บทที่ 572 กุญแจของตำหนักศักดิ์สิทธิ์
อันที่จริง หลิงตู้ฉิงรู้สึกแปลกใจว่าทำไม เย่ชางคงถึงรู้เรื่องของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ว่ามันกำลังจะเปิดทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้พูดอะไรเลยแท้ ๆ
หรือจะเป็นไปได้ว่า เย่ชิงเฉิงได้ไปบอกพ่อของนางในเรื่องนี้?
เมื่อเย่ชิงฉิงเห็นว่าหลิงตู้ฉิงเหลือบมองมาที่นาง นางก็ยิ้มและเอ่ยขึ้นทันที “สามีข้าไม่ได้บอกอะไรกับท่านพ่อของข้าหรือคนอื่น ๆ เลย ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่พวกเขาไปรู้ข่าวนี้มาจากไหน”
เมื่อได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน เย่ชางคงก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “พวกเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?”
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กุญแจของตำหนักศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของข้า ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าเจ้าไปได้ข้อมูลว่ามันกำลังจะเปิดมาจากไหน?”
ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดของเขา มันก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงสงสัยเป็นอย่างมากว่าเย่ชางคงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
เย่ชางคงอึ้งไปสักพัก จากนั้นเขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ที่แท้กุญแจดอกสุดท้ายอยู่กับเจ้างั้นเหรอ?”
“กุญแจดอกสุดท้าย?” หลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงมองหน้ากันด้วยความงุนงง
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์มันมีกุญแจหลายดอกงั้นเหรอ?
มู่หลงหยานยิ้มและพูดว่า “มันต้องมีกุญแจครบ 3 ดอกถึงจะสามารถเปิดตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ สองดอกแรกได้อยู่กับ สำนักสวรรค์สัประยุทธ์ และ สำนักเบญจธาตุ ซึ่งพวกเขาต่างรู้ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งแต่เมื่อ 800 ปีก่อนแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครหากุญแจดอกสุดท้ายเจอ มันจึงไม่มีใครสามารถเข้าไปด้านในได้สักที ข้านึกไม่ถึงเลยว่าแท้ที่จริงแล้วมันจะมาอยู่ในมือเจ้านี่เอง”
หลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หอการค้าเชื่อมสวรรค์สาขาอาณาเขตสุสานกระบี่ถึงมีข้อมูลของตำหนักศักดิ์สิทธิ์
เย่ชางคงหัวเราะ “อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนแรกว่าพวกเราต้องการไปเพื่อเสี่ยงดวงเท่านั้น แต่ในเมื่อกุญแจดอกสุดท้ายอยู่ในมือเจ้าแบบนี้งั้นรอบนี้พวกเราคงได้เข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอนแล้ว เจ้ารอพวกเราสักครู่ ข้าขอเวลาเตรียมคนเพื่อเข้าไปด้านในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ก่อน”
ก่อนหน้านี้พวกของเย่ชางคงไม่รู้ว่ารอบนี้ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จะเปิดได้หรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงเตรียมไปด้วยไม่มาก แต่เมื่อตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่ามันจะต้องเปิดได้เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมคนอีกรอบ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่ชางคง และพูดว่า “ข้ารอพวกเจ้าก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องบอกข้าทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั่นให้ข้าฟัง”
“ไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ต้องเล่ารายละเอียดของตำหนักศักดิ์สิทธิ์นี้ให้กับทุกคนที่กำลังจะไปได้ฟังอีกรอบอยู่แล้วเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับทุกคน” เย่ชางคงหัวเราะ
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันกับเขา เนื่องจากเขารู้อยู่แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เปิดออก มันจะต้องมีผู้คนจำนวนมากที่ทราบข่าวและกรูตามกันเข้าไป
ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการดีต่อเขามากที่สุด เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการถามหาข้อมูลไปด้วยเลย
ผ่านไปเพียงครู่เดียวคนของทั้งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็พากันอยู่ในอาการอยู่ไม่สุข เมื่อพวกเขาได้ทราบข่าวว่าตำหนักศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเปิดเพราะหลิงตู้ฉิงมีกุญแจดอกสุดท้ายอยู่กับตัว
ศิษย์ของสำนักจำนวนมากถูกเรียกให้มารวมตัวกันทันที
“ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าเขาจะพาโชคใหญ่มาให้กับพวกเราแบบนี้!” หานซ่งหยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ด้วยเรื่องนี้ มันจึงทำให้มีคนบ่นเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงน้อยลง
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ หลิงตู้ฉิงได้เอาทั้งวัสดุจำนวนมากมายมหาศาลและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักหลายคนไป ดังนั้นการที่หลิงตู้ฉิงสามารถทำให้พวกเขาเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้มันจึงเหมือนการช่วยชดเชยในสิ่งที่พวกเขาเสียไป
การเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้น หากผู้ใดมีโชคมากพอ คนผู้นั้นอาจจะได้ครอบครองอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์เลยก็ได้
จงขุยก็มารวมตัวกับทุกคนเช่นกัน เมื่อเขาเห็นหลิงตู้ฉิง เขาจึงเดินเข้ามาทักทายทันที “คุณชายหลิง ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา แต่ข้าเองก็ไม่นึกเช่นกันว่าท่านจะช่วยเหลือสำนักของข้าถึงขนาดนี้แถมยังได้กลายเป็นสามีของคุณหนูของพวกเราอีกต่างหาก!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ไม่เจอกันซะนานเลย!”
ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ก็คือตอนที่หลิงตู้ฉิงไปที่เมืองเจิ้นไห่และนำเอายันต์สั่งสวรรค์ที่อยู่ในหมู่ตึกหยูอี่มาไว้ในครอบครอง ซึ่งในตอนนั้นก็เป็นจงขุยที่บอกว่าหลิงตู้ฉิงคือผู้ที่ถูกชะตากำหนด
ตั้งแต่ตอนนั้นเวลาก็ได้ล่วงแล้วผ่านมาเกือบ 100 ปีแล้ว
จงขุยยิ้ม “คุณชาย ถ้ายังไงข้าขอฝากตัว ช่วยดูแลข้าด้วยในตอนที่พวกเราเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์”
“ข้าไม่มีหน้ารับผิดชอบชะตาชีวิตของพวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นใครคนไหน” หลิงตู้ฉิงพูดออกไปตรง ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลิงตู้ฉิงไม่ใส่ใจชะตากรรมของเหล่าผู้คนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นใครคนไหนทั้งนั้นว่าจะอยู่หรือว่าจะตาย สิ่งเดียวที่เขาใส่ใจก็คือผู้คนที่อยู่รอบกายเขาเท่านั้น
ทางด้านของจงขุยก็รู้สึกอึ้งไปสักพักเมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เขาก็คุยดี ๆ ด้วย
เย่เจียงไห่ด้วยยิ้มกว้างเข้ามาหลิงตู้ฉิงเช่นกัน และพูดว่า “เพราะความมหัศจรรย์ของเจ้าแท้ ๆ เลยน้องเขยของข้า พวกเราถึงสามารถเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เพื่อเสี่ยงโชคได้แบบนี้! ในตอนที่พวกเราเข้าไปข้าเองก็คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลข้าด้วยก็แล้วกันนะ!”
หลิงตู้ฉิงเหล่ตามองไปที่เย่เจียงไห่ และตอบกลับว่า “เจ้ายังค้างพริกหยกเพลิงเจ็ดสีกับข้าอยู่!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเย่เจียงไห่ก็กลายเป็นกระอักกระอ่วนทันทีและตอบกลับว่า “เมื่อถึงเวลาแน่นอนว่าข้าต้องให้มันกับเจ้าอยู่แล้วล่ะน่า พวกเราเองมันก็ครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอไง ไม่เห็นจะต้องทวงข้าทุกรอบที่เจอหน้าแบบนี้ก็ได้นี่นา”
เย่เจียงไห่รู้สึกไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ เขาได้แต่คิดในใจว่าพริกหยกเพลิงเจ็ดสีมันก็ไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากมาย แถมน้องสาวของเขาก็ยังแต่งงานกับหลิงตู้ฉิงไปแล้ว และที่สำคัญหลิงตู้ฉิงก็ได้นำเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเขาไปอีกตั้งหลายคน หลิงตู้ฉิงยังมีหน้ามาทวงพริกหยกเพลิงเจ็ดสีกับเขาอีกงั้นเหรอ?
หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่เย่เจียงไห่และพูดว่า “การติดค้างหนี้กับข้านั้นมันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด หากเจ้ายังคงดึงดันยืดเวลาออกไป ยิ่งเจ้ายืดเวลาออกไปนานเท่าไหร่สิ่งที่เจ้าจะต้องจ่ายคืนให้ข้ามันจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
เย่เจียงไห่กรอกตาทันทีและพูดด้วยสีหน้าอดรนทนไม่ไหว “ไม่ต้องเป็นห่วงน่า! หลังจากที่กลับมาข้าจะหามันมาให้เจ้าแน่นอน หรือบางข้าอาจจะเจอมันในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ซึ่งถ้าข้าเจอมันเมื่อไหร่ข้าจะมอบมันให้กับเจ้าทันทีเลย เจ้าตกลงไหม?”
หลังจากพูดจบ เย่เจียงไห่ก็เดินจากไปคุยกับคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ทันที
เย่ชิงเฉิงฝืนยิ้มและพูดว่า “สามี พี่สามของข้าเขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ เขาชอบเอาเปรียบคนอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ ท่านอย่าได้ไปถือสาเขาเลยนะ”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “ข้าไม่ได้ถือสาหาความอะไรหรอก เพราะไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องจ่ายหนี้ที่ติดค้างข้าไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี มันก็แค่ไม่รู้ว่าตอนที่เขาจ่ายหนี้ให้ข้า เขาจะต้องจ่ายเป็นอะไรบ้างเท่านั้นเอง”
เย่ชิงเฉิงส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ นางไม่เข้าใจในคำพูดของหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่และนางก็ไม่อยากจะใส่ใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ด้วย
หลังจากนั้นไม่นานศิษย์สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มากกว่า 1,000 คนก็ได้มารวมตัวกัน เพื่อเฝ้ารอเวลาออกเดินทางไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์
จำนวนศิษย์ 1,000 คนนั้นไม่สามารถนับเป็นอะไรได้เลยหากเทียบกับจำนวนศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ในสำนัก
เย่ชางคงกวาดตามองไปยังเหล่าศิษย์พันกว่าคนและพูดขึ้นว่า “มีคนมากเกินไป! ในรอบนี้การไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้นข้าจะนำพวกเจ้าไปด้วยแค่ 300 คน หากพวกเราพากันไปเป็นจำนวนมากเกินไปมันอาจจะมีปัญหากับสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ และสำนักเบญจธาตุ ซึ่งพวกเขาคงไม่เห็นด้วยแน่”
“และอีกอย่าง กุญแจมันก็เป็นของหลิงตู้ฉิง ดังนั้นในเมื่อมีคนต้องการไปมากเกินไป ข้าจะจัดการประลองคัดหาตัวผู้ที่จะมีสิทธิไปขึ้น และกฎมีดังนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ขอบเขตต่ำกว่านภาขอให้ก้าวออกไป พวกเจ้าไม่มีสิทธิเข้าร่วมเดินทางครั้งนี้ ส่วนทุกคนที่ยังเหลือ ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละขอบเขตการบ่มเพาะ 30 คนแรกให้ไปรวมตัวกันที่ฝั่งซ้าย จากนั้นเหล่าผู้คนที่เหลือทางฝั่งขวาก็จงเลือกตัวคู่ต่อสู้ของตัวเองจากเหล่าคนที่อยู่ทางฝั่งซ้าย หากเจ้าชนะเจ้าก็ไปยืนที่ฝั่งซ้ายแทน ซึ่งมันจะหมายความว่าเจ้าคือผู้มีสิทธิจะได้ไป ส่วนผู้แพ้นั้นจะถูกคัดออกทันที”
เมื่อพูดจบ เย่ชางคงก็ส่งสัญญาณให้เริ่มการประลองคัดตัวทันที!