บทที่ 93 การกลับมาของนายหญิง[รีไรท์]
เจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น จ้าวเหมิงลู่ นั่นเอง
นางได้ก้าวเข้ามายังในเรือนพร้อมกับผู้ติดตามอีกสองคน
เมื่อนางได้ก้าวเข้ามายังในเรือน นางถึงกลับแปลกใจที่มีคนมากมายยืนอยู่ในลานกลางเรือน
หลิงไช่หยุน เมื่อนางเห็นจ้าวเหมิงลู่เดินเข้ามาในเรือน นางลุกขึ้นกระโดดดีใจแล้ววิ่งเข้าไปหาจ้าวเหมิงลู่ทันที “ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว!”
จ้าวเหมิงลู่เมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนี้ นางถึงกับหน้าแดงทันที นางก้มลงไปรับตัวหลิงไช่หยุนมาอุ้มไว้ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
จ้าวเหมิงลู่กระซิบข้างหูหลิงไช่หยุนว่า “พ่อของเจ้ายังไม่ได้ยอมรับน้าเลย เจ้าเรียกน้าว่าแม่แบบนี้เดี๋ยวพ่อของเจ้าจะดุเอานะ”
“แล้วท่านไม่อยากเป็นแม่ของข้าเหรอ?” หลิงไช่หยุนกระซิบถามตอบ
จ้าวเหมิงลู่เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ อย่างเขินอาย ไม่รู้ว่าจะตอบเด็กน้อยคนนี้อย่างไรดี
คำเรียกของหลิงไช่หยุนดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ในลานกลางเรือนทั้งหมด มี่ไลและหลิงเฟ่ยเฟ่ย พวกนางตกใจอย่างมาก พวกนางมองหน้ากันและกันโดยไม่รู้ตัว พวกนางไม่นึกว่าจะได้เจอกับนายหญิงตัวจริงเข้าแล้ว พวกนางค่อนข้างกังวลและสงสัยว่านายหญิงผู้นี้จะทำอะไรกับพวกนางต่อ
ในเวลานี้เด็กคนอื่น ๆ ได้วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังจ้าวเหมิงลู่และทักทายนางอย่างเบิกบานใจ พวกเขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้คือผู้หญิงคนแรกที่พ่อของพวกเขาพาเข้าเรือนและควรจะเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ที่จะเป็นแม่ของพวกเขา
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ติดตามทั้งสองคนที่ติดตามจ้าวเหมิงลู่มาสับสนมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณหนูของพวกเขาถึงกลายเป็นแม่ของเด็กเหล่านี้ซะอย่างนั้น?
“ทำไมเจ้าถึงไปนานขนาดนี้?” หลิงตู้ฉิงผละออกจากตู้เหลยโตวและเดินไปหาจ้าวเหมิงลู่พร้อมกับถามขึ้น
จ้าวเหมิงลู่ตอบอย่างรวดเร็ว “ก็ข้ามีเรื่องต้องจัดการอะไรตั้งหลายอย่างนี่นา!” นางกำลังสาปแช่งอยู่ในใจ จริง ๆ นางลงแรงหนักมากเพื่อกลับมา แต่หลิงตู้ฉิงกลับใช้คำพูดแบบนี้เพื่อทักทายนางงั้นเหรอ?
“แล้วเจ้าได้บอกเรื่องของเรากับพ่อแม่ของเจ้าแล้วหรือยัง?” หลิงตู้ฉิงถามตรง ๆ “และเจ้าจะเป็นแม่ของลูก ๆ ข้าไหม?”
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลมากมาย จ้าวเหมิงลู่แทบอยากเอาหัวมุดดินลงไปให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมไม่ถามคำถามนี้ในตอนที่อยู่กันสองต่อสอง!?
อย่างไรก็ตามนางที่เคยเห็นนิสัยตรงไปตรงมาของหลิงตู้ฉิงมาหลายต่อหลายครั้ง นางจึงได้แต่ทอดถอนหายใจ
“ปู่ของข้ารู้เรื่องเราแล้ว” จ้าวเหมิงลู่ก้มหัวลงด้วยความอับอายและพูดว่า “เขาเห็นด้วยกับพวกเรา สำหรับพ่อแม่ของข้าคงไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน ในเมื่อท่านปู่ได้อนุญาตพวกเขาย่อมไม่มีทางคัดค้านแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้นต่อไปนี้เจ้าคือแม่ของพวกเขา!” หลิงตู้ฉิงตัดสินใจและชี้ไปยังเด็ก ๆ
จ้าวเหมิงลู่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยในความซื่อตรงและซื่อบื้อของหลิงตู้ฉิง
นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างเอาผิดและพูดว่า “ครั้งที่แล้วท่านไม่ได้บอกว่าตัวท่านเป็นหลานชายของแม่ทัพหลิงเจิ้งสง! ท่านควรอธิบายให้ข้าเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ
เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาได้รับการยืนยันในที่สุด เด็ก ๆ ก็เรียกจ้าวเหมิงลู่ด้วยความเคารพด้วยคำว่า ‘แม่’ จ้าวเหมิงลู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น หน้านางแดงขึ้นมาทันที หลังจากเด็ก ๆ เรียกแม่ไปแล้ว ต่อมาโม่หยูถัง และคนอื่น ๆ ค่อย ๆ ทยอยกันเดินเข้ามาหาและทักทาย ‘นายหญิง’ ทีละคน ทำให้จ้าวเหมิงลู่รู้สึกเขินอายและไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรต่อ
ตู้เหลยโตว และคนอื่น ๆ ที่อยู่ในลานเฝ้าสังเกตสถานการณ์นี้แบบงุนงง
ตู้เหลยโตวเมื่อได้จังหวะเขาจึงพูดแทรกขึ้นว่า “เจ้าหนุ่ม สรุปเจ้าจะว่ายังไงเรื่องที่จะส่งลูก ๆ ของเจ้ามาเข้าเรียนที่สถาบันหงส์เพลิงของข้า? “
จ้าวเหมิงลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกประหลาดใจและรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลิงตู้ฉิงหน้ามุ่ย “ตาแก่คนนี้มาชวนลูก ๆ ของเราไปเข้าสถาบันหงส์เพลิงของเขา”
จ้าวเหมิงลู่รีบพูดว่า “ไม่ได้นะ ข้าไม่ให้พวกเขาไป!”
ตู้เหลยโตวพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ในฐานะที่เจ้าเป็นแม่ของเด็กเหล่านี้ ทำไมเจ้าถึงไม่คิดถึงอนาคตของเด็ก ๆ เหล่านี้บ้าง การที่เจ้าจะเก็บพวกเขาไว้ให้อยู่แต่ในเรือนเพียงอย่างเดียว มันจะเป็นผลเสียต่ออนาคตของเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างใหญ่หลวง เจ้าที่เป็นแม่ควรจะไตร่ตรองในเรื่องนี้ให้ดีก่อนที่จะปฎิเสธคำเชิญของข้า”
จ้าวเหมิงลู่พยักหน้าเล็กน้อยและยิ้ม “ท่านผู้อาวุโส ในตอนแรกก็เป็นพวกท่านเองที่ไล่พวกเขาออกจากสถาบันหงส์เพลิงของท่าน แล้วตอนนี้ท่านจะมาเรียกร้องให้พวกเขากลับไปใหม่ ท่านล้อข้าเล่นรึเปล่า แล้วท่านจะให้พวกเด็ก ๆ เหล่านี้ที่เคยถูกตีหน้าว่าเป็นคนที่เคยถูกไล่ออกจากสถาบันมาแล้วรอบหนึ่งกลับเข้าไปเรียน? แบบนี้พวกเขาจะกล้าเอาหน้าไปสู้ใครเมื่อกลับเข้าไปที่สถาบัน?”
อันที่จริงแล้วนิสัยของจ้าวเหมิงลู่จะเป็นคนขี้อายและมีความเคารพผู้อาวุโสกว่าเป็นอย่างดี แต่กับเรื่องของเด็ก ๆ เหล่านี้ที่นางได้เป็นแม่ของพวกเขาแล้ว นางจึงใช้คำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงตอกกลับไปที่ตู้เหลยโตว
ตู้เหลยโตวเมื่อโดนตอกกลับมาเขาเริ่มพูดด้วยอารมณ์โมโห “ข้าไม่ได้เป็นคนไล่พวกเขาสักหน่อย! ก็ตอนแรกข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่นี่ไง วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อแก้ไขและชดเชยให้พวกเขาอยู่! แล้วถ้าพวกเขาไม่เข้าเรียนที่สถาบันหงส์เพลิง เจ้าวางแผนจะส่งเขาไปที่ไหนกัน?”
จ้าวเหมิงลู่ยิ้ม “ข้าจะให้พวกเขาทุกคนไปเรียนที่สถาบันราชวงศ์!”
ตู้เหลยโตวยิ้มเโอสถะ “สถาบันราชวงศ์รับแต่เด็กที่โตแล้วเท่านั้น เจ้าคิดว่าตาแก่จ้าวจะรับพวกเขาเข้าสถาบันงั้นเหรอ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงจะมีอำนาจเอาพวกเขาเข้าไปได้?”
“อ่าใช่สิ! ข้าเกือบลืมไป ข้าลืมถามชื่อเจ้า นังหนูเจ้าชื่ออะไร เจ้ามาจากตระกูลไหน?”
“แม้ว่าตัวข้าจะไม่มีอำนาจอะไรในสถาบันราชวงศ์ แต่มันก็เป็นสถาบันที่ถูกดูแลโดยปู่ของข้า” จ้าวเหมิงลู่พูด “และข้าชื่อ จ้าวเหมิงลู่ เป็นคนของของตระกูลจ้าว หลานของจ้าวปาเทียน ผู้อาวุโสข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจแล้วนะว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถให้พวกเขาเข้าสถาบันหงส์เพลิงของท่านได้!”
ตู้เหลยโตวอุทาน “ต่อให้เจ้าจะเป็นหลานสาวของตาแก่จ้าวหน้าโง่นั่น แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตาแก่จ้าวจะยอมยกเว้นกฎระเบียบเพื่อเด็ก ๆ เหล่านี้!”
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้!” จ้าวเหมิงลู่พูดอย่างจริงจัง “อันที่จริงข้าได้นำจดหมายเชิญตัวของหลิงตู้ฉิงและหนังสือระเบียบการรับเข้าสถาบันของเด็ก ๆ ติดมากับข้าด้วย”
ขณะที่นางพูดนางก็หยิบจดหมายเชิญตัวของหลิงตู้ฉิงและหนังสือระเบียบการรับเข้าสถาบันของเด็ก ๆ ออกมาจากแหวนมิติ
เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น จ้าวเหมิงลู่จึงเปิดจดหมายเชิญตัวของหลิงตู้ฉิงและหนังสือระเบียบการรับเข้าสถาบันของเด็ก ๆ ขึ้นมา สัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ประทับอยู่บนหน้าจดหมายทั้งสองได้ส่องสว่างขึ้น เมื่อเห็นสัญลักษณ์ของสถาบันราชวงศ์ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ตู้เหลยโตว และผู้บริหารคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง
“ไอ้แก่นั่น…” ในใจของตู้เหลยโตวสาปแช่งจ้าวปาเทียนที่ลงมือได้ไวเหลือเกิน
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจ้าวปาเทียนจะยอมยกเว้นกฎของสถาบันที่เข้มงวดของเขาให้กับลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงแบบนี้
“ฮึ่ม! เมื่อเจ้ากลับไปเมืองหลวงแล้ว ฝากบอกไอ้แก่ปู่ของเจ้าด้วย ครั้งหน้าที่ข้าเจอกับมัน ข้าจะทุบตีที่ใบหน้าของมันจนบานสะพรั่งเหมือนดอกท้อ!” ตู้เหลยโตวหมุนตัวและบินจากไปด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว
ตู้เหลยโตวรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากในการมาเรือนหลิงครั้งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเจิ้นฟูเห่าในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้พวกตระกูลเจิ้น เรื่องแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน!
หลังจากตู้เหลยโตวจากไปแล้วเจ้าของสถาบันคนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากหันหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
หลังจากส่งพวกเขาออกไป จ้าวเหมิงลู่ได้มอบจดหมายแต่งตั้งและหนังสือแจ้งการเข้าเรียนให้กับหลิงตู้ฉิงด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
ในจดหมายนั้นไม่ได้มีการระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของหลิงตู้ฉิงว่าจะต้องไปทำหน้าที่อะไร จ้าวเหมิงลู่รู้แต่ความตั้งใจของปู่นางว่าต้องการให้หลิงตู้ฉิงไปเป็นผู้ช่วยเพียงเท่านั้น
หลิงตู้ฉิงหยิบมันขึ้นมาดูจากนั้นก็โยนมันเข้าไปในแหวนมิติ จ้าวเหมิงลู่ถามอย่างรู้สึกผิด “ท่านเต็มใจที่จะไปสถาบันราชวงศ์เพื่อเป็น…อาจารย์และยินดีที่จะให้ลูก ๆ ของ…เรา…ไปเล่าเรียนที่นั่นด้วยหรือไม่?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่สนใจในตำแหน่งอาจารย์อะไรนั่นหรอก ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น แต่สำหรับลูก ๆ ของเรา พวกเขาจำเป็นต้องเข้าสังคมกับเด็กคนอื่น ๆ ฉะนั้นพวกเขาจะต้องเข้าไปเรียนที่สถาบันราชวงศ์ของเจ้า!”
จ้าวเหมิงลู่เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย นางถามว่า “เราจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเมื่อไหร่ดี?”
“เร็ว ๆ นี้” หลิงตู้ฉิงมองไปที่หวงหลิงซานและหยุนเฟยหาว แล้วพูดว่า “อันดับแรกข้าจะต้องช่วยพวกเขาแก้ปัญหาของพวกเขาก่อน จากนั้นข้ายังต้องเตรียมการอะไรบางอย่างก่อนให้แล้วเสร็จ จากนั้นเราถึงค่อยไปยังเมืองหลวงได้”
“เอ๊ะ นี่ท่านรับเลี้ยงเด็กเพิ่มขึ้นอีก 2 คนงั้นเหรอ?” จ้าวเหมิงลู่มองไปที่หวงหลิงซานและหยุนเฟยหาวด้วยแววตาสงสัย
“ไม่ใช่!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “พวกเขามาหาข้าเพื่อขอความช่วยเหลือ”
“อ๋อ!” จ้าวเหมิงลู่ทำเสียงตอบด้วยความสับสน