบอุ่นของเหล่าผู้อาวุโสและบรรพบุรุษในภูเขาฟีนิกซ์เท่านั้น
แน่นอนว่านางยังคงจำภาพของหลิงตู้ฉิง และคำสอนต่าง ๆ ของเขาได้ไม่ลืม แต่นางไม่อาจจำชื่อของหลิงตู้ฉิงและความสัมพันธ์ของนางกับเขาได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้หลิงตู้ฉิงที่กำลังอยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังเตรียมตัวที่จะออกเดินทางไปที่อาณาเขตเทียนหยวน
“นายท่าน ตอนนี้คนของข้าใกล้จะไปถึงอาณาเขตเทียนหยวนแล้ว” หมิงยู่พูดกับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “อืม ในเมื่อพวกของเจ้าใกล้จะไปถึงแล้ว ถ้างั้นพวกเราก็จะออกจากที่นี่กันเร็ว ๆ นี้เหมือนกัน”
เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยความสงสัย “หมิงยู่ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าตอนนี้พวกของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
นางไม่เข้าใจว่าระยะทางระหว่างพวกเขานั้นห่างไกลกันเป็นอย่างมาก หมิงยู่ใช้วิธีส่งข่าวแบบไหนกันถึงสามารถติดต่อกับคนของนางได้เร็วขนาดนี้?
หมิงยู่ยิ้ม “นายหญิง ที่ข้าติดต่อกับคนของข้าได้เช่นนี้มันเป็นเพราะเคล็ดวิชาที่ข้าบ่มเพาะ”
“ด้วยความสามารถพิเศษของเคล็ดวิชาที่หมิงยู่บ่มเพาะ มันจึงทำให้นางสามารถติดต่อกับคนของนางที่ถูกเชื่อมโยงด้วยทะเลโลหิตได้อย่างใจนึก” หลิงตู้ฉิงอธิบาย
เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้นหากเราให้หมิงยู่ส่งคนของนางไปประจำอยู่ทั่วทุกอาณาเขต เราก็สามารถรู้ข่าวสารความเป็นไปได้ทั่วทั้งมหาพิภพไร้จุดจบเลยงั้นสิ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “ถ้าจะพูดกันตามทฤษฎีแล้วมันก็ทำได้ แต่ระดับการบ่มเพาะของนางในตอนนี้ยังไม่สามารถรับการติดต่อจากคนได้เป็นจำนวนมากได้ การที่นางจะติดต่อกับคนของนางได้นางต้องทิ้งเศษเสี้ยววิญญาณของนางไว้ในร่างของคนเหล่านั้นด้วย ซึ่งถ้าหากนางแบ่งเศษเสี้ยวของวิญญาณนางมากเกินไปมันจะเป็นผลเสียต่อตัวนาง ทำให้นางไม่สามารถบ่มเพาะต่อได้เช่นกัน”
“งั้นก็น่าเสียดาย!” เย่ชิงเฉิงถอนหายใจ
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “เมื่อไหร่ที่ฟ่างหัวเติบโตขึ้น การที่เราจะเดินทางไปทั่วมหาพิภพไร้จุดจบมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้าเห็นด้วย นางเข้าใจเช่นกันว่าเมื่อไหร่ที่ฟ่างหัวโตขึ้น นางจะสามารถเปิดประตูมิติท่องไปได้ทุกที่อย่างที่ใจนึก
หลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงก็อาศัยอยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่ออีก 3 ปีเพื่อเตรียมตัวที่จะเดินทางไปยังอาณาเขตเทียนหยวน
เมื่อหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ กำลังจะออกเดินทาง เย่ชางคงและบรรดาคนของเขาก็เตรียมตัวที่จะออกเดินทางเช่นกัน
เมื่อเย่ชางคงเห็นว่าพวกของหลิงตู้ฉิงกำลังจะเตรียมตัวจากไป เขาจึงถามขึ้น “พวกเจ้ากำลังจะไปอาณาเขตเทียนหยวนเหมือนกันงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงถามสวน “เมื่อครู่ที่ข้าได้ยินพวกเจ้าคุยกัน พวกเจ้าก็กำลังจะไปอาณาเขตเทียนหยวนเหมือนกัน?”
เย่ชางคงหัวเราะและพูดว่า “ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งถูกค้นพบมันอยู่ไม่ไกลจากพวกเราเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเราจะอยากจะลองไปเสี่ยงโชคดูเหมือนกัน”