เมื่อได้ยินฉินเฉิงที่พูดออกมาแบบนั้น หยางอี้กับหลินชิงเฉิงก็ตกตะลึงขึ้นมา จากนั้นพวกเค้าต่างก็หัวเราะกันออกมา
“แกบอกว่าแกอยู่ที่นี่? ฉินเฉิง ฉันว่าแกบ้าไปแล้วเสียสติไปแล้วนะ” หยางอี้เองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา: “แกรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหนกัน แกรู้ไหมว่าบ้านที่นี่ราคาเท่าไหร่?”
ฉินเฉิงเองก็ขี้เกียจที่จะมาพูดจาไร้สาระกับเค้า ดังนั้นเค้าก็เลยไม่สนใจอะไรแล้วมองไปที่สถานที่จอดรถ
“ฉินเฉิง ทางที่ดีแกก็ไสหัวออกไปซะ ถ้าหากว่าแกกล้าที่จะมาตามรังควานเมียฉันหละก็ ฉันจะฆ่าแกซะ!” หยางอี้ก็เดินออกมาจากรถแล้วพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง
เมื่อได้ยินคำว่า “ที่รัก” ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดในมือของเค้าขึ้นมา
“ทำไม แกกล้าต่อยฉันอย่างงั้นเหรอ?” หยางอี้เหลือบมองไปที่ฉินเฉิง เค้าเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ทันทีที่เค้าผลักเข้าไปที่หน้าอกของฉินเฉิงด้วยมือ เค้าก็ตะโกนด่าออกมาอย่างดุเดือด: “ฉันบอกให้แกไสหัวไปไง แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไงวะ!”
“เอาหละ ช่างมันเถอะ คนไร้ประโยชน์อย่างแกมันจะไปทำอะไรกับเค้าได้?” หลินชิงเฉิงที่อยู่ในรถ เธอก็ชะโงกหน้าของเธอออกมาแล้วพูดอย่างหมดความอดทน
หยางอี้มองไปที่หลินชิงเฉิงแล้วพยักหน้าและพูดว่า: “เอาหละ วันนี้ฉันเห็นแก่หน้าเมียฉันนะ อย่าให้ฉันได้เจอแกอีกหนะ ฉันจะหักขาของแกทิ้งซะ!”
หลังจากที่เค้าพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนี้ เค้าก็ขับรถออกไป
เมื่อมองไปที่ท้ายรถ สีหน้าของฉินเฉิงเองก็ซีดลง หน้าอกของเค้าเองก็อดไม่ได้ที่จะหายใจจนมันกระเพื่อมขึ้นมา
“หยางอี้…..” ฉินเฉิงเองก็พูดชื่อนี้ขึ้นมา แววตาของเค้ามันก็ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ” ในตอนนี้เอง ซูหวานที่จอดรถเสร็จแล้ว เธอก็เดินกลับมา
เธอเองก็มองไปที่ฉินเฉิง จากนั้นก็มองไปที่ใบหูของเค้า เธอก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ทำไมเหรอ? ทำไมสีหน้านายถึงได้ดูไม่ได้เลย”
ฉินเฉิงเองก็สุดลมหายใจเข้าลึกๆ เค้าส่ายหัวขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ไม่เป็นไร”
ซูหวานเองก็สงสัยเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เธอเพียงแค่พยักหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ถ้าหากว่ามีปัญหาอะไร นายก็บอกฉันได้เลยนะ”
ฉินเฉิงเองก็ยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า: “ไม่ต้องหรอก”
เค้าเองก็รู้ความจริงที่ว่ายิ่งขอความช่วยเหลือมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นหนี้บุญคุณมากเท่านั้น ซูหวานเองเธอก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรตัวเองเลย
ที่ประตูทางขึ้นเขา มันก็มีจักรยานจอดอยู่ ฉินเฉิงกับซูหวานเองก็ขับมันขึ้นไปที่ยอดเขา
ยิ่งขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น ในเวลาเดียวกันนี้เอง ฉินเฉิงเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกสดชื่นของธรรมชาติและกลิ่นอายของมัน
หลังจากที่มาถึงที่ยอดเขาแล้ว ฉินเฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อยืนมองจากตรงนี้ มันก็สามารถที่จะมองเห็นปีนังได้ทั้งเมือง!
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออากาศที่สดชื่นและหมอกบางๆ ที่ทำให้ฉินเฉิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!
“ที่นี่มันเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!” ฉินเฉิงก็คิดกับตัวเอง
ซูหวานเองก็พาฉินเฉิงเดินไปที่รอบๆ คฤหาสน์ ในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า: “เป็นยังไงบ้าง? นายชอบไหม?”
“ชอบมาก” ฉินเฉิงก็พูดออกมาอย่างจริงจัง
สำหรับเค้าแล้ว ขนาดของคฤหาสน์นี่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่สำหรับฉินเฉิงสภาพแวดล้อมมันดีมาก!
“ถ้าอย่างงั้น นายก็อยู่ที่นี่ก่อนแล้วมีอะไรที่ต้องการก็บอกฉันหละกัน” ซูหวานก็กระพริบตาขึ้นมา เธอพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
รอยยิ้มของเธอมันดูดีเป็นอย่างมาก มันทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ความรู้สึกที่อบอุ่นนี้เอง มันก็ทำให้ฉินเฉิงรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ
“เห้ นายมองอะไรของนาย!” ซูหวานก็ปัดมือของเธอขึ้นมาแล้วกรอกตา
ฉินเฉิงเองก็หันกลับมา เค้าหน้าแดงแล้วพูดว่า: “ไม่….ไม่มีอะไร”
“หึหึ ทำไมขี้อายจัง” ซูหวานก็พูดติดตลกขึ้นมา
ฉินเฉิงเองก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา เค้าพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของซูหวานก็ดังขึ้นมาในทันที
เธอเหลือบมองไปที่โทรศัพท์แล้วคิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ถ้าอย่างงั้น นายก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันก็แล้วกัน” ซูหวานก็พูดขึ้นมา
หลังจากที่ทิ้งท้ายประโยคนี้แล้ว เธอก็รีบลงไปจากภูเขา
หลังจากที่เห็นว่าซูหวานจากไปแล้ว ฉินเฉิงก็เดินตรงไปที่ยอดเขาแล้วนั่งไขว่ห้าง
เค้าเองก็หลับตาลงเล็กน้อย จิตใจของเค้ามันก็เคลื่อนไหวเล็กน้อบ ความทรงจำของเค้ามันท่วมท้นไปหมดราวกับกระแสน้ำ
“เข้าสู่การกลั่นพลังปราณขั้นแรก” ฉินเฉิงกระซิบกับตัวเอง เค้าสัมผัสได้ถึงพลังของสภาพแวดล้อมโดยรอบตามวิธีการที่อธิบายเอาไว้ในความทรงจำของเค้า
พลังงานจิตวิญญาณบนยอดเขา มันก็ค่อยๆ พุ่งจ้าสู่ฉินเฉิง มันดูมีวังวนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นมารอบๆ ร่างกายของเค้าจริงๆ
พลังนั่นมันก็ค่อยๆ ไหลเวียนอยู่ในร่างของเค้าแล้วออร่าเดิมของเค้าจากเดิมที่มีรัศมีขนาดเท่าถั่วเขียวเท่านั้น ในตอนนี้เองมันก็ค่อยๆ เพิ่ขึ้นมาจนมีรัศมีเป็นนิ้ว
ฉินเฉิงดูเหมือนว่าเค้าจะไม่รู้สึกถึงกาลเวลาเลย ตั้งแต่เย็นจนเช้าของวันรุ่งขึ้น เค้าก็ค่อยๆ ลืมตาของเค้าขึ้นมา
“หู้วว…..” ฉินเฉิงเองก็ถอนหายใจออกมา เค้าตื่นอยู่ทั้งคืน เค้าไม่รู้สึกอ่อนล้าเลย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกมีพละกำลังไปทั่วทั้งร่างกาย
“ในที่สุด ฉันก็ได้ก้าวเข้ามาสู่ขั้นแรกของการกลั่นพลังปราณ” ฉินเฉิงกำหมัดของเค้าขึ้นมา เค้ารู้สึกได้ถึงพลังที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเค้า จากนั้นมันก็มีรอยยิ้มที่ปรากฎขึ้นมาที่มุมปากของเค้า
“น่าเสียดายที่พลังงานของจิตวิญญาณบนยอดเขานี่มันหมดลงแล้ว” ฉินเฉิงเองก็เงยหน้าของเค้าขึ้นมา เค้ามองไปที่รอบๆ แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
แค่ที่พลังปราณขั้นแรก พลังงานจิตวิญญาณบนยอดเขานี่มันก็หายไปหมดแล้ว ต่อไปการฝึกนี่มันจะต้องยากกว่านี้ไหม?
ตามที่เค้าจำได้จากมรดกของพ่อ นอกจากอาศัยพลังรัศมีฟ้าดินแล้ว ยังมันยังมีอีกทางหนึ่งก็คือการยืมพลังจากราชาแห่งยา อย่างเช่นโสมพันปีเป็นต้น
แต่…..ราชาแห่งยาวิเศษเหล่านี้มันก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ถ้าหากว่าได้เจอมันแล้วหละก็ มันจะสามารถหาได้ง่ายอย่างงั้นเลยเหรอ?
“ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน” ฉินเฉิงกำหมัดของตัวเองขึ้นมา เค้ามองไปที่ก้อนหินที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว
เค้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เอาหมัดกระแทกเข้าไปที่ก้อนหิน
เมื่อได้ยินเสียง “ตูม” ก้อนหินนี่มันก็แหลกกลายเป็นผงไปในทันที!
ฉินเฉิงเองก็มองไปที่กำปั้นของเค้า จากนั้นเค้าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
แค่การกลั่นพลังปราณขั้นแรกเท่านั้น เค้าก็สามารถที่จะมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี่ได้ แล้วถ้าหากว่าเข้าสู่แก่นฐานรากของมันได้ นี่มันจะขนาดไหนกัน? นึกไม่ถึงเลย!
“แน่นอนว่าคือผู้ฝึกฝน” แสงวาบมันก็สว่างจ้าเข้ามาในแววตาของฉินเฉิง “ตั้งแต่วันนี้ต่อไป มันจะไม่มีใครมากดขี่ฉันได้อีกแล้ว!”
หลังจากที่อาบน้ำในคฤหาสน์แล้ว ฉินเฉิงก็ลงมาจากเขาและพร้อมที่จะมองไปที่รอบๆ เพื่อมองหาสถานที่ๆ มีพลังสำหรับการฝึกจิญวิญญาณครั้งต่อไปของเค้า
ไม่นานหลังจากที่เค้าเดินออกมาจากชุมชนหลงไห่ ก็มีรถวิ่งเข้ามาแล้วจอดขวางหน้าฉินเฉิงเอาไว้
ทันทีที่รถหยุด มันก็เห็นว่ามีคนสี่ถึงห้าคนที่ลงมาจากรถ
“ฉินเฉิง ฉันคิดว่าแกตายไปแล้วนะ ดูเหมือนว่าครั้งนั้นฉันจะออมมือกับแกมากไปหน่อยนะ!”
เค้าไม่ใช่ใครอื่น คนๆ นี้เค้าก็คือจ้าวซาน แฟนหนุ่มของหลินชิงชือ!
เค้าเอาคนมาด้วยสี่ห้าคน ทุกคนมาพร้อมกับไม่กระบองแล้วล้อมรอบฉินเฉิงเอาไว้
“ไอ่เวร ฉันได้ยินมาว่าแกหย่ากับหลินชิงเฉิงแล้วใช่ไหม?” จ้าวซานก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ฉินเฉิงเองก็เหลือบมองไปที่เค้าอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “มันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย?”
จ้าวซานเองก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า: “ทำไมมันจะไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันเป็นแฟนของชิงชือ แล้วหลินชิงเฉิงเองก็เป็นพี่สาวของแฟนฉัน!”
“เธอบอกฉันมาว่า เธอไม่อยากที่จะเห็นหน้าแกอีก หึหึ” จ้าวซานก็พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
สีหน้าของฉินเฉิงมันดูไม่ได้เลย เค้ามองไปที่จ้าวซานอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “หลินชิงเฉิงส่งแกมาอย่างงั้นเหรอ?”
“แกคิดว่าไงหละ?” จ้าวซานก็ขยับจมูกของตัวเอง เค้าพูดขึ้นมาอย่างไม่สนใจ
“ฉันจะให้โอกาสแกนะ ถ้าหากว่าแกคุกเข่าลงต่อหน้าฉันแล้วสัญญาว่าจะไม่มาที่ชุมชนหลงไห่อีก ฉันก็จะปล่อยแกไป แบบนี้เป็นไง?” จ้าวซานพูดออกมาอย่างเย่อหยิ่ง
ฉินเฉิงเหลือบมองไปที่เค้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “เหมือนกัน ฉันจะให้โอกาสแกได้คุกเข่าด้วยตัวเองแล้วฉันจะทำเป็นไม่สนใจว่าครั้งก่อนมันเกิดอะไรขึ้น”