หลิงตู้ฉิงและหมิงยู่ต่างมองดูเหล่าผู้คนที่กำลังอ่านเคล็ดวิชาในคัมภีร์โดยที่พวกเขานั้นไม่มีความคิดจะไปเข้าร่วมด้วย
ไม่นานต่อมา กลุ่มคนอีก 2 กลุ่มก็ตามเข้ามาในห้องคัมภีร์และก็เป็นเหมือนกลุ่มก่อนหน้านี้ที่รีบพุ่งตัวเข้าไปหาคัมภีร์ที่มีอยู่มากมายทันที
จากนั้นในเวลาไม่นาน กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามา ซึ่งคนกลุ่มนี้คือคนของสำนักเบญจธาตุ
ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำกลุ่มตะโกนสั่งทันที “รีบไปบันทึกเนื้อหาในคัมภีร์เร็ว!”
หลังจากสั่งเสร็จ ตัวเขาเองก็พุ่งตัวไปหาเหล่าคัมภีร์มากมายที่วางเรียงรายกันบนชั้นหนังสือเพื่อจดจำเนื้อหาในนั้นเช่นกัน
แต่ว่าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงสวรรค์สามัญของสำนักเบญจธาตุ กลับไม่เดินไปอ่านคัมภีร์ เขาเลือกที่จะเดินเข้ามาพูดคุยกับหลิงตู้ฉิง “พี่ชาย ทำไมท่านถึงไม่ไปอ่านคัมภีร์เหมือนคนอื่น ๆ ล่ะ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ข้าแค่ให้คนของข้าอ่านก็พอแล้ว”
ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะและพูดว่า “ข้า เสี่ยหนานเทียนแห่งสำนักเบญจธาตุ ไม่ทราบว่าพี่ชายมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?”
หลิงตู้ฉิงบอกชื่อของเขาไป จากนั้นเขายิ้มและพูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็จงรีบไปอ่านคัมภีร์แบบคนอื่น ๆ เถอะ เวลาของเจ้ามีจำกัด”
เสี่ยหนานเทียนยิ้ม “พี่หลิง ข้าไม่รีบหรอกและอีกอย่างด้วยระดับการบ่มเพาะของข้าที่ยังต่ำอยู่แบบนี้ ต่อให้ข้าอ่านไปข้าก็จดจำไม่ได้มากนัก แถมคนของสำนักข้าก็เข้าไปอ่านกันแล้วตั้งเยอะแยะข้าจะอ่านไปอีกทำไม”
“จริงสิ พี่หลิง ข้าได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกตำหนักเช่นกัน กุญแจนั่นมันเป็นของท่านแท้ ๆ แต่พวกคนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์กลับชิงไปอย่างหน้าด้าน ๆ การกระทำของพวกเขาเช่นนี้มันทำให้คนนอกอย่างข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนจริง ๆ หากท่านไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มากนัก ข้าขอแนะนำให้ท่านมาเข้าร่วมกับสำนักเบญจธาตุของข้าไหม สำหรับท่านที่สามารถหากุญแจของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเจอได้ มันก็แปลว่าท่านต้องเป็นคนที่ดวงดีเป็นอย่างมากแน่ ๆ สำนักของข้ากำลังขาดคนแบบท่านอยู่พอดี”
ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะได้ทันตอบอะไร หมิงยู่ที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ไหวที่จะพูดแทรกขึ้นว่า “นายท่านของข้ากับแม่นางเย่ชิงเฉิงแห่งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นสามีภรรยากัน!”
ในเวลาเดียวกัน เย่ชิงเฉิงก็กลับมาพอดีนางยิ้มและพูดขึ้นว่า “สำนักเบญจธาตุนี่ช่างน่าประทับใจจริง ๆ ข้าไม่อยู่เพียงครู่เดียวก็คิดจะพาสามีของข้าไปร่วมสำนักด้วยซะแล้ว!”
เสี่ยหนานเทียนหัวเราะ “ในตอนนั้นแม่นางเย่ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยไม่ใช่เหรอ? ทั้ง ๆ ที่แม่นางเย่ก็อยู่ที่นั่น ทำไมท่านถึงปล่อยให้เหล่าคนของสำนักท่านรังแกพี่หลิงแบบนั้นกันล่ะ? ข้ารู้สึกว่าสำนักของท่านไม่ค่อยเห็นความสำคัญของพี่หลิงสักเท่าไหร่เลยจริงไหม?”
เย่ชิงเฉิงแสดงสีหน้ารำคาญและพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดนี่เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
อันที่จริงนางก็รู้สึกโมโหเหมือนกัน แต่ในเมื่อผู้ที่ลงมือเป็นถึงบรรพบุรุษของสำนักนาง นางจึงไม่สามารถทำอะไรได้ หรือต่อให้เป็นพ่อแม่ของนางเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
เสี่ยหนานเทียนหัวเราะ “ข้าก็แค่คนนอกที่ทนดูความอยุติธรรมไม่ได้ก็เท่านั้น พี่หลิง หากท่านเปลี่ยนใจเข้าร่วมสำนักเบญจธาตุของเราเมื่อไหร่ พวกเรายินดีที่จะอ้าแขนรับท่านเสมอ!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพยักหน้า “ในอนาคตข้าจะไปเยือนสำนักเบญจธาตุแน่นอน! เอาล่ะเจ้าจงรีบไปอ่านคัมภีร์ได้แล้ว แต่จงจำไว้เจ้ามีเวลาแค่ 12 ชั่วยาม ห้ามมากไปกว่านั้นเด็ดขาด!”
“สามี!” เย่ชิงเฉิงรีบพูดขึ้น
เมื่อได้ยินการตอบกลับเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิง นางก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมากว่า เสี่ยหนานเทียนอาจจะโน้มน้าวสามีนางจนเข้าร่วมกับสำนักเบญจธาตุสำเร็จ ซึ่งสำนักเบญจธาตุเองก็เป็นสำนักมหาอำนาจที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของทั้งมหาพิภพไร้จุดจบ เพราะฉะนั้นมันจึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น
หลิงตู้ฉิงโบกมือขึ้นและพูดว่า “มันไม่มีอะไรหรอก เอาล่ะพวกเรามารอให้คนอื่น ๆ อ่านคัมภีร์จนเสร็จกันเถอะ”
ทางด้านของเสี่ยหนานเทียนก็พยักหน้า และคิดทบทวนถึงคำที่หลิงตู้ฉิงบอกกับเขา
หลังจากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นว่าเวลาได้ผ่านไปจนครบแล้ว เขาก็ตะโกนขึ้นทันที “ใกล้หมดเวลาแล้ว ไปบอกให้ทุกคนตามข้าออกไปจากห้องนี้ทันที”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงก็รีบวิ่งไปตามทุกคนทันที
ถึงแม้ว่าทุกคนจะเชื่อในคำพูดของหลิงตู้ฉิง และตั้งใจว่าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อพวกเขาได้เจอกับคัมภีร์ระดับสูงที่ล้ำค่าขนาดนี้ พวกเขาจึงลืมตัวจมดิ่งลงไปกับการอ่านคัมภีร์จนไม่รู้ว่าเวลาของพวกเขาได้หมดลงแล้ว
หากไม่ใช่เพราะหลิงตู้ฉิงเตือนพวกเขา พวกเขาก็คงอ่านคัมภีร์จนเลยเวลาไปแน่นอน
หลังจากได้รับการแจ้งเตือน ทุกคนก็รีบตามหลิงตู้ฉิงออกไปจากห้องคัมภีร์ทันที ซึ่งทางด้านของเสี่ยหนานเทียนก็มองตามหลังหลิงตู้ฉิงไปด้วยสีหน้าสงสัย
มันจะเกิดอะไรขึ้นกันหากเขาไม่ออกจากที่นี่ภายใน 12 ชั่วยาม?
แต่แล้วไม่นานเขาก็ได้ทราบผลลัพธ์ที่เขากำลังสงสัย
บรรดาผู้คนที่เข้ามาในห้องนี้ก่อนหน้าเขาที่อยู่ครบ 12 ชั่วยามแล้วไม่ยอมออกไป จู่ ๆ ก็มีสายฟ้าผ่าลงมาที่กลางศีรษะ ซึ่งบางคนก็ร่างสลายกลายเป็นฝุ่นผงแต่บางคนกลับไม่ตาย แต่ยืนสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เคลื่อนที่ไปไหนทั้งสิ้น
เหตุการณ์นี้มันทำให้เสี่ยหนานเทียนรู้สึกตกตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? สายฟ้านั่นมันมาจากไหน? แล้วคนที่ยังไม่ตายพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป?
ไม่ใช่แค่เสี่ยหนานเทียนที่ตกตะลึงแต่บรรดาผู้คนที่กำลังอ่านคัมภีร์อย่างขะมักเขม้นก็รู้สึกอึ้งไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครในพวกเขาคิดมาก่อนว่าสถานที่ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอันตรายเช่นห้องคัมภีร์มันจะมีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนอยู่!
เมื่อเห็นว่าที่นี่มีอันตรายเหล่าผู้คนจึงรีบปิดคัมภีร์ที่อยู่ในมือและนำมันวิ่งออกไปจากห้องคัมภีร์ทันที ซึ่งผลที่ตามมาก็คือเหล่าผู้คนที่วิ่งออกห่างจากชั้นวางคัมภีร์ทั้ง ๆ ที่มีคัมภีร์อยู่ในมือต่างถูกสายฟ้าผ่าลงกลางศีรษะกันทุกคน
แต่แล้วภาพเดิมที่น่าฉงนก็ปรากฏขึ้นอีกรอบก็คือ บางคนก็ถูกสายฟ้าผ่าจนตาย แต่บางคนกลับมีอาการแค่ยืนสั่นไปทั้งตัวแต่ไม่ตาย
แน่นอนว่าว่าในบรรดาคนที่ถูกสายฟ้าผ่าก็มีคนของสำนักเบญจธาตุด้วยเช่นกัน
เสี่ยหนานเทียนหรี่ตามองไปที่คนของสำนักเขาที่ถูกสายฟ้าผ่าตาย
ในตอนนี้เขาค้นพบว่าผู้ที่ถูกสายฟ้าฆ่าตายนั้นคือพวกคนที่ไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดการควบคุมเพลิง แต่สำหรับพวกที่ฝึก พวกเขาจะได้รับผลกระทบแค่ถูกผ่าจนจนตัวสั่นอยู่สักพักแต่ไม่ตาย
หลังจากนั้นสายฟ้าก็ผ่าลงไปอีกรอบใส่เหล่าผู้คนที่โดนผ่าไปรอบหนึ่งแล้วแต่ไม่ตาย และตอนนี้ยังถือคัมภีร์อยู่ในมือ
“ทิ้งคัมภีร์ในมือเร็วเข้า!” เสี่ยหนานเทียนรีบตะโกนขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่วิ่งออกมาจากชั้นวางและยังถือคัมภีร์อยู่ในมือต่างก็รู้ได้ทันทีว่าปัญหามันเกิดจากอะไร พวกเขารีบทิ้งคัมภีร์ลงพื้นทันที ซึ่งเหล่าคัมภีร์ที่ถูกทิ้งนั้นยังไม่ทันที่มันจะแตะพื้นมันก็ลอยกลับไปที่ชั้นวางดังเดิม
แต่แล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมาอีกชุด ส่งผลให้เหล่าผู้คนชักกระตุกกันอีกรอบหนึ่ง จากนั้นเหล่าผู้คนที่ถูกสายฟ้าผ่าหลายรอบแล้วไม่ตายก็มองไปยังเสี่ยหนานเทียนด้วยสีหน้างุนงงและคิดในใจ
พวกข้าก็ทิ้งคัมภีร์แล้วไงทำไมยังโดนสายฟ้าผ่าอีก?
เสี่ยวหนานเทียนรีบถามขึ้นทันที “พวกเจ้าอยู่ในนี้กันนานเกิน 12 ชั่วยามแล้วรึยัง?”
เหล่าผู้คนที่ทิ้งคัมภีร์ไปแล้วแต่ยังถูกสายฟ้าผ่าต่างก็รีบพยักหน้า จากนั้นก็เหมือนว่าพวกเขาจะนึกอะไรออกได้บ้างแล้ว พวกเขาจึงรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที
และก็เป็นอย่างที่คาด หลังจากที่พวกเขาออกไปจากห้องคัมภีร์ พวกเขาก็ไม่โดนสายฟ้าใด ๆ ผ่าใส่กลางหัวอีก
บรรดาผู้คนของสำนักเบญจธาตุต่างมองไปที่เสี่ยหนานเทียนด้วยสายตาตะลึง และถามว่า “หนานเทียน นี่เจ้ารู้กฎของห้องนี้ได้ยังไง?”
เสี่ยหนานเทียนตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ข้าเดาเอา!”
ถึงแม้เขาจะตอบเช่นนั้น แต่ในใจของเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงหลิงตู้ฉิง
‘เขาเป็นใครกันทำไมถึงได้ดูคุ้นเคยกับกฎของที่นี่? แล้วไอ้พวกสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทำไมมันถึงได้โง่เง่ากันถึงขนาดล่วงเกินบุคคลที่พิสดารขนาดนี้ได้กัน? หากพวกมันฉลาดสักหน่อย ป่านนี้พวกมันก็คงมีความสุขกับการได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว! ด้วยการนำทางของตัวตนที่ดูคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่จะไม่พบกับอันตรายใด ๆ แต่ยังอาจจะได้รับสมบัติมากมายติดมือกลับไปอีก ไอ้พวกโง่นั่นมันพลาดถึงขนาดนี้ได้ยังไง?’
‘ว่าแต่ที่เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่มันจะเป็นเพราะว่าเขาเจอความลับในกุญแจของตำหนัก?’ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสี่ยหนานเทียนส่ายหัวกับตัวเองเงียบ ๆ สำนักของเขานั้นได้รับกุญแจมาตั้งนานแล้ว และลองใช้ทุกวิธีมันก็ยังไม่เห็นว่าจะข้อมูลใด ๆ ซ่อนอยู่ ดังนั้นมันไม่น่าจะเป็นไปได้
ถ้างั้นมันก็น่าจะเป็นในช่วงเวลาตอนที่คนผู้นั้นเจอกุญแจแน่นอนที่เขาได้รู้ความลับนี้มา!
เสี่ยหนานเทียนพยักหน้ากับตัวเอง เนื่องจากทฤษฎีนี้มันน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเขาได้เจอกับคนที่รู้ความลับแบบนี้แล้วเขาจึงต้องขอติดตามคนผู้นี้ไปสักหน่อย เพื่อยืนยันข้อสงสัยของตัวเองที่ยังคงค้างคาอยู่
“ทุกคนจงจดจำเคล็ดวิชาในคัมภีร์ต่อไป แต่จงจำเอาไว้ว่าพอใกล้จะครบ 12 ชั่วยามเมื่อไหร่ พวกเจ้าต้องออกจากที่นี่ทันที!” เสี่ยหนานเทียนสั่งขึ้น “เสี่ยกัง เจ้าตามข้ามา เราจะไปห้องถัดไปกัน”
“รับทราบนายน้อย!” ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์ผู้หนึ่งตอบรับทันที
และจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มออกเดินไปตามหากลุ่มของหลิงตู้ฉิง!