“คุณหมอหลี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” จู่ๆ คุณซูก็ถามขึ้นมาอย่างกังวล
คุณหมดหลี่เองก็พูดขึ้นมาด้วยอาการตื่นตระหนก: “ผม…..ผมไม่รู้ว่า ตอนนี้เค้าเป็นอะไร ทำไม….จู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้!”
“งั้นคุณก็รีบช่วยชีวิตเค้าสิ!” คุณซูก็ตะคอกขึ้นมา
หมอหลี่ก็รีบวิ่งเข้าไปหาชายชราซู แต่ในตอนนี้เอง ชายชราซูเค้าก็ล้มลงไปที่พื้น เค้าไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย มันดูราวกับว่าเค้าได้หมดสติไปแล้ว
จู่ๆ หมอหลี่ก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เค้าถึงกับเสียสติ เค้ายืนอยู่ที่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี
“คุณมัวงงอะไรของคุณอยู่ รีบช่วยปู่ของฉันสิ” คุณซูพูดขึ้นมาอย่างร้อนใจ
หมอหลี่เองก็พูดขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก: “คะ…คุณซู คุณควรรีบพาตัวคุณปู่ซูไปที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ที่นี่ไม่มีเครื่องมือ ผม…ผมทำไม่ได้…”
อันที่จริง หมอหลี่เองก็รู้ว่าตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะส่งตัวคุณปู่ซูไปที่โรงพยาบาล
คุณซูกัดฟันของเธอขึ้นมา เธอไม่มีเวลาแม้แต่ที่จะคิดอะไร เธอโบกมือของเธอขึ้นมาแล้วตะโกนว่า: “เอาตัวคุณปู่ไปโรงพยาบาล!”
“เดี๋ยวก่อน!”
ในตอนนี้เองฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
เค้าก็เข้ามาขวางทางคุณซูเอาไว้ เค้าส่ายหัวขึ้นมาแล้วพูดว่า: “มันสายเกินไปแล้วที่จะเอาตัวปู่ของคุณไปที่โรงพยาบาล คุณปู่ของคุณเค้าน่าจะตายไปได้ครึ่งทางแล้ว”
เมื่อคุณซูได้ยินแบบนั้น แววตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นมาในทันที แววตาของเธอมันเต็มไปด้วยความโกรธ
“ทางที่ดีนายควรหยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้วนะ!” คุณซูพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “นายปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้ ถ้าหากว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับปู่ของฉันหละก็ นายรับผิดชอบไม่ไหวแน่!”
ฉินเฉิงรู้ว่าคุณซูไม่เชื่อคำพูดของเค้า แต่คุณซูเองก็เป็นคนที่ช่วยเหลือเค้าเอาไว้ ไม่อย่างงั้นเค้าก็คงจะตายไปแล้ว
ดังนั้นเอง ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมว่า: “คุณซู ผมขอเวลาห้านาที ผมสัญญาว่าผมจะช่วยชีวิตปู่ของคุณ! ถ้าหากว่าคุณปู่เป็นไรขึ้นมา ผมยินดีที่จะชดใช้ด้วยชีวิตของผมเอง!”
“บ้าเอร้ย สถานการณ์ของเค้าในตอนนี้มันไม่อาจจะรอได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วห้านาที? แกนี่มันไร้สาระจริงๆ” หมอหลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยขึ้นมาอย่างเย็นชา
ฉินเฉิงก็เหลือบมองไป เค้าก็เยาะเย้ยขึ้นมาว่า: “ในเมื่อมันไม่สามารถรอได้ อย่างงั้นมันก็สายเกินไปแล้วไหมที่จะเอาตัวไปส่งโรงพยาบาล?”
สีหน้าของหมอหลี่ก็เริ่มแข็งทื่อขึ้นมา เค้าเองก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
เค้ารีบปิดปากของตัวเองแล้วไปยืนอยู่ที่ด้านข้างด้วยความโกรธ
คุณซูเองก็มองไปที่หมออย่างเย็นชา แววตาของเธอมันเต็มไปด้วยความโกรธ
ทันทีที่เธอมองไปที่ฉินเฉิง เธอก็หายใจเข้าลึกๆ : “ถ้าหากว่านายสามารถช่วยคุณปู่ของฉันได้ ตระกูลซูของฉันก็จะจดจำบุญคุณนี้ตลอดไป”
ฉินเฉิงก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย เรื่องเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพมันก็แวบเข้ามาในหัวของเค้า
หลังจากนั้น เค้าก็เดินตรงไปที่ตรงหน้าชายชราซูแล้ววางมือลงไปที่หน้าผากของชายชราซู
ทันทีหลังจากนั้น ออร่าสีน้ำเงินในร่างกายของเค้ามันก็พุ่งออกมาตามมือของฉินเฉิง จากนั้นมันก็ไหลเข้าไปที่หน้าผากของชายชราซู
เทคนิคการคืนชีพนี่มันก็เป็นพลังงงานของจิตจำนวนมาก ฉินเฉิงเองก็พึ่งจะได้รับมรดกนี้มา เค้าก็เลยมีพลังมาก
ในตอนที่ออร่าจากร่างกายของเค้าหายไป ฉินเฉิงก็อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานมันก็มีเหงื่อไหลออกมาจากที่หน้าผากของเค้า
ในตอนนี้เอง คุณซูเองก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา ความวิตกกังวลมันก็ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ เธอต้องการที่จะถามอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ต้องพยายามที่จะห้ามใจตัวเองไว้
ในที่สุด ในตอนที่อ่อร่าหายไปจากร่างของเค้าอย่างสมบูรณ์นี้เอง กระบวนการฟื้นคืนชีพมันก็เสร็จสมบูรณ์ในที่สุด
ฉินเฉิงเองก็นั่งลงไปที่พื้นพร้อมกับความเหนื่อยล้า ร่างของเค้ามันอ่อนแอ เค้าแทบจะเป็นลมแล้วล้มลงไปที่พื้น
“นายทำอะไรของนาย?!” คุณซูก็ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ “นี่คือสิ่งที่นายบอกว่าจะช่วยชีวิตอย่างงั้นเหรอ?!”
ฉินเฉิงก็อ้าปากของเค้าขึ้นมาแล้วพยายามที่จะอธิบาย แต่เค้าก็พบว่าตัวเองไม่มีแม้แต่แรงที่จะพูดเลยด้วยซ้ำ
“ฉันอุส่าใจดีช่วยชีวิตนายมา นายกล้าที่จะมาทำร้ายฉันอย่างงั้นเหรอ!” คุณซูเต็มไปด้วยความเศร้าและความขุ่นเคือง แววตาของเธอมันก็เต็มไปด้วยความต้องการที่จะฆ่าฉินเฉิง
“พวกแก ดูมันให้ดี อย่าให้มันหนีไปได้! พวกที่เหลืออยู่พาคุณปู่ไปที่โรงพยาบาลกับฉัน!” คุณซูก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
บอดี้การ์ดหลายคนก็ก้าวไปต่อหน้าของฉินเฉิงในทันที พวกเค้าต้องการที่จะจับตัวฉินเฉินเอาไว้
“แคร็ก แคร็ก!”
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ชายชราซูก็ไอออกมา
ทันทีที่เสียงไอดังขึ้นมา ฉากทั้งหมดนี่มันก็หยุดนิ่งไปในทันที
คุณซูเป็นคนแรกที่ตอบสนองขึ้นมา เธอรีบตรงไปที่ตรงหน้าชายชราซู เธอก้มลงไปหาเค้าพร้อมกับน้ำตาที่เกือบจะไหลออกมา
“คุณปู่ ตอนนี้ปู่รู้สึกยังไงบ้าง” คุณซูเธอก็ถามขึ้นมาพร้อมกับกอดชายชราเอาไว้
ชายชราซูก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา เค้าลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ จากที่พื้นแล้วมองไปที่หมอหลี่ จากนั้นเค้าก็กล่าวขึ้นมาอย่างขอบคุณเล็กน้อย: “หมอหลี่สมแล้วที่คุณเป็นหมอที่มีชื่อเสียง เรื่องนี้ ตระกูลซูจะจดจำมันไปตลอด”
หมอหลี่ก็ดูกระอักกระอ่วมขึ้นมาเป็นอย่างมาก เค้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ซักพัก
“เค้าไม่ได้ช่วยชีวิตปู่” ในตอนนี้เองคุณซู เธอก็อธิบายขึ้นมา: “ชายหนุ่มคนนั้นเค้าเป็นคนที่ช่วยชีวิตปู่เอาไว้”
ชายชราซูก็ประหลาดใจขึ้นมา เค้ามองไปที่ฉินเฉิงด้วยความประหลาดใจและยิ้ม: “พ่อหนุ่ม เธอเป็นหมออย่างงั้นเหรอ?”
“ฉัน….ฉันไม่ใช่หมอ” ฉินเฉิงไม่รู้ว่าเค้าจะอธิบายยังไงดี ถ้าหากว่าเค้าพูดออกไปตัวเองจะถูกมองว่าเป็นปีศาจไหม?
ตอนนี้ชายชราซูก็เริ่มสงสัยมากขึ้น เค้ามองไปที่ฉินเฉิงอยู่นานแล้วก็ยิ้ม: “พูดมาเถอะ ฮ่าๆ ฉันเข้าใจ ยังไงก็ตามคุณเองก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตฉันแล้วก็ยังเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลซู ฉันจะนำเรื่องครั้งนี้ไว้ตลอดไป”
ฉินเฉิงโบกมือของเค้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดว่า: “คุณไม่จำเป็นจ้องสุภาพหรอก ถ้าหากว่าคุณซูไม่ช่วยผมมาจากข้างถนน ตอนนี้ผมก็คงจะตายอยู่ข้างถนนไปแล้ว”
คุณซูเดินเข้าไปหาฉินเฉิงด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า: “โอ้ นี่มันเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับฉัน ต่อให้เป็นคนอื่น ยังไงฉันก็จะช่วย”
ฉินเฉิงเองก็ยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีอยู่ซักพัก
“นั่งลงก่อน” ชายชราซูก็โบกมือให้กับฉินเฉิง
ฉินเฉิงไม่กล้าที่จะปฎิเสธ ดังนั้นเลยเค้าก็เลยเดินไปนั่งลง
“มารู้จักกันหน่อย ฉันชื่อว่าซูหวาน” ทันใดนั้นเอง คุณซูก็ยื่นมือที่เรียวยาวของเธออกมา เธอพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่านิ้วของซูหวานมันจะดูบอบบางมาก แต่มือของเธอกลับนุ่มและอบอุ่น รอยยิ้มที่อ่อนโบนของซูหวานก็ทำให้ฉินเฉิงรู้สึกเสียสูญไปชั่วขณะ
“แคร็กๆ” ในตอนนี้เอง ชายชราซูที่อยู่ข้างๆ ก็ไอขึ้นมาแล้วฉินเฉิงรีบพูดขึ้นมาว่า: “อ๊าา ฉันชื่อฉินเฉิง”
“ฉินเฉิง..อืม ชื่อเพราะมาก” ผู้อาวุโสซูพูดขึ้นมาอย่างมีนัยยะ เค้าจับเข้าไปที่เคราของเค้า
หลังจากการสนทนาสั้นๆ ฉินเฉิงก็ได้รู้ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ชายชราซูเค้าก็อยู่ในกองทัพ ในตอนนั้นเองเค้าก็มีประสบการณ์การต่อสู้มานับไม่ถ้วนและมันก็ยิ่งทิ้งบาดแผลกับอาการเจ็บป่วยเอาไว้มากมายตามร่างกายของเค้า
พออายุมากขึ้น สุขภาพของชายชราซูเองก็แย่ลง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เค้าก็อยู่ในสภาพใกล้ตาย
“ฉินเฉิง ปู่ของฉันเค้าจะอยู่ได้อีกกี่ปีกัน?” แววตาของซูหวานก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ในนั้นมันก็มีความหวังอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“นี่….” ฉินเฉิงเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เค้าเองก็ไม่ใช่หมอ เค้าจะไปรู้อายุขัยของชายชราซูได้ยังไงกัน
“ชีวิตกับความตาย มันคือเรื่องของโชคชะตา อย่าไปสนมันเลย” ชายชราซูก็โบกมือของเค้าขึ้นมาและยิ้ม: “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้หรอก ฉันจะสั่งให้คนเตรียมอาหารเย็นไว้ เราจะได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน”
ฉินเฉิงก็รีบลุกขึ้นมา ในตอนที่เค้ากำลังจะพูดนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเค้ามันก็ดังขึ้นมา
เค้าก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเค้าขึ้นมา จากนั้นก็เห็นว่าคนที่โทรมาคือหลินชิงเฉิง
เค้าก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดแล้วเค้าก็ไม่ตอบอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน หลินชิงเฉิงก็ส่งข้อความมาว่า: “ชิงเฉิง ตอนนี้นายอยู่ไหน กับมาเร็วเข้า เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”
เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เคลียร์ให้ชัด? เรื่องนี้มันยังจะมีอะไรต้องเคลียร์กันอีก?
“คุณท่านซู คุณซู ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำ ผมคงจะต้องขอตัวกลับก่อน” ฉินเฉิงก็ลุกขึ้นแล้วพูดออกมา
ชายชราซูก็พยักหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “เอาหละ ซูหวาน เธอไปส่งน้องฉินสิ”
ซูหยวนก็รีบตอบขึ้นมาอย่างเร็ว เธอเดินออกไปที่ด้านนอกประตูโดยมีฉินเฉิงอยู่ที่ด้านข้าง
ทันทีที่ฉินเฉิงจากไป ชายในชุดสูทกับรองเท้าหนังก็เดินเข้าไปหาชายชราซู
“ไปตรวจสอบตัวตนของเค้ามาซิ” ชายชราซูก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ครับ” ชายคนนั้นเค้าก็พยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วถอยกลับไป
ชายหญิงคู่หนึ่งก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลซู
ท่าทีของผู้หญิงดูไม่ธรรมดาเลย เธอดูราวกับนางฟ้า ในขณะที่ผู้ชายกลับดูเหนื่อยๆ เล็กน้อย
“ฉินเฉิง….” ซูหวานที่ยืนอยู่ที่หน้าทางเข้า ในแววตาของเธอก็ดูอ้อนวอนเล็กน้อย
ฉินเฉิงเองก็มองไปที่ซูหวานอย่างเร็ว เค้าพูดขึ้นมาอย่างเกร็งๆ : “คุณซู คุณยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ?”
ซูหวานก็จ้องมองไปที่ฉินเฉิง แววตาของเธอก็ดูมีน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย
ทันใดนั้นเองก็มองเห็นเธอที่คว้าแขนของฉินเฉิงเอาไว้แล้วพูดขึ้นมาอย่างอ้อนวอนว่า: “ฉันรู้ว่าปู่ของฉัน เค้ากำลังจะตายและก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน คุณ….คุณช่วยปู่ของฉันหน่อย จะได้ไหม?”
“ฉัน….” ฉินเฉิงก็ดูเคอะเขินขึ้นมาเล็กน้อย เค้าเองก็ไม่ใช่หมอ อย่างงั้นเค้าจะไปตอบรับคำขอของซูหวานได้ยังไงกัน
ฉินเฉิงวางแผนที่จะปฎิเสธ แต่เมื่อเค้าเห็นแววตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าของซูหวาน เค้าก็พูดอะไรไม่ออกเลย
“พ่อของฉันเค้าทิ้งมรดกไว้มากมาย ฉันไม่เชื่อเลยว่ามันจะสามารถช่วยชีวิตคนได้!” ฉินเฉิงก็คิดกับตัวเอง
จากนั้นเค้าก็มองไปที่ซูหวาน เค้าพยักหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ฉันจะลองดู”
เมื่อซูหวานได้ยินแบบนี้ เธอก็คว้าแขนของฉินเฉิง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า: “ฉินเฉิง ขอบคุณนะ! ฉันจะจดจำความกรุณาของเธอนี้ตลอดไปอย่างแน่นอน!”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเฉิงรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ของเค้ามันมีค่าและนี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่มีคนขอบคุณเค้า
เค้าอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น เค้าโบกมือขึ้นมา: “ฉันเองก็ไม่กล้าที่จะรับรองนะ…..”
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของฉินเฉิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ฉินเฉิงก็รีบโบกมือของเค้าให้กับซูหวานแล้วพูดว่า: “ฉันไปก่อนนะ หากว่ามีเรื่องอะไรเธอก็รีบติดต่อฉันมาหละกัน”
“ฉันจะขับรถออกไปส่งนาย!” ซูหวานก็รีบพูดขึ้นมา
“ไม่…ไม่ต้องหรอก” ฉินเฉิงก็ปฎิเสธขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปโดยที่ไม่หันกลับมาอีก
นับตั้งแต่ที่เค้าได้รับมรดกจากพ่อของเค้ามา ฉินเฉิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเค้ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เมื่อก่อนร่างกายของเค้าค่อนข้างอ่อนแอ ตอนนี้เอง การหายใจหนึ่งครั้งก็ทำให้เค้ามีพลังมากจนสามารถวิ่งได้หลายไมล์
หลังจากผ่านไปสิบนาที ฉินเฉินก็มาถึงที่ประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิน
ในเวลานี้เอง รถเบ้นซ์แปลกๆ ก็จอดอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิน แต่ฉินเฉิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ดังนั้นเค้าก็รีบเข้าไปในบ้าน
บนโซฟา ทุกคนในตระกูลหลินก็กำลังนั่งล้อมกันอยู่ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
ชายหนุ่มคนนี้เค้าสูงแล้วก็หล่อมาก ในแวบแรกที่เห็นก็รู้เลยว่าเค้าเป็นคนที่ดีมาก
“ไอ่คนไร้ประโยชน์นายไปตายอยู่ไหนมา?” หลินชิงเฉิงก็ตะโกนด่าขึ้นมาอย่างโกรธเมื่อเห็นฉินเฉิงที่เดินเข้าประตูมา
และแววตาจองหลินชิงชือที่อยู่ข้างๆ เองก็กระพริบเล็กน้อย มันเห็นได้อย่างชันเจนเลยว่าเธอรู้ว่าฉินเฉิงโดนทุบตีมา
ฉินเฉิงก็เกาหัวของเค้าตามปกติแล้วพูดว่า: “เมื่อกี้ที่ข้างนอกมีเรื่องนิดหน่อย ก็เลยไปที่โรงพยาบาล ฉัน…..”
“เอาหละ เอาหละ ฉันไม่มีอารมณ์จะมาฟังเรื่องของนายหรอกนะ” หลินชิงเฉิงก็ขัดจังหวะฉินเฉิงขึ้นมาอย่างหมดความอดทน
หลังจากนั้นเอง เธอก็พูดขึ้นมาอย่างแข็งกร้าวว่า: “ในเมื่อนายสัญญาแล้วว่าจะออกไปจากตระกูลหลิน งั้นวันนี้เราก็มาหย่ากันซะ”
ฉินเฉิงก็มองไปที่ชายหนุ่มคนไม่รู้ตัว เค้าสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่ปรากฎขึ้นมาในแววตาของเค้า
แม้ว่าเค้าจะไม่มีความหวังอะไรกับหลินชิงเฉิงแล้ว แต่เค้าก็ไม่คิดว่าหลินชิงเฉิงจะยอมแพ้แบบนี้
ต่อให้เป็นหมาที่เลี้ยงมา การเลี้ยงมาสามปีมันก็น่าจะมีความรู้ต่อกันขบ้าง นี่มันก็ไม่ต้องพูดถึงการที่เค้าดูแลเธอมานานถึงสามเลย!
“โอ้ ฉันจะแนะนำให้นะ นี่คือท่านประธานหยางอี้ชุนของซานชุ่ยกรุ๊ป”
“สวัสดีครับ ผมได้ยินเรื่องของฉินเฉิงมานานแล้ว แต่ในที่สุดวันนี้ก็ได้มาเจอตัวจริง” หยางอี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉินเฉิงเพิกเฉย แต่เค้ามองไปที่หลินชิงเฉิงอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “เธอต้องการที่จะแต่งงานกับเค้าสินะ?”
หลินชิงชือก็ผงะแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ใช่ ฉันจะบอกความจริงกับนายให้นะ ฉันกับหยางอี้คบกันมานานแล้ว แต่ฉันไม่ได้บอกแก เนื่องจากนายเองก็ตกลงที่จะออกไปจากบ้านตระกูลหลินแล้ว เอาหละ วันนี้เราก็ไปเอาทะเบียนสมรสคืนกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของฉินเฉิงก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาในทันที
เค้ากำหมัดของเค้าจนแน่นพร้อมกับแววตาที่แดงกร่ำ
“หลินชิงเฉิง ฉันดูแลเธอมาตลอดสามปี แต่เธอกับคบผู้ชายคนอื่นลับหลังฉันอย่างงั้นเหรอ?” ในตอนที่ฉินเฉิงพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา เค้าแทบจะกัดฟันของตัวเอง
หลินชิงเฉิงก็เยาะเย้ยขึ้นมา: “นายเป็นผู้ชายเหรอ? ฉันไม่เคยถือว่านายเป็นสามีของฉันเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นว่ากันตามจริง ฉันเองก็ไม่ได้ทรยศอะไรกับนาย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว หลินชิงเฉิงเองก็หยุดแล้วพูดต่อว่า: “แน่นอน ถ้าหากว่าคิดไปเอง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง”
“เธอ!” สีหน้าของฉินเฉิงก็เย็นชาลงเรื่อยๆ
“พูดไร้สาระให้มันน้อยลงหน่อย!” หลินชิงเฉิงไม่อยากที่จะสนใจอะไรแล้ว เธอหยิบหนังสือหย่าขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า: “ถ้ามีอยากเสียหน้า อย่างงั้นก็รีบเซ็นๆ มันไปซะ แน่นอนหนังสือหย่า ต่อให้นายไม่เซ็นมันก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้ฉันคบกับหยางอี้ได้”
หยางอี้ชุนก็โอบเอวของหลินชิงเฉิงแล้วจูบบนใบหน้าของเธอเบาๆ
ในตอนนี้เอง หัวใจของฉินเฉิงมันก็เต็มไปด้วยความโกรธ
แต่เค้าก็ไม่ตอบโต้อะไร เค้าใช้ปากกานั่นเซ็นชื่อของเค้าลงไป
“นับตั้งแต่วันนี้ไป ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินอีกต่อไป” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
หลินชิงเฉิงก็ความใบหย่ามา เธอแทบจะกระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจ
“เอาหละ นายออกไปจากบ้านตระกูลหลินได้แล้ว” หลินชิงเฉิงก็โยกแบนของหยางอี้ไปมาด้วยความตื่นเต้น
ฉินเฉิงก็มองไปที่หลินชิงเฉิง เค้าพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “หลินชิงเฉิง เธอจะต้องเสียใจในภายหลัง”
“เสียใจภายหลัง?” หลินชิงเฉิงก็หัวเราะเยาะขึ้นมา: “สิ่งที่ฉันเสียใจมากที่สุดในชีวิตก็คือการแต่งงานกับแก ออกไปจากที่นี่ซะ! ตระกูลหลินไปต้อนรับแก!”
“เอาหละ อย่าไปรู้จักเค้าเลย” หยางอี้พูดขึ้นมาอย่างไม่แยแส “เพื่อฉลองวันสำคัญนี่ ฉันจะเลี้ยงอาหารตะวันตกเธอเอง”
“ได้ ขอบคุณมากนะคะสามี!” หลินชิงเฉิงก็กล่าวขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
หัวใจของฉินเฉิงก็มีเลือดออก
หลังจากที่แต่งงานมาสามปีแล้ว หลินชิงเฉิงไม่เคยเรียกเค้าว่าสามีเลย แต่วันนี้เธอเรียกผู้ชายคนอื่นแบบนี้ต่อหน้าของเค้า
เค้าส่ายหัวของเค้าแล้วเดินออกไปจากบ้านตระกูลหลินด้วยสีหน้าที่ขมขื่น
หลังจากนั้นไม่นาน หลินชิงเฉิง หยางอี้ หลินชิงชือก็เดินออกมา
“มองเห็นยัง? เบ้นซ์ของสามีฉัน!” หลินชิงเฉิงก็เยาะเย้ยขึ้นมา “ชีวิตนี้แกจะมีปัญญาได้นังรถเบ้นซ์ไหม”
ฉินเฉิงก็ไม่พูดอะไรออกมา เค้าไม่สนใจอะไรพวกเค้าเลย
ในตอนนี้เอง เฟอร์รารีสีแดงก็เร่งเครื่องเสียงดังแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินเฉิง
จากนั้น ก็เห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเผ็ดร้อนก้าวออกมาจากรถ
ผู้หญิงคนนี้เธออายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ดวงตาของเธอดูราวกับอัญมณีสองเม็ด ผิวของเธอดูราวกับหิมะในฤดูหนาว ผมสีดำของเธอมันก็อยู่บนไหล่ของเธออย่างเป็นธรรมชาติ ต้นขาที่เรียวยาวของเธอก็ถูกห่อเอาไว้ในกระโปรงสั้น นี่มันยิ่งทำให้เธอดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก
“สวยมาก…..” หลินชิงชือเองก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นมา แม้แต่พี่สาวของเธอก็ถูกบดบังไปในทันที
“ฉินเฉิง ยังไม่เสร็จอีกเหรอ? ขึ้นรถมาเถอะ ปู่ของฉันเค้ารอนายอยู่นะ” เด็กสาวกระพริบตาให้กับฉินเฉิง เธอพูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่เสน่หา